ท่านนักบุญพิริกริน ทำพลีกรรม ชดเชยบาป มีความเชื่อร้อนรน หนึ่งในจำนวนพลีกรรมที่ท่านได้กระทำก็คือ การยืนตลอดเวลาถ้าไม่จำเป็นต้องนั่ง กล่าวกันว่าท่านยืนแบบไม่นั่งถึง 30 ปี และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้น่องซ้ายและเท้าของท่านเจ็บปวด แล้วก็เป็นมะเร็ง หมอบอกต้องตัดขาข้างซ้าย คืนก่อนตัดขา ท่านนักบุญเดินลากขากระเผลกไปที่ใต้กางเขน แล้วก็สวดเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนผล็อยหลับ แล้วก็เห็นภาพนิมิต พระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ ทรงเอื้อมพระหัตถ์จากไม้กางเขนแตะขาข้างซ้ายของท่านที่เป็นมะเร็ง วันรุ่งขึ้น เมื่อท่านตื่น ขาข้างซ้ายของท่านหายจากโรคร้าย แข็งแรงสมบูรณ์ไม่ต้องตัดออก และนี่เองก็คือที่มาของการเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของผู้ป่วยด้วยมะเร็ง โรคร้ายอันตรายแบบหายไม่ขาด รักษาไม่ได้ครับ
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติ แม่พระมหาทุกข์ พอร์ทแลนด์ โอเรกอน สหรัฐอเมริกา
(The National Sanctuary of Our Sorrowful Mother, Portland, Oregon, U.S.A.)
มีจุดกำเนิดที่สวยงามมากครับ เมื่อศตวรรษที่ 19 (128 ปีที่ผ่านมา) เด็กน้อยโรมันคาทอลิกชื่อ แอมบรอส (Ambrose, 1883-1971) รับข่าวร้ายว่าแม่ที่กำลังจะคลอดน้องสาว นอนเจ็บปวดจะสิ้นใจ พ่อหนูวิ่งไปวัดในเขตเมืองของประเทศแคนาดา (Kitchener, Ontario, Canada) สวดขอพระแม่มารีอา มารดาของมวลมนุยชาติ ให้ทรงช่วยแม่ไม่ให้ตาย ถ้าพระแม่ทรงช่วย พ่อหนูสัญญาว่าจะรับใช้พระศาสนจักรด้วยผลงานยิ่งใหญ่หนึ่งชิ้น แม่และน้องรอดตัว พ่อหนูแอมบรอสก็เข้าคณะผู้รับใช้พระแม่มารีอา เป็นคุณพ่อเมื่อปีค.ศ. 1918 (93 ปีที่ผ่านมา) แล้วเป็นอธิการวัดในสังฆมณฑลพอร์ทแลนด์ รัฐโอเรกอนของสหรัฐอเมริกา ในใจของท่านยังนึกถึงตลอดเวลาว่าจะทำอะไร เทิดพระเกียรติพระแม่มารีอาที่ทรงเมตตาต่อท่าน แล้วท่านก็เห็นพื้นที่มีป่าสนสูงใหญ่ตระหง่านทะยานฟ้า มีเนินเขางดงามแบบธรรมชาติ ไม่มีการบุกรุกก่อร่างสร้างอันใด จินตนาการพุ่งโลด (อาจจะได้รับการดลใจจากพระแม่มารีอา) ว่าป่าสนนี้ควรจะเป็นอาสนวิหารธรรมชาติเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม เป็นที่พักพิงทางใจของสาธุชน เจ้าของป่าสนก็คือ บริษัทรถไฟยูเนี่ยน แปซิฟิค (Union Pacific Railroad Company) ราคาขาย $48,000 (1,536,000 ล้านบาท แต่ค่าเงินสมัยก่อนสูงไม่ต่ำกว่า 10 เท่าของเงินสมัยนี้ครับ) คุณพ่อแอมบรอส รวบรวมเงินได้ $3,000 (96,000 บาท สมัยก่อน) แล้วเอาไปวางมัดจำ แล้วเริ่มรณรงค์ขอเงินจากสาธุชนทั่วประเทศ คุณพ่อแอมบรอสหัวใส เขียนจดหมายถึงพระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 (Pope Pius XI = 31 พฤษภาคม 1857 – 10 กุมภาพันธ์ 1939 = 72 ปีที่ผ่านมา) ขอพระพรพิเศษให้ทุกคนที่ทำบุญบริจาคทรัพย์สิน กำลังใจ กำลังกาย คำภาวนาช่วยเหลือในการก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ฯ พระสันตะปาปาทรงสนองตอบ ด้วยจดหมายลายพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วการก่อสร้างก็เริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1923 (88 ปีที่ผ่านมา) ถ้ำแม่พระถูกเจาะในหน้าผา แล้วก็อัญเชิญรูปสลักจำลอง
“แม่พระกำสรวล/Pieta” มาตั้งประดิษฐาน
วัดพระแม่มารีอา มรรคากางเขน/เดินรูป 14 ภาค สวนต้นไม้พฤกษชาติ ที่นั่งบำเพ็ญภาวนา แบ่งออกเป็น บนพื้นที่ด้านล่าง และบนหน้าผาข้างบน มีที่พักอาศัยของนักบวชชายหญิง (แยกต่างหากเป็นสัดส่วน) มีที่จอดรถ มีร้านขายศาสนภัณฑ์ ห้องน้ำชายหญิง สถานที่ประชุม ลานหน้าถ้ำพระแม่ที่ประกอบมิสซากลางแจ้ง เป็นที่จัดคอนเสิร์ตในฤดูร้อน (Concert) รูปปั้นหินอ่อนจากอิตาลีเรียงราย เตือนใจสาธุชนให้รำลึกถึงความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดี ของพระเป็นเจ้าและพระแม่มารีอา ใช้เวลากับทั้งสองพระองค์ สงบจิตภาวนาตักตวงพระหรรษทาน พระพร เป็นกำลังใจในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตนิรันดร และชีวิตในโลกที่ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว
คุณผู้อ่านที่เคารพรัก ก่อนที่หัวหน้าทัวร์จะพาเที่ยวคารวะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ฯ ผมขอเสนอเรื่องราวหลักความเชื่อ ธรรมประเพณี อันน่าสนใจ ที่โรมันคาทอลิกพวกเราทั่วโลกทุกยุคทุกสมัย มีใจผูกพันรักและเคารพต่อพระแม่มารีอามาตลอด ซึ่งคริสตชนต่างนิกาย และผู้คนทั่วไป อาจจะฉงน สงสัย และเป็นข้อบาดหมางใจ หัวหน้าทัวร์ขออธิบายให้หายข้องใจ เป็นเสาหลัก เป็นกำลังใจ ไม่ให้ไหวหวั่นพรั่นพรึงกับคำติคำวิจารณ์เกี่ยวกับพระแม่มารีอา พระมารดาของเรา
โรมันคาทอลิกไม่กราบนมัสการพระแม่มารีอาเหมือนกับว่าพระแม่เป็นพระเป็นเจ้า พระแม่เป็นแม่ของพระเป็นเจ้า พระเยซูคริสตเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ ผู้ทรงรับพระกาย เลือดเนื้อ น้ำนม อาหารเลี้ยงดูจากพระแม่ด้วยพระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า ในสภาวะของมนุษย์ ความผูกพันของแม่ลูกนี้ เป็นความผูกพันที่แม่ลูกทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา สามารถสัมผัสรับรู้ได้ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงบอกกับแม่พระว่า
“แม่นี่คือลูกของแม่” และบอกกับนักบุญยอห์นว่า
“นี่แน่ะ แม่ของท่าน” ขณะที่ทรงรับทรมานบนกางเขนด้วยความสมัครใจ ไถ่บาปให้พวกเรามวลมนุษยชาติ ถวายพระกาย พระโลหิต พระวิญญาณ และพระเทวภาพ เป็นเครื่องสักการบูชาแด่พระบิดา พวกเราโรมันคาทอลิกก็มีความรักผูกพันกับแม่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย และพระเป็นเจ้าไม่เคยขัดใจแม่ แม่ทรงบอกให้พระองค์ทรงทำอัศจรรย์เปลี่ยนน้ำเป็นหล้าองุ่น ในงานแต่งงานที่เมืองคานา (Cana, Israel) พระองค์ทรงตอบแม่ว่า ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ แต่พระแม่วางใจในพระเป็นเจ้า บอกคนงานให้ปฏิบัติตามที่พระองค์สั่ง แล้วพระเป็นเจ้าก็ทรงทำอัศจรรย์ในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก เพราะแม่ขอร้อง พระแม่เป็นมารดาของพระศาสนจักร (Mother of the Church) พระแม่ปฏิสนธินิรมล (Immaculate Conception) เมื่อพระแม่ทรงบังเกิดในครรภ์ของนักบุญแอน (Saint Ann) ที่พวกเราเรียกว่า
“ท่านยาย” เป็นพรหมจารีตลอดนิรันดร (Never-ending Virginity) พระแม่ทรงเสด็จขึ้นสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ พระแม่ทรงเป็นอัครสาวกคนแรกของพระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ เมื่อทรงรับคำเชิญให้เป็นพระมารดาของพระองค์ ร่วมไถ่บาปของมวลมนุษย์ แสดงออกถึงความรัก ความเชื่อ ความวางใจ แบบสิ้นสุดชีวิตวิญญาณ หาญกล้าไม่กลัวความอับอาย ความเสียหายของชื่อเสียง และความตายที่อาจจะเป็นโทษตามมา เมื่อตั้งครรภ์ก่อนจะแต่งงานกับพระภัสดา นักบุญยอแซฟ ผู้จงรักภักดีและนบนอบเชื่อฟังพระเป็นเจ้า ไม่มีความสัมพันธ์แบบสามีภรรยากับพระแม่จนสิ้นลมขึ้นสวรรค์รับรางวัลจากพระเป็นเจ้า และพระแม่ไม่มีลูกคนอื่น เพราะถ้ามีทำไมพระวรสารไม่เคยกล่าวอ้างว่า ไปอยู่กับแม่พระใต้กางเขนตอนที่พระเยซูเจ้าทรงรับทรมานไถ่บาปพวกเรา ถ้าพระเยซูเจ้ามีพี่น้อง ทำไมพระองค์จึงยกพระแม่ให้เป็นแม่ของนักบุญยอห์น และถ้ามี ทำไมพระเยซูเจ้าจึงไม่บอกให้พี่ให้น้องเป็นผู้นำสืบต่อพระศาสนจักรของพระองค์ แทนที่จะเป็นอัครสาวกนักบุญเปโตร และคำกล่าวที่ว่า “พี่น้อง/Adelphoi” ของพระองค์ เป็นคำศัพท์ของภาษากรีก (ใช้เขียนพระธรรมเก่า พระธรรมใหม่ ไบเบิ้ล เมื่อ 721 ปีก่อนคริสตศักราช ชาวยิวโดนเนรเทศจากอิสราเอล กระจัดกระจายทั่วโลก อ่านเขียนภาษายิวไม่ออก เลยต้องใช้ภาษากรีก (Greek) แปลจากภาษายิว (Hebrew) เริ่มแปลเมื่อ 250 ปีก่อนคริสตศักราชครับ) ซึ่งได้ใช้ 3 ครั้ง แปลได้ 3 ความหมาย “พี่น้อง” “ลูกพี่ลูกน้อง” และ “หลาน/ญาติ” ตัวอย่าง: ปฐมกาล 11:27 (Genesis 11:27) ท่านอับราฮัมเป็นลูกชายของท่านเทราห์ (Terah) ที่เป็นพี่ชายของท่านเฮราน (Heran) พ่อของลอท (Lot) ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านอับราฮัม พอถึงปฐมกาล 14:14 และ 14:16 (Genesis 14:14 and 14:16) ของฉบับคิงเจมส์ (King James Version) กล่าวว่า ลอทเป็นน้องชายของท่านอับราฮัม ถ้าพูดผิดเขียนผิดตั้งแต่พระธรรมเก่า ความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้ในพระธรรมใหม่เช่นกัน และทุกครั้งที่พระแม่ทรงประจักษ์มาในที่สาธารณะ ทุกยุค ทุกสมัย ทุกมุมโลก พระแม่ไม่เคยบอกให้กราบไหว้นมัสการพระแม่เหมือนกับทรงเป็นพระเป็นเจ้า ไม่เคยเรียกร้องขอความรัก เกียรติ ชื่อเสียง มีแต่มาเตือน มาบอก ให้รักพระเป็นเจ้าแบบสิ้นสุดชีวิตวิญญาณ ดำเนินตามรอยพระบาทพระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ สวดภาวนา ทำพลีกรรม ชดเชยบาปของตัวเองและผู้อื่น ทรงย้ำอยู่เสมอว่า พระแม่เป็นผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าตลอดนิรันดร ตั้งแต่เมื่อรับคำเชิญร่วมไถ่บาปให้มวลมนุษย์กับพระองค์ และเพราะความเป็นแม่ของพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าสถิตกับแม่ พระหรรษทาน พระพรของพระเป็นเจ้าอยู่กับแม่เปี่ยมล้น แม่จึงเป็นผู้แจกจ่ายพระหรรษทาน พระพร ให้กับพวกเรา เหมือนกับคำสรรเสริญยกย่องให้เกียรติของอัครเทวดาคาเบรียล ที่กล่าวว่า “วันทามารีอา เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน พระเป็นเจ้าสถิตกับท่าน ผู้มีบุญกว่าหญิงใด ๆ” ซึ่งได้กลายเป็นบทภาวนาวันทามารีอาที่โรมันคาทอลิกทุกคนสวดขึ้นในสมอง ในวิญญาณ มาตลอดทุกยุคทุกสมัย
หนึ่งในรูปลักษณ์ความศรัทธาที่โรมันคาทอลิกมีต่อพระแม่มารีอาก็คือ พระมารดามหาทุกข์ (Our Lady of Sorrows, Sorrowful Mother, Mother of Sorrows, Our Lady of the Seven Sorrows and Our Lady of the Seven Dolours) ที่สาธุชนรำลึกรำพึงถึงความทุกข์ 7 ประการของพระแม่ ในขณะสวดสายประคำแม่พระมหาทุกข์ (The Chaplet of the Seven Sorrows of Our Lady) และสวดสายประคำของนักบวชคณะผู้รับใช้พระแม่มารีอา (Servite Rosary) เริ่มแพร่หลายเมื่อประมาณ 800 ปีที่ผ่านมา วันฉลองแม่พระมหาทุกข์เริ่มที่เมืองโคโลญจน์ (Cologne) ประเทศเยอรมนี เมื่อปีค.ศ. 1413 (588 ปีที่ผ่านมา)
7 มหาทุกข์ของพระแม่มารีอา มีดังนี้ครับ
คำทำนายของซีเมโอน (Luke 2:34-35)
การหนีภัยไปอียิปต์ (Matthew 2:13)
การพลัดพรากจากพระกุมารเยซูเจ้าในพระวิหาร (Luke 2:43-45)
พระแม่ทรงพบพระเยซูเจ้าในระหว่างการแบกกางเขนไถ่บาปมวลมนุษยชาติของพระองค์ (Luke 23:26)
พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (John 19:25)
พระแม่ทรงรับพระกายของพระเยซูเจ้าในอ้อมแขน (Matthew 27:57-59)
พระกายของพระเยซูเจ้าทรงถูกวางลงในหลุมศพ (John 19:40-42)
ขบวนสายัณห์ทัวร์เคลื่อนขบวนถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำแบบเกือบมองไม่เห็นทาง สถานที่จดรถมีรถหลายสิบคันจอดเรียงราย สาธุชนผู้ศรัทธา ผู้เจ็บป่วย ทยอยออกจากรถ บ้างก็ถือร่ม ถือไม้เท้า บ้างก็เดินลุยฝนไม่มีเสื้อกันฝนเตรียมมา บางคนที่สวมเสื้อกันฝน (แบบหัวหน้าทัวร์และลูกทัวร์) ก็เดินแกมวิ่ง มุ่งหน้าเข้าวัดพระแม่มารีอา ที่เห็นไกลเกือบ 500 เมตร บนเนินเล็ก ๆ ที่รายล้อมด้วยต้นสนสูงทะยานเสียดฟ้า ในพื้นที่ 62 เอเคอร์/155 ไร่ (1 เอเคอร์ = 2.5 ไร่)
เดินผ่านร้านขายศาสนภัณฑ์ รูปทรงเหมือนตู้รถไฟ ตึกไม้ชั้นเดียว ประตูหน้าต่างเป็นกระจกโล่งรับแสงแดด เหนือเพดานมีไฟสปอร์ตไลท์เรียงรายเป็นแถว 4 แถว มีตู้มีชั้นประดับด้วยศาสนภัณฑ์ที่ทำเป็นรูปสลัก รูปไม้กางเขน รูปปั้น ภาพวาด ฯลฯ เรียกร้องให้ซื้อเป็นที่ระลึก เป็นสิ่งมงคลประจำบ้าน และเป็นการทำทานบริจาค เพราะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชาติ ยืนหยัดอยู่ได้เพราะน้ำใจของผู้ศรัทธา พระศาสนจักรไม่มีทุนทรัพย์สนับสนุน
ผ่านร้านขายศาสนภัณฑ์ประมาณ 200 เมตร ก็เป็นลานกว้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ฯ (Main Plaza) ที่มีเก้าอี้ยาวสีเขียวเรียงรายหลายสิบแถว หันหน้าประจัญถ้ำพระแม่มารีอา ที่มีรูปสลัก “แม่พระกำสรวล” เด่นสะดุดตา ข้างพระแม่ มีเทวดา 2 องค์ชูคบไฟ เบื้องหน้ามีพระแท่นทำมิสซา มีเชิงเทียน มีแจกันดอกไม้งดงามลายตา 2 ข้างของถ้ำ มีเพิง 2 อันที่มีที่ใส่เทียนตั้งจุดไฟรำลึกถึงญาติมิตรของผู้จาริกแสวงบุญ ที่สวดขอพระมารดาแห่งมวลมนุษยชาติให้กราบทูลพระเป็นเจ้าให้ทรงเมตตา รับผู้ล่วงลับขึ้นสวรรค์ในอ้อมกอดของพระองค์ พระแม่มารีอา เทวดา และชาวสวรรค์ทั้งหลาย ขวามือของถ้ำที่เจาะในหน้าผา มีทางเดินที่รายล้อมด้วยรูปปั้นหินอ่อนของพระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ มรรคากางเขน น้ำตกลำธารเล็ก ๆ ที่ก่อเกิดจากน้ำฝนไหลรวมตัวจากหน้าผา แล้วแตกกระจายลงมา เสียงน้ำเซาะหินรวยรินรื่นหู
ผ่านถ้ำแม่พระกำสรวลไม่ถึง 150 เมตร ก็เป็นวัดพระแม่มารีอาที่ทำด้วยอิฐ
มีหอคอยและโดมรูปทรงสะดุดตา มีไม้กางเขนประดับบนยอด ข้างในวัดมีที่นั่งคุกเข่าทำด้วยไม้ เพดานสูงโปร่งเกือบเท่าตึก 3 ชั้น มีหน้าต่างกระจกสูงใหญ่เรียงรายรับแสงแดด ทำให้ภายในวัดสว่างไสวทุกมุมทุกที่นั่ง วัดจุสาธุชนได้ประมาณ 500 คน บนฝาผนัง บนเพดาน มีรูปวาดของมรรคากางเขน นักบุญหลายองค์ ธงของ 7 นักบุญผู้ก่อตั้งคณะนักบวชผู้รับใช้พระแม่มารีอา ข้างผนังกำแพงวัด มีรูปปั้น รูปสลัก ของพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า และพระแม่มารีอา นักบุญหญิงชายหลายองค์ ซึ่งรวมถึงรูปปั้นหินอ่อนของนักบุญพิริกริน (มาจากอิตาลี หินอ่อนชนิดเดียวกับที่ไมเคิ้ลเองเจโลใช้สลักแม่พระกำสรวล จากเหมืองหินอ่อนในเมืองคาร์รารา (Carrara))
หลังพระแท่นใหญ่สำหรับทำมิสซา มีรูปวาดงดงามดึงดูดสายตาของสาธุชนชื่อ “พิธีสวมมงกุฎของพระแม่มารีอาราชินีแห่งสวรรค์” (The Coronation of the Blessed Virgin Mother in Heaven) พระบิดา พระบุตร พระจิตเจ้า ทรงทำพิธี มีเทวดารายล้อม ไม้กางเขนหลังพระแท่นเป็นไม้สีดำแกร่ง มีผ้าขาวพัน แปลกตาสะดุดใจ ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร เป็นเอกลักษณ์ของตัวที่น่าทึ่งในความคิดของผู้ทำ ข้างผนังสองข้างหลังพระแท่น มีรูปวาดชีวิตลำเค็ญของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ สุดฝั่งตรงข้ามของพระแท่น เป็นประตูเข้าออกวัดทำด้วยทองสัมฤทธิ์ และบนชั้น 2 ที่เป็นสถานที่ขับร้องวางเปียโน มีกระจกสีสลับลายเป็นรูปการฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า พระเป็นเจ้า พระผู้ไถ่ของมวลมนุษยชาติ สูง 25 ฟุต/7.6 เมตรครับ
วัดพระแม่มารีอา มีชื่อเสียงในการขับร้องของ 140 กว่ากลุ่มนักร้อง ในช่วงเทศกาลคริสตสมภพ ระหว่างวันขอบพระคุณพระเป็นเจ้า (Thanksgiving) และวันปีใหม่ เริ่มปีค.ศ. 1988 (23 ปีที่ผ่านมา) มีผู้มาร่วมฟัง 50,000-60,000 ทุกปีครับ
ขบวนสายัณห์ทัวร์ขยับตัวหาที่นั่งในที่นั่งคุกเข่าไม้แข็งเย็นเฉียบ ไม่ทันจะขยับตัวถอดเสื้อกันฝน ก็ต้องเบียดกัน ขยายที่ให้สาธุชนพี่น้องที่ขอนั่งแทรก 3-4 คน
แล้วผู้คนก็ทยอยกันแออัดในวัด ฝนตกกระหน่ำเหมือนจะลองใจให้ถวายเป็นพลีกรรมในความลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ คุณพ่อ 3 องค์ เริ่มเดินขบวนจากประตูวัด มุ่งเข้าหาพระแท่น สาธุชนร้องเพลงประสานจิตประสานใจถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า แล้วก็ร่วมพิธีขั้นตอนของมหาบูชามิสซาขอบพระคุณพระเป็นเจ้า ที่ทรงเมตตาเสด็จลงมาจากสวรรค์ ไถ่บาปให้พวกเรามวลมนุษยชาติ แล้วถ่อมตัวมอบพระกาย พระโลหิต ให้เป็นอาหารทิพย์ของสาธุชน เป็นหนึ่งเดียวในพระกายศักดิ์สิทธิ์ หลังบทเทศน์ก็มีการอวยพรผู้ป่วย เข้าแถวจูบพระธาตุนักบุญพิริกริน สาธุชนเกือบ 500 เรียงรายเดินตามกัน พนมมือ สำรวมจิตใจ หวังพึ่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้า นายแพทย์ใหญ่ของจักรวาลผ่านการร้องขอของท่านนักบุญพิริกริน
สิ้นพิธีมิสซา ฝนที่ตกตลอดเวลาก็พลันหยุดชะงัก ท้องฟ้า อากาศแจ่มใส สาธุชนแช่มชื่นใจ เดินแยกย้ายออกจากวัด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ฯ อิ่มอกอิ่มใจในพระเมตตา ความรัก ของพระผู้เป็นเจ้า พระแม่มารีอา ที่พึ่งของวิญญาณและร่างกาย พ่อแม่ของมวลมนุษยชาติ ดูแลรักใคร่ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ขบวนสายัณห์ทัวร์ขับรถหาที่กินอาหารมื้อเที่ยง (เกือบบ่าย 3 โมง) แล้วขับรถผ่านเมืองพอร์ทแลนด์ เดินทางกลับบ้าน ฉับพลันทันใด ภรรยาหัวหน้าทัวร์ก็ร้องออกมาว่า เห็นรุ้งกินน้ำ 2 ตัวเหนือท้องฟ้า ลูกทัวร์ฮือฮาขยับกล้อง เพราะเกิดมาไม่เคยเห็นรุ้งกินน้ำ 2 ตัวติดกัน ขับรถไม่ถึง 3 นาที ก็มีรุ้งกินน้ำอีก 2 ตัวติดกันเหนือฟ้า ปลายหนึ่งจรดติดพื้นข้างทางหลวง ลูกทัวร์มองหากองเพชรกองพลอยที่ตำนานเล่าขานกันว่า สุดปลายรุ้งกินน้ำจะมีขุมทรัพย์มหาศาลรอคอยผู้โชคดี ขับไม่ถึงอีก 3 นาที ก็มีรุ้งกินน้ำอีก 2 ตัวพาดกันให้เห็น เป็นบุญตา บุญใจ ของสายัณห์ทัวร์ หัวหน้าทัวร์ทำจิตสมาธิภาวนาขอบพระคุณพระเป็นเจ้า ที่ทรงเหมือนกับจะให้พรกล่าวอำลาด้วยรุ้งกินน้ำจากพันธสัญญาที่ทรงให้กับมวลมนุษยชาติหลังจากทรงส่งน้ำล้างโลกในพระธรรมเก่า รุ้งกินน้ำเป็นสัญญลักษณ์แห่งพระเมตตาว่าจะไม่มีการล้างโลกด้วยน้ำอีกครับ (ปฐมกาล 6-9, โนอาร์และน้ำท่วมโลก)
กราบขอบพระคุณ: พระเป็นเจ้า (พระบิดา พระบุตร พระจิต) พระแม่มารีอา
ขอบคุณ: นักบุญ 7 องค์ผู้ก่อตั้งคณะนักบวชผู้รับใช้พระแม่มารีอา
นักบุญ ฟิลิป บินิซิ นักบุญ พิริกริน ลาทิโอสิ
Rev. John Trigilion Jr. PhD, ThD & Rev. Kenneth Brighenti, PhD
(Catholicism for Dummies)
ขอบใจ: น้องตุ๊กทีมสายัณห์ทัวร์ (ตรวจสำนวน การสะกด ไวยากรณ์ พิมพ์)
References:
http://www.thegrotto.org/
http://en.wikipedia.org/wiki/Peregrine_Laziosi
http://www.catholic.org/saints/saint.php?saint_id=237
http://en.wikipedia.org/wiki/Servite_Order
http://en.wikipedia.org/wiki/Mendicant_order
http://en.wikipedia.org/wiki/Philip_Benizi
http://en.wikipedia.org/wiki/Oregon
http://en.wikipedia.org/wiki/Our_Lady_of_Sorrows