Belong to the Truth Jesus Christ

ข่าวอะไรครับ ช่วยแปลหรือย่อ ๆ ให้พอทราบได้ไหมครับ

Pope Meets With Head of Lefebvre Movement
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงพบกับผู้นำกลุ่มเลอแฟปว์



By NICOLE WINFIELD Associated Press Writer

The Associated Press

VATICAN CITY Pope Benedict XVI met Monday with the head of the ultraconservative movement founded by the late Archbishop Marcel Lefebvre _ a meeting the Vatican said was held in the hope of bringing the schismatic group back into "perfect communion" with Rome.
นครรัฐวาติกัน สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงพบกับหัวหน้าของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตพระอัครสังฆราช มาแชล เลอแฟปว์ ทางวาติกันกล่าวว่าการพบปะนี้จัดขึ้นในความหวังที่จะนำกลุ่มคริสมาติกให้กลับคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์กับพระศาสนจักรโรม

There was no immediate comment from Lefebvre's Society of St. Pius X, whose followers reject the Second Vatican Council and celebrate Mass in Latin.

The society has rejected previous efforts by the Vatican to bring Lefebvre's followers back into Rome's fold.

Vatican spokesman Joaquin Navarro-Valls said the meeting between the pope and Monsignor Bernard Fellay, the society's secretary-general, was held "in a climate of love for the church and a desire to arrive at perfect communion."

"While knowing the difficulties, the desire to proceed by degrees and in reasonable time was shown," Navarro-Valls said in a statement.

Lefebvre founded the Switzerland-based society in 1969, opposed to the liberalizing reforms of the 1962-65 Second Vatican Council, particularly its call for Mass to be celebrated in local languages and not in Latin.

He was excommunicated in 1988 after consecrating four bishops without Rome's consent and died in 1991. All four bishops, including Fellay, also were excommunicated.

The society now claims about 450 priests, 180 seminarians and has a presence in 26 countries.

Benedict, who also opposed what he considered excesses of Vatican II, had worked to head off the excommunication order, negotiating with the society to try to keep its members in the fold.

Just months before the excommunication order was made, Benedict, who was then Cardinal Joseph Ratzinger, signed a protocol with Lefebvre that had indicated reconciliation of the society with Rome was imminent. Lefebvre later rejected the accord.

With Benedict now pope, some have speculated that there might be a new push to bring the society back under Rome's wing.

Fellay, for example, welcomed Benedict's April 19 election, saying there was a "gleam of hope" that the new pope might find a way out of what he called the "profound crisis" in which the church finds itself.

Fellay had said he would ask Benedict at the audience, which he requested, to rescind the excommunication order and also to allow Catholics who wish it, to celebrate Mass in Latin without having to ask permission first. But he said those were preconditions for returning to negotiations.

Monday's meeting took place at the pope's summer residence in Castel Gandolfo, south of Rome. Also attending was Cardinal Dario Castrillon Hoyos, who heads a commission created after the 1988 excommunication to try to negotiate with the society, the Vatican statement said.

In a recent interview with the international Web site of the Society of St. Pius X, Fellay said a return to the Latin Mass would mark the start of a "change of atmosphere and spirit in the church," which he believes has been spoiled by the Vatican II reforms.

The pope has said he supports greater celebration of the Latin, or Tridentine Mass, but said that alone won't resolve the problems of the church.

"I am of the opinion, to be sure, that the old rite should be granted much more generously to all those who desire it," he said in his 1997 book "Salt of the Earth." "But a simple return to the old way would not, as I have said, be a solution. Our culture has changed so radically in the last 30 years that a liturgy celebrated exclusively in Latin would bring with it an experience of foreignness that many could not cope with."

Another excommunicated bishop, Bishop Richard Williamson, has warned against any reunion with Rome. In an Internet newsletter earlier this month that announced Monday's meeting, Williamson said the "resistance" movement would carry on without the society if it were to rejoin Rome.

The Rev. Thomas Reese, former editor of the Jesuit magazine America, said the Vatican had "bent over backwards" in the past to try to reach out to the society, and that Benedict was likely to continue the policy since he helped form it as a cardinal.

"The problem is that these concessions have not been enough for the schismatics," Reese said in an e-mail. "They want the rest of the church to follow them in rejecting Vatican II, which they consider illegitimate."

หาคนแปลให้หน่อยครับ

Andreas เขียน: ข่าวอะไรครับ ช่วยแปลหรือย่อ ๆ ให้พอทราบได้ไหมครับ

Pope Meets With Head of Lefebvre Movement
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงพบกับผู้นำกลุ่มเลอแฟปว์

ขอบคุณคุณ Andreas มากครับที่กรุณานำข่าวดีนี้มาแบ่งปันกัน

เป็นข่าวเกี่ยวกับการพบระหว่างสเด็จพระสันตะปาปากับประมุขของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ซึ่งก่อตั้งโดยพระสังฆราช มาร์เซล เลอแฟรบ เพื่อหาแนวทางในการกลับคืนเป็นหนึ่งเดียวกันครับ

ขออนุญาตสรุปประวัติความเป็นมาและสถานภาพปัจจุบันของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 (Society of Saint Pius X หรือที่เรียกชื่อย่อว่า "SSPX") ซึ่งก่อตั้งโดยพระสังฆราช มาร์เซล เลอแฟรบ (Bishop Marcel Lefebvre) และสรุปเนื้อหาสาระของข่าวนี้แบบย่อ ๆ ก็แล้วกันนะครับ



ประวัติความเป็นมาของท่านเลอแฟรบและกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10

พระอัครสังฆราช มาร์เซล เลอแฟรบ เกิดเมื่อวันที่ 29 พ.ย. 1905 ท่านเป็นอดีตอัครสังฆราชแห่ง Tulle, France และเป็นอดีตเจ้าคณะใหญ่ของคณะสงฆ์ Holy Ghost Fathers

สังยานาวาติกันครั้งที่สอง (1962-1965) ได้เป็นเหตุให้มีการปฎิรูปจารีตพิธีกรรมในพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างมากมาย โดยเฉพาะการไม่อนุญาต(ในขณะนั้น)ให้ทำมิสซาเป็นภาษาลาตินอีกต่อไป แต่ให้ทำมิสซาเป็นภาษาท้องถิ่นเท่านั้น

ในปี 1968 ท่านเลอแฟรบ ได้รับการเรียกร้องจากสามเณรใหญ่จำนวนหนึ่งที่ไม่ยอมรับการปฎิรูปของสังยานาวาติกันครั้งที่สอง ให้ก่อตั้งบ้านเณรใหญ่เพื่อการอบรมตามแนวทางเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 1970 ท่านจึงได้ก่อตั้งบ้านเณรใหญ่ Econe Seminary ขึ้นที่ Valias, Switzerland.

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น พระสังฆราช Charriere แห่ง Valias, Switzerland ได้สถาปนากลุ่มสงฆ์ของท่านเลอแฟรบขึ้นเป็น Fraternite Sacredotale de Pie X (the Society of Saint Pius X - กลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10) ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามพระนามของพระสันตะปาปาปีโอที่ 10

กิติศัพท์ของบ้านเณรของท่านเลอแฟรบในฐานะป้อมปราการแห่งจารีตลาติน, แห่งเทวศาสตร์ตามแนวของท่านนักบุญ โทมัส อะไควนัส และ แห่งการปฎิเสธการปฎิรูปของสังยานาวาติกันครั้งที่ 2 ก็ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนั้นท่านเลอแฟรบซึ่งมีความอนุรักษ์นิยมอย่างสุดขั้ว ยังได้ออกแถลงการณ์ประณามการปฎิรูปของสังยานาวาติกันครั้งที่สอง ว่าเป็นการทำลายวิถีเดิม ๆ ของจารีตลาติน, สถาบันสงฆ์, พิธีมิสซา, ของพระศาสนจักรคทอลิก ฯลฯ

เมื่อเดือน ก.พ. 1975 ทางวาติกันได้เชิญท่านเลอแฟรบมาเพื่อการเจรจาหาทางประนีประนอม แต่ก็ไม่อะไรคืบหน้า และถึงแม้ว่าพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ได้มีพระราชโองการให้ท่านเลอแฟรบปิดบ้านเณรของท่าน แต่ท่านก็ไม่ปฎิบัติตาม

ในช่วง 12 ปีต่อมา ท่านเลอแฟรบ ยังคงดำเนินการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 และยอห์นปอลที่ 2 แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างไร และในระหว่างนั้น กลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ก็ได้แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว



การถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร

หลังจากที่พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ได้รับการเลือกตั้งขึ้นเป็นประสันตะปาปา บรรยากาศการเจรจากับท่านเลอแฟรบก็ดีขึ้นมาก โดยทางวาติกันได้ยอมตามข้อเรียกร้องของท่านเลอแฟรบเกือบทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการทำมิสซาเป็นภาษาลาติน

แต่จุดที่ก่อให้เกิดการแตกหักก็คือ ประเด็นเรื่องการสืบทอดขององค์กรกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 โดยทางวาติกันอนุญาตให้ท่านเลอแฟรบสถาปนาสังฆราชเพื่อสืบทอดตำแหน่งประมุขแห่งกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ได้เพียง หนึ่ง ท่านเท่านั้น แต่ท่านเลอแฟรบได้ยืนยันสิทธิที่จะสถาปนาสังฆราชแห่งกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ได้มากกว่าหนึ่งท่านเนื่องจากในการทำพิธีบวชพระสังฆราชใหม่นั้น จำเป็นต้องมีพระสังฆราชอย่างน้อย 3 ท่านเป็นผู้ประกอบพิธี


แต่ทางวาติกันไม่อนุมัติในประเด็นนี้ แต่ท่านเลอแฟรบก็ไม่สนต่อการขอร้องครั้งสุดท้ายจากวาติกัน และได้ทำพิธบวชพระสงฆ์ในกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 จำนวน4 ท่านขึ้นเป็นสังฆราชเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 1988.

ท่านเลอแฟรบและสังฆราช 4 ท่านที่เพิ่งได้รับการสถาปนาก็ถูกวาติกันตัดขาดจากพระศาสนจักร (excommunicated) ในทันที โดยพระคาร์ดินัลแบร์นาร์ด กังแตง ประธานสมณกระทรวงพระสังฆราช ได้ออกประกาศคว่ำบาตรพระอัครสังฆราชเลอแฟรบ วันที่ 1 กรกฎาคม 1988 โดยอาศัยกฎหมายพระศาสนจักรมาตราที่ 1364 ย่อหน้าที่ 1 และมาตรา 1382

"พระสังฆราชองค์ใดกระทำพิธีบวชพระสังฆราชใหม่โดยไม่ได้รับอนุมัติจากสันตะสำนัก และพระสังฆราชที่ได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช ถูกบัพพาชนียกรรมโดยอันโนมัติ" (ipso facto) และท่านสังฆราช Antonio de Castro of Campos, Brazil ผู้ซึ่งสนับสนุนท่านเลอแฟรบมาเป็นระยะเวลายาวนาน และได้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วยก็พลอยถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรไปด้วย

หลังจากการถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร การติดต่อกับวาติกันก็ยุติลง ทั้ง ๆ ที่ทางวาติกันได้พยายามติดต่อขอเจรจาเพิ่มเติมมาอีกหลายต่อหลายครั้ง


มรณกรรมของท่านเลอแฟรบ

ต่อมาท่านเลอแฟรบก็ได้ถึงแก่มรณกรรมด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 1991 รวมสิริอายุ 86 ปี

---------------------

สำหรับท่านที่ต้องการทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 อย่างละเอียด ท่านสามารถเปิดดูได้ที่

http://en.wikipedia.org/wiki/Society_of_St._Pius_X

และที่

http://en.wikipedia.org/wiki/Society_of_St._Pius_X

สำหรับท่านที่ต้องการทราบเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 อย่างละเอียด ท่านสามารถเปิดดูได้ที่

http://en.wikipedia.org/wiki/Society_of_St._Pius_X

และที่

http://www.sspx.org/

ข้างต้นนี้ก็คือประวัติความเป็นมาของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 และสาเหตุที่กลุ่มนี้ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรคาทอลิก รวมถึงความพยายามที่ผ่านมาของวาติกันที่จะนำกลุ่มสงฆ์ที่มีความศรัทธาสูงส่งกลุ่มนี้กลับคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรคาทอลิกอีกครั้งหนึ่ง

ต่อไปนี้ก็คือการสรุปประเด็นหลักของข่าวชิ้นนี้


สมเด็จพระสันตะปาปาทรงพบกับผู้นำกลุ่มเลอแฟรบ

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ ๑๖ ได้ทรงพบกับประมุขของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ซึ่งเป็นกลุ่มที่อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว ซึ่งก่อตั้งโดยท่านอัครสังฆราช มาร์แซล เลอแฟรบ ผู้ล่วงลับไปแล้ว โดยมีพระประสงค์ที่จะนำกลุ่มที่แยกตัวออกจากพระศาสนจักรกลุ่มนี้กลับมาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักร

ในปัจจุบันกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ระบุว่า มีพระสงฆ์ประมาน 450 ท่าน สามเณรจำนวน 180 คน และมีสมาชิกกระจัดกระจายอยู่ใน 26 ประเทศ (รวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งหลาย ๆ ท่านคงทราบจากกรณีที่พระคุณเจ้า มนัส จวบสมัย อดีตสังฆราชแห่งสังฆณฑลราชบุรี เข้าเป็นสมาชิกกลุ่มนี้จนต้องสละตำแหน่งสังฆราชแห่งสังฆมณฑลราชบุรี)


ข่าวดีก็คือ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็นที่รู้จักในนาม พระคาร์ดินัล แร็ตซิงเกอร์ ซึ่งทรงมีความอนุรักษ์นิยมค่อนข้างมาก และทรงต่อต้านหลายต่อหลายสิ่งของการปฎิรูปแห่งสังคยานาวาติกันครั้งที่ 2 ที่พระองค์ทรงเห็นว่าเกินขอบเขต ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเจรจาประนีประนอมกับท่านเลอแฟรบ เพื่อป้องกันการถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยพระคาร์ดินัล แร็ตซิงเกอร์ คือผู้ที่เซ็นสนธิสัญญาแห่งการกลับคืนสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับวาติกันกับท่านเลอแฟรบเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่ท่านเลอแฟรบจะฉีกสนธิสัญญาฉบับนั้น และถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรในเดือน มิ.ย. 1988

ดังนั้น เมื่อพระคาร์ดินัล แร็ตซิงเกอร์ ได้รับการเลือกตั้งขึ้นเป็นพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2005 พระองค์ก็ทรงรื้อฟื้นความพยายามที่จะนำกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 กลับมาสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรคาทอลิกอีกครั้งหนึ่ง

ทางด้านท่านม็องซินญอร์ Bernard Fellay ซึ่งเป็นประมุขปัจจุบันของกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 (และเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรพร้อมกับท่านเลอแฟรบในปี 1988) ก็มีความหวังเช่นเดียวกัน โดยท่าน Fellay กล่าวว่า ท่านจะขอให้พระสันตะปาปาทรงยกเลิกพระราชโองการตัดขาดจากพระศาสนจักร และทรงอนุญาตให้คาทอลิกทั่วไปสามารถทำมิสซาภาษาลาตินได้โดยไม่ต้องขออนุญาต โดยถือว่านี่เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นของการกลับสู่การเจรจา

พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ก็ทรงสนับสนุนและเห็นชอบกับการทำมิสซาเป็นภาษาลาติน เพียงแต่อย่าให้เกินขอบเขตจนละเลยการทำมิสซาเป็นภาษาท้องถิ่น

แต่ในกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 เอง ก็ยังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเป็นหนึ่งเดียวกับวาติกัน เช่นสังฆราช Richard Williamson ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรในปี 1988 ก็ได้เตือนว่า ถ้ากลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 จะคืนเป็นหนึ่งเดียวกับวาติกันแล้ว ขบวนการ "ต่อต้าน" ก็จะดำเนินต่อไปภายนอกกลุ่ม

บาทหลวง Thomas Reese ซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการนิตยสาร America ของคณะเยซูอิต ได้กล่าวว่า ในอดีต วาติกันได้พยายามคืนดีกับกลุ่มนี้โดยได้ยอมผ่อนปรนให้แบบสุด ๆ แล้ว และพระสันตะปาปาเบเนดิกต์คงจะยึดถือแนวทางนี้ต่อไปเนื่องจากพระองค์ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการวางนโยบายนี้ในขณะที่พระองค์ยังเป็นพระคาร์ดินัล

"แต่ปัญหาก็คือ ถึงจะยอมผ่อนปรนถึงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่พอสำหรับกลุ่มที่แยกตัวออกจากพระศาสนจักร พวกเหล่านี้ต้องการให้พระศาสนจักรยึดถือตามแนวทางของพวกเขาโดยการปฎิเสธสังคยานาวาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย" บาทหลวง Reese กล่าวไว้ในอีเมล

สรุปแล้วคือ ทางพระสันตะปาปาทรงปรารถนาให้กลุ่มนี้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักร โดยในอดีต พระองค์ในขณะที่เป็นพระคาร์ดินัลและเป็นผู้ลงนามใสนธิสัญญากับท่านเลอแฟรบ ได้ทรงยอมผ่อนปรนให้แบบสุด ๆ แล้ว แต่ฝ่ายท่านเลอแฟรบเองที่เป็นผู้ที่ฉีกสนธิสัญญาฉบับนั้น จนเป็นเหตุให้ท่านเลอแฟรบถูกพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ตัดขาดจากพระศาสนจักร

การได้พบปะกันอีกครั้งหนึ่งในครั้งนี้ น่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีแห่งการกลับคืนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ก็ยังมีบางคนในกลุ่มทีไม่เห็นด้วย

คงต้องติดตามเหตุการณ์ต่อไปอย่างใกล้ชิดนะครับ

พวกเราชาวคาทอลิกในประเทศไทยคงอยากให้เห็นการกลับเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรของกลุ่มนี้เป็นความจริงขึ้นมา แต่คงจะทำอะไรไม่ได้มากกว่าการร่วมจิตรร่วมใจกันภาวนาขอให้การเจรจารอบนี้เป็นผลสำเร็จ

และคงมีหลายท่านที่ให้ความสนใจถึงสาเหตุที่พระสังฆราชมนัส จวบสมัย ได้ลาออกจากการเป็นประมุขสังฆณฑลราชบุรีเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2003 จึงขออนุญาตเรียนชี้แจงดังต่อไปนี้ครับ

ในเดือน พ.ค.1993 ท่านมนัสได้มีโอกาสสัมผัสกับกลุ่มสงฆ์แห่งนักบุญปีโอที่ 10 ในระหว่างที่ท่านไปทำธุระที่กรุงมะนิลา ต่อมาท่านก็ได้ "กลับใจ" โดยเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ ท่านที่สนใจอ่านบทสัมภาษณ์ ของท่านมนัสในเรื่องนี้ สามารถเปิดดูได้ที่

http://www.sspx.ca/Angelus/2001_Novembe ... _Manat.htm

หรือที่

http://www.sspx.org/MISCELLANEOUS/bishop_manat.htm

หลังจากที่ท่านมนัสได้ประกาศ "การกลับใจ" ของท่านต่อสาธารณชนในปี 2002 ท่านก็ได้ลาออกจากตำแหน่งสังฆราชแห่งสังฆมฑฑลราชบุรีเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2003 เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อสังฆณฑลฯ

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2003 พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู ในฐานะประธานสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้แจ้งให้บรรดาพระสงฆ์ที่มาร่วมเข้าเงียบได้ทราบว่า

"สืบเนื่องจากกรณีพระคุณเจ้ายอห์น บอสโก มนัส จวบสมัย ลาออกจากประมุขสังฆณฑลราชบุรี และพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ได้ทรงอนุมัติแล้วนั้น บัดนี้กิจการต่าง ๆ ที่พระคุณเจ้ากระทำหลังจากที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของพระคุณเจ้า โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สิน สังฆณฑลราชบุรีไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ พระคาร์ดินัลไมเกิ้ล มีชัย กิจบุญชู กล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมว่า เกี่ยวกับการกระทำบางอย่างที่ขัดต่อสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกสอน และได้มีพระสงฆ์หรือคริสตังบางคนเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่ทราบ ซึ่งในกรณีนี้คือ "กรณีพระอัครสังฆราชเลอแฟรบ" พระคาร์ดินัลได้เคยกล่าวกับพระสงฆ์ในอัครสังฆณฑลกรุงเทพฯ มาบ้างแล้ว และครั้งนี้พระคุณเจ้าย้ำอย่างหน้กแน่นว่า

"ในฐานะประมุขอัครสังฆณฑลกรุงเทพฯ ไม่อนุญาตให้กลุ่มพระสงฆ์ที่ติดตามพระอัครสังฆราชเลอแฟรบ ซึ่งชื่อว่า "คณะนักบุญปีโอที่ 10" ทำพิธีมิสซสในวัดหรือในที่สาธารณะ ภายในอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ โดยเด็ดขาด"

เนื่องจากพระอัครสังฆราชเลอแฟรบ ได้ถูกพระศาสนจักรประกาศบัพพาชนียกรรม ขาดความนอบน้อมเชื่อฟัง

(จากหนังสืออุดมสาร ปีที่ 27 ฉบับที่ 44 ประจำวันที่ 26 ต.ค. - 1 พ.ย. 2003)

ขอบคุณพี่เพชรอ่ะคับ ที่นำข่าวดี และน่าตื่นเต้นมาบอกกล่าว

และขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับ คุณพี่ NNS ( ไวเหมือน CNN ) นักแปลมือของของชาวนิวมานา

และยังเป็นแหล่งข่าวชั้นเยี่ยม ให้ น้องๆที่บอร์ดนี้

น้องเจี๊ยบสังเกตว่า คุณพี่ (ถ้าเป็นคุณพ่อ ก็ขออำภัย ฮะ ) NNS เป็นฝ่ายจารีต และแหล่ง Q ซ็อสให้น้องๆ ที่มีข้อมูลล้วงลึก (แต่ไม่ลับ )ให้น้องๆฮับ

พูดมาเสียยาว น้องเจี๊ยบอยากเรียนถามพี่ NNS ดังนี้ ฮะ

-คาทอลิก แบ่งออก เป็นกี่กลุ่ม ฮับ เช่นมี Old Catholic และ ฯลฯ

-เมื่อแยกออกไปจาก วาติกัน อย่างนี้ แล้ว พวกเขา มีอะไรที่เด่นชัดมากจริงๆ เช่น มิสซาภาษาเดิม (ก่อนสังคายานา วาติกันที่ 2 ) พวกเขาได้ตัด พิธีกรรมอะไรไหม แล้วพวกนักบวช
ที่สูงสุดเรียกว่าโป๊บด้วยไหม หรือแค่พระสังฆราช ปัจจุบันมีสมาชิก ทั่วโลก เท่าไหร่

-อย่างประเทศไทย มีกี่กลุ่ม หรือร่วมมิสซา อย่างไร พระคุณเจ้ามนัส เป็นพระสังฆราชของกลุ่มนี้หรือเปล่า ฮะ

ขอบคุณมากๆฮะ ;D