พระสันตะปาปาทรงสรรเสริญความกล้าหาญของเธอที่กล้าประกาศคุณค่าของชีวิตท่ามกลางชุมชน ที่สนับสนุนการทำแท้ง : "คุณแม่เทเรซาสามารถมาพบเราได้ทุกเวลาเพื่อเล่าเรื่องที่ท่านได้ทำเพื่อรับใช้ค ุณธรรมแห่งพระวรสาร" พระองค์ตรัส "ข้าพเจ้ายังจำได้ถึง กิจการของคุณแม่ในเรื่องการต่อต้านการทำแท้งและส่งเสริมคุณค่าของชีวิต , แม้เวลาที่ท่านรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Oslo, December 10, 1979). ท่านมักจะพูดบ่อยๆว่า : "ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินผู้หญิงคนใดพูดว่า เธอไม่ต้องการเลี้ยงลูกของเธอต่อไปหรือต้องการทำแท้ง, ขอให้ท่านพยายามพูดชักชวนเธอให้นำลูกของเธอมาให้เรา. เราจะรักลูกของเธอ, และถือว่าลูกของเธอนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเป็นเจ้า ."
ในประเทศคอมมิวนิสต์ คิวบา เดือนมกราคม 1998, พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศว่า : "มารดรภาพ,บางครั้งถูกถือว่าเป็นเหมือนสิ่งขัดขวางอิสรภาพของผู้หญิง , นั่นเป็นการบิดเบือนธรรมชาติและศักดิ์ศรีที่แท้จริงของมนุษย์. เด็กๆจะต้องถูกมองตามที่เขาเป็นจริง -- เป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า --- แต่น่าเสียดายกลับมีบางคนไม่คิดเช่นนั้นและต่อต้าน."
Fr. Sebastian Vazhakala, Superior General of the Missionaries of Charity, ได้เขียนบรรยายความคล้ายคลึงกันของทั้งสองบุคคลนี้ในบทความที่ตีพิมพ์ เมื่อ Oct. 22, 2003 หนังสือรายปักษ์ ชื่อ L'Osservatore Romano:
"คุณแม่เทเรซาและพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เป็นบุคคลธรรมดาที่พระเป็นเจ้าทรงประทานพระพรและความสามารถอันพิเศษ. พระคุณแรกสุดคือความรักซึ่งไม่อาจมองเห็น, ความเมตตากรุณาอันอ่อนหวานและความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว. เพื่อจะเข้าใจในความพิเศษของบุคคลทั้งสองซึ่งอยู่ในยุคสมัยของเรา. เป็นการดีที่มองไปถึงภูมิหลังและสิ่งแวดล้อมมากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและภารกิจใน อนาคตของท่าน;ความคล้ายคลึงกันนั้นทำให้เราพิศวง.
"ประเทศบ้านเกิดของท่านทั้งสอง อยู่ภายใต้ระบบการปกครองของคอมมิวนิสต์. โดยกฏหมายแล้วท่านถูกห้ามไม่ให้เอ่ยพระนามพระเป็นเจ้า. .
"ทั้งสองท่านได้สูญเสียบิดามารดาเมื่ออายุ 9 ขวบ : คารอลเสียมารดาของท่านเมื่อวันที่ 13April, 1929; ส่วนอักเนสสูญเสียบิดาในปี 1919.
"ทั้งสองท่าน, ได้รับพระคุณอันยิ่งใหญ่ในปี 1946 . ในวันที่ 1st Novemberของปี 1946 นั้น, พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงได้รับศีลบรรพชาเป็นพระสงฆ์ แห่งสังฆมณฑลคราคอฟ , โปแลนด์. และวันที่ 10 Septemberของปีนั้น คุณแม่เทเรซาได้รับเสียงเรียกจากภายในครั้งที่สองซึ่งท่านเรียกว่า "กระแสเรียกภายในกระแสเรียก(a call within a call)."
"พระสันตะปาปาและคุณแม่เทเรซาต่างมีความศรัทธาลึกซึ้งในพระแม่มารีอา,โ ดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่พระแห่งฟาติมา, นั่นคือดวงพระทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระแม่มารี. ทั้งสองท่านมีสายประคำเป็นอาวุธที่สำคัญและแข็งแกร่งในการต่อสู้กับความชั่วทางศีลธร รมซึ่งทำลายสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวของประชาชาติในโลก. อันที่จริง, คณะ, the Missionary Sisters of Charity แห่งกัลกัตตา ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 7October, 1950, อันเป็นวันฉลองแม่พระแห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ .
"ข้าพเจ้าอาจพูดต่อไปได้อีกหลายต่อหลายสิ่งที่เกี่ยวกับความคล้ายคลึงก ันระหว่างบุคคลทั้งสองผู้ซึ่งเป็นประกาศกที่พระเป็นเจ้าทรงใช้มาในยุคสมัยของเราเพื่ อทำให้โลกประจักษ์ถึงความรักของพระองค์ที่ยังคงดำรงอยู่เหมือนเดิมเหมือนเมื่อครั้งใ นสมัยของพระเยซูคริสตเจ้า. พวกเราจงมีความหวังและอธิษฐานภาวนาขอให้การเฉลิมฉลองของพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 อันเป็นที่รักของเราและการสถาปนาคุณแม่เทเรซาแห่งกัลกัตตาเป็นนักบุญจะได้นำความยินด ีและทำให้ชาวเราทุกคนมีความใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้า,กับพระศาสนาจักรและโดยเฉพาะอย่างย ิ่งกับคนยากคนจนในโลกนี้มากยิ่งขึ้น."
บุคคลทั้งสองได้พบกันหลายครั้ง. คุณแม่เทเรซาได้ไปเยี่ยมวาติกันบ่อยๆ , และเมื่อวันที่ 3February, 1986 พระสันตะปาปาได้ทรงไปเยี่ยม บ้านของดวงพระทัยบริสุทธิ์ ('house of the pure heart') ของคุณแม่ในกัลกัตตาซึ่งท่านใช้ดูแลผู้ที่ใกล้ตาย , พระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์มี"ความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก" ในสิ่งที่ทรงได้เห็นที่นั่น.
ท่าน Rev. Kim Henning แห่ง Grace Congregational United Church of Christ in Two Rivers.ได้กล่าวว่า "ข้าพเจ้านับถือพระองค์เป็นอันมากเมื่อได้เห็นพระองค์ในประเทศโลกที่สาม, ทรงให้ความหวังแก่คนยากจน,"
"พวกเราได้เห็นพระองค์และคุณแม่เทเรซาอยู่ด้วยกัน. และยากที่จะรู้ว่าใครที่ให้ความเคารพใคร ," ท่านHenning กล่าว. "พระองค์มีความเคารพนับถือคุณแม่เป็นอย่างสูง และเช่นเดียวกันคุณแม่เทเรซา,ในฐานะที่มีความชิดสนิทในความเชื่อของพระศาสนาจักรโรมั นคมทอลิก, ย่อมเคารพพระองค์ท่านอย่างแน่นอน."
บัดนี้ทั้งสองท่านได้อยู่กับพระเป็นเจ้าผู้ที่ท่านรับใช้เป็นอย่างดีโดยอุทิศชีวิตของท่านในการทำสิ่งที่ดีงามแด่พระเยซูเจ้าทุกวันตลอดชีวิตของท่าน.
