พระสังคายนาวาติกันที่ 2 ได้ให้ หลักการสำคัญเพื่อแนวทางในการปฏิบัติพิธีกรรม นอก
โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 14, 2005 6:37 pm
พระสังคายนาวาติกันที่ 2 ได้ให้ หลักการสำคัญเพื่อแนวทางในการปฏิบัติพิธีกรรม นอกจากนี้ยังได้ให้หลักเกณฑ์ที่จะต้องคำนึงถึงในการก่อสร้างอาคารสถานที่สำหรับการประกอบศาสนกิจ ในการประดับประดาและตกแต่ง รวมทั้งได้ให้แนวทางในการเลือกรูปแบบทางศิลปกรราที่ควรนำมาใช้ในพระสังฆธรรมนูญว่าด้วยพิธีกรรมข้อ 128 ได้ระบุไว้ว่า "จะต้องแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับหนังสือพิธีกรรมต่างๆ ของพระศาสนจักรใหม่โดยเร็วที่สุด กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่ใช้ในคารวกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการสร้างอาคารศักดิ์สิทธิ์ อย่างเหมาะสมและถูกต้อง รูปแบบพระแท่นและการสร้างพระแท่น รูปแบบตู้ศีล และการจัดวางตำแหน่งตู้ศีลไว้ในสถานที่น่าเคารพและปลอดภัย ที่ตั้งและศักดิ์ศรีของสถานที่ประกอบพิธีล้างบาป ตลอดจนการตั้งรูปศักดิ์สิทธิ์ให้ถูกต้องตามระเบียบ การตกแต่งและการประดับโบสถ์ กฎใดที่เห็นว่าไม่สู้เข้ากับพิธีกรรมที่แก้ไขใหม่ ก็รักษาไว้หรือนำมาใช้" พระศาสนจักรให้ข้อแนะนำภาคปฏิบัติเบื้องต้น ในเอกสารพิธีกรรมภาคปฏิบัติ "Inter Oecumenici" (20/9/1964) ประเด็นแรกๆ ที่เอกสารฉบับนี้ให้แนวทางไว้คือ "ในการสร้างโบสถ์ใหม่ หรือในการปรับปรุงโบสถ์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว ขอให้เอาใจใส่อย่างเต็มที่เกี่ยวกับความเหมาะสมในการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นไปตามธรรมชาติที่แท้จริงของพิธีนั้นๆ และให้ได้มาซึ่งการมีส่วนรวมอย่างเต็มที่ของสัตบุรุษ (ข้อ 90) เอกสารฉบับนี้ได้ให้หลักเกณฑ์พื้นฐาน 2 ประการ
3.4.1 โบสถ์จะต้องเป็นสถานที่ที่สามารถประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามความจริง พิธีกรรมนั้นๆ สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ ในสิ่งซึ่งพิธีนั้นต้องการสื่อให้ทราบ
3.4.2 การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในโบสถ์ จะต้องสามารถรองรับชุมชนทั้งหมดผู้กำลังเฉลิมฉลองในพิธีนั้น และนี่คือประเด็นสำคัญประการแรกของการประกอบพิธีกรรม
ผลที่ตามมา จากเอกสารฉบับนี้ก็คือ มีการทบทวนการจัดพื้นที่ใช้สอยแต่ละจุดใหม่หมด พระแท่นจะใหญ่ต้องแยกออกจากผนังด้านหลัง ทำให้พระแท่นนี้เป็น "ศูนย์กลางความสนใจ" ทำให้สัตบุรุษที่กำลังชุมนุมอยู่สามารถมุ่งความสนใจมายังพระแท่นได้เองด้วยความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมชาติ (ข้อ 91) สัตบุรุษจะต้องสามารถมองเห็นที่นั่งของ "ประธาน" ในพิธีได้ โดยรับรู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่ประธานในพิธีใช้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานของที่ชุมนุม (ข้อ 92) ให้ยกเลิกการใช้พระแท่นน้อยทั้งหมด (ข้อ 39) ได้เปิดทางให้สามารถจัดตู้ศีล ไว้นอกพระแท่นใหญ่ และนอกบริเวณพระแท่น (ข้อ 95) กำหนดให้นำบรรณฐานกลับมาใช้ใหม่ โดยถือเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมโดยตรง ใช้เพื่อประกาศพระวาจาของพระเจ้า ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่พื้นที่ในส่วนที่สงวนไว้สำหับบรรดาสัตบุรุษ "ขอให้ทำการศึกษาด้วยความเอาใจใส่ในการจัดพื้นที่สำหรับสัตบุรุษ หากจัดม้านั่งยาว หรือเก้าอี้ไว้สำหรับพวกเขา ขอให้เตรียมการล่วงหน้า หาวิธีให้สัตบุรุษไม่เพียงแต่มองเห็นพิธีได้ เท่านั้น แต่ให้สามารถฟังเสียงประธานในพิธี และศาสนบริกรคนอื่นได้ชัดเจน ทั้งนี้โดยอาศัยเทคนิคและเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่วย (ข้อ 98)
คำแนะนำการใช้พิธีมิสซาแบบจารีตโรมัน (The Roman Missal General Instruction I.G.) บทที่ 5 ข้อ 253-280 ได้อธิบายแนวทางเบื้องต้นเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายเพิ่มเติม ในบทนำของหนังสือพิธีสำหรับพระสังฆราช (The Roman Pontifical) ในจารีตที่เกี่ยวกับการวางศิลาแรก พิธีอภิเษกโบสถ์และอภิเษกพระแท่น หนังสือพิธีเหล่านี้ล้วนเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญในการวางโครงการสร้างโบสถ์ใหม่ซึ่งไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ยังมีเอกสารของสภาพระสังฆราชแต่ละประเทศ ที่ให้แนวทางในเรื่องเหล่านี้ด้วย
สำหรับรูปแบบทางศิลปกรรมที่ควรจะนำมาใช้นั้น แนวทางที่สังคายนาได้ให้ไว้ถือเป็นแนวทางที่ทันสมัยอยู่เสมอ นั่นคือพระศาสนจักรไม่เคยถือว่า รูปแบบทางศิลปกรรมแบบใดเป็นของตนเองโดยเฉพาะ พระศาสนจักรรับเอาศิลปต่างๆ ของทุกยุคมาใช้ ตามลักษณะและสภาพชนชาติต่างๆ ตามความต้องการของจารีตต่างๆ ด้วย ดังนั้นในระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมาจึงมีศิลปกรรมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งต้องรักษาไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ศิลปะในสมัยของเราซึ่งมาจากชนทุกชาติทุกถิ่น ควรจะได้รับเสรีภาพในการแสดงออกในแวดวงพระศาสนจักรด้วยเช่นกัน ขอแต่ให้ศิลปะนั้นประดับประดาอาคารศาสนา และจารีตศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ด้วยความเคารพและให้เกียรติเท่าที่ควร ดังนี้ก็สามารถจะร่วมเสียงกับบุคคลสำคัญๆ ในอดีตที่ได้ขับร้องถวายเกียรติแด่พระศาสนจักรคาทอลิกในศตวรรษที่แล้วๆ มา (S.C.123)
3.4.1 โบสถ์จะต้องเป็นสถานที่ที่สามารถประกอบพิธีกรรมต่างๆ ตามความจริง พิธีกรรมนั้นๆ สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ ในสิ่งซึ่งพิธีนั้นต้องการสื่อให้ทราบ
3.4.2 การจัดพื้นที่ใช้สอยภายในโบสถ์ จะต้องสามารถรองรับชุมชนทั้งหมดผู้กำลังเฉลิมฉลองในพิธีนั้น และนี่คือประเด็นสำคัญประการแรกของการประกอบพิธีกรรม
ผลที่ตามมา จากเอกสารฉบับนี้ก็คือ มีการทบทวนการจัดพื้นที่ใช้สอยแต่ละจุดใหม่หมด พระแท่นจะใหญ่ต้องแยกออกจากผนังด้านหลัง ทำให้พระแท่นนี้เป็น "ศูนย์กลางความสนใจ" ทำให้สัตบุรุษที่กำลังชุมนุมอยู่สามารถมุ่งความสนใจมายังพระแท่นได้เองด้วยความรู้สึกที่เป็นไปตามธรรมชาติ (ข้อ 91) สัตบุรุษจะต้องสามารถมองเห็นที่นั่งของ "ประธาน" ในพิธีได้ โดยรับรู้ว่าที่นั่นเป็นสถานที่ที่ประธานในพิธีใช้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานของที่ชุมนุม (ข้อ 92) ให้ยกเลิกการใช้พระแท่นน้อยทั้งหมด (ข้อ 39) ได้เปิดทางให้สามารถจัดตู้ศีล ไว้นอกพระแท่นใหญ่ และนอกบริเวณพระแท่น (ข้อ 95) กำหนดให้นำบรรณฐานกลับมาใช้ใหม่ โดยถือเป็นองค์ประกอบของพิธีกรรมโดยตรง ใช้เพื่อประกาศพระวาจาของพระเจ้า ให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่พื้นที่ในส่วนที่สงวนไว้สำหับบรรดาสัตบุรุษ "ขอให้ทำการศึกษาด้วยความเอาใจใส่ในการจัดพื้นที่สำหรับสัตบุรุษ หากจัดม้านั่งยาว หรือเก้าอี้ไว้สำหรับพวกเขา ขอให้เตรียมการล่วงหน้า หาวิธีให้สัตบุรุษไม่เพียงแต่มองเห็นพิธีได้ เท่านั้น แต่ให้สามารถฟังเสียงประธานในพิธี และศาสนบริกรคนอื่นได้ชัดเจน ทั้งนี้โดยอาศัยเทคนิคและเครื่องมือที่ทันสมัยเข้ามาช่วย (ข้อ 98)
คำแนะนำการใช้พิธีมิสซาแบบจารีตโรมัน (The Roman Missal General Instruction I.G.) บทที่ 5 ข้อ 253-280 ได้อธิบายแนวทางเบื้องต้นเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายเพิ่มเติม ในบทนำของหนังสือพิธีสำหรับพระสังฆราช (The Roman Pontifical) ในจารีตที่เกี่ยวกับการวางศิลาแรก พิธีอภิเษกโบสถ์และอภิเษกพระแท่น หนังสือพิธีเหล่านี้ล้วนเป็นเอกสารอ้างอิงที่สำคัญในการวางโครงการสร้างโบสถ์ใหม่ซึ่งไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ยังมีเอกสารของสภาพระสังฆราชแต่ละประเทศ ที่ให้แนวทางในเรื่องเหล่านี้ด้วย
สำหรับรูปแบบทางศิลปกรรมที่ควรจะนำมาใช้นั้น แนวทางที่สังคายนาได้ให้ไว้ถือเป็นแนวทางที่ทันสมัยอยู่เสมอ นั่นคือพระศาสนจักรไม่เคยถือว่า รูปแบบทางศิลปกรรมแบบใดเป็นของตนเองโดยเฉพาะ พระศาสนจักรรับเอาศิลปต่างๆ ของทุกยุคมาใช้ ตามลักษณะและสภาพชนชาติต่างๆ ตามความต้องการของจารีตต่างๆ ด้วย ดังนั้นในระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมาจึงมีศิลปกรรมเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งต้องรักษาไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ศิลปะในสมัยของเราซึ่งมาจากชนทุกชาติทุกถิ่น ควรจะได้รับเสรีภาพในการแสดงออกในแวดวงพระศาสนจักรด้วยเช่นกัน ขอแต่ให้ศิลปะนั้นประดับประดาอาคารศาสนา และจารีตศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ด้วยความเคารพและให้เกียรติเท่าที่ควร ดังนี้ก็สามารถจะร่วมเสียงกับบุคคลสำคัญๆ ในอดีตที่ได้ขับร้องถวายเกียรติแด่พระศาสนจักรคาทอลิกในศตวรรษที่แล้วๆ มา (S.C.123)