หน้า 1 จากทั้งหมด 1
วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:25 pm
โดย Holy
วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
คุณพ่อยัง ดังโตแนล
การพัฒนาอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน เปลี่ยนโฉมหน้าของวัฒนธรรมทั่วไป มีคนมากมายที่ไว้ใจวิทยาศาสตร์จนถึงทำให้คุณค่าของวัฒนธรรมเปลี่ยนไปหรือหายไปเลย "ฟาสท์ฟู๊ด" และ "กางเกงยีนส์" มาแทนวิธีการกิน และวิธีการแต่งกายตามประเพณีเดิม ในโลกตะวันตก การก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เกิดวัตถุนิยม นักปรัชญาและคนอื่น ๆ หลายคนถือว่าวิทยาศาสตร์มาแทนศาสนา และความเชื่อถึงพระเป็นเจ้า เป็นทัศนคติ โบราณล้าสมัย ในโลกตะวันออก การก้าวหน้าของวิทยา-ศาสตร์และเทคโนโลยียังไม่ได้ลบล้างศาสนา แต่หลายคนยืนยันว่า อีกไม่นานศาสนาจะหมดสิ้นไปเช่นเดียวกัน เพราะว่า แนวคิดสองอย่างนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ มีคนมากที่ใช้ข้อสรุปหรือข้อพิสูจน์ของวิทยาศาสตร์ เพื่อจะปฏิเสธพระเป็นเจ้า หรือแสดงว่าศาสนาคือความเชื่องมงายที่จะเข้ากับวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย
บรรดาปัญญาชนหรือผู้ที่มีการศึกษาระดับสูงส่วนใหญ่คงคุ้นเคยวิธีการของวิทยา-ศาสตร์ มีความรู้อย่างละเอียดในด้านนี้ แต่อาจจะมีความรู้น้อยเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งทำให้เกิดช่องว่าง หรือขาดความสมดุลระหว่างความรู้สองประเภท ประเภทหนึ่งมีเหตุมีผล อีกประเภทหนึ่งมีแต่ความเชื่อที่ขาดรากฐานลึก ๆ จากนั้นมีแนวโน้มว่าจะไว้ใจวิทยา-ศาสตร์มากกว่าศาสนา
จุดประสงค์ของบทความนี้คือ การแสดงว่าวิทยาศาสตร์ไม่ขัดแย้งกับศาสนา ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อหรือการยอมรับพระเป็นเจ้า ก่อนอื่นเราจะพิจารณาจุดเริ่มของศาสนา ข้อที่สองจะพูดถึงเป้าหมายและขอบเขตของวิทยาศาสตร์และสุดท้ายเราจะดูว่าเหตุผลหรือพื้นฐานของศาสนา และโดยเฉพาะของการยอมรับพระเป็นเจ้าอยู่ที่ไหน วิทยาศาสตร์และศาสนาไม่เป็นศัตรูกันเป็นความรู้สองระดับที่แตกต่างกัน
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:27 pm
โดย Holy
จุดเริ่มของศาสนา
เราขอพิจารณาเรื่องศาสนานี้ ตามแนวคิดของปรัชญา เมื่อเราพูดถึงจุดเริ่มนี้ เราไม่ต้องการอธิบายว่า ศาสนาได้เกิดมาอย่างไรในประวัติศาสตร์ทางเดิมของมนุษยชาติ นักวิชาการฝ่ายมนุษยวิทยาสังเกตว่า สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของมนุษย์ คือพิธีทางศาสนา เกี่ยวกับธรรมชาติหรือเกี่ยวกับผู้ตายซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงว่า ศาสนาเป็นคุณลักษณะประจำของมนุษย์ตั้งแต่ต้น ในแง่มุมของปรัชญา เราอยากจะดูว่า ทำไมต้องมีศาสนา มีอะไรบ้างที่จะเป็นสาเหตุทำให้มนุษย์คิดว่า ต้องมีพระเป็นเจ้า หรือเทวดา หรือผี ที่อยู่สูงกว่ามนุษย์ เหนือธรรมชาติ ทำไมมนุษย์เกิดความรู้สึกว่าต้องเคารพบูชาเทพเจ้าเหล่านั้น
นักปรัชญาบางคนของสมัยปัจจุบัน มีทฤษฎีเกี่ยวกับสาเหตุของศาสนานี้ที่ส่งเสริม อเทวนิยม คือในสมัยโบราณ มนุษย์ได้มีความคิดว่าต้องมีพระเป็นเจ้าหรือเทพเจ้า เป็นผู้ควบคุมธรรมชาติและชีวิตมนุษย์ แต่สมัยนี้ที่มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์แล้ว ไม่ต้องมีพระเป็นเจ้า มนุษย์สามารถที่จะควบคุมธรรมชาติด้วยตนเอง
อาทิเช่น บรรดาปฏิฐานนิยม (Positivism) ยกย่องคุณภาพและประสิทธิภาพของวิทยา-ศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน Auguste Comte ได้ตั้งทฤษฎีของ 3 ยุค ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ยุคแรกคือยุคของศาสนา มนุษย์อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งในธรรมชาติหรือในชีวิตของตนว่า มีเทพเจ้าเป็นต้นเหตุ เทพเจ้าทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นหรือลง ทำให้ฝนตกหรือลมพัด ทำให้มีแม่น้ำไหล และทำให้ต้นไม้บังเกิดผล ชีวิตของคนก็เช่นเดียวกัน โชคชะตา ความสุข ความทุกข์ของแต่ละคนอยู่ในความดูแลของพระเจ้า เป็นเทพเจ้าที่ทำให้คนเกิดเป็นโรคหรือตาย เมื่อมนุษย์ได้ใช้ความคิดตามเหตุตามผล ก็ถึงยุคที่สองคือยุคของปรัชญา โดยเฉพาะอภิปรัชญา นักปรัชญาไม่ได้ใช้พระเจ้าเพื่อจะอธิบายโลก แต่เริ่มใช้หลักตามเหตุผล มีการพูดถึงหลักสำคัญ ๆ ของปรัชญา เช่นสารัตถะและอัตถิภาวะ กัตตุภาวะและศักยภาพ ซึ่งสามารถให้เหตุผลสำหรับการเคลื่อนไหวของธรรมชาติ โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้าแล้ว แต่สมัยปัจจุบันเป็นยุคที่สามที่ไม่ได้ใช้ศาสนาหรือปรัชญาแล้ว มีวิทยาศาสตร์ที่ใช้การสังเกต การทดลองและการพิสูจน์ วิธีการของวิทยาศาสตร์นี้แน่นอนกว่าศาสนาหรือปรัชญา เพราะว่าไม่เป็นจินตนาการ ไม่เป็นนามธรรมแล้ว มันตรงกับประสบการณ์ และสามารถใช้ได้เพื่อจะทำให้เกิดผล วิทยา-ศาสตร์แสดงถึงความสามารถและประสิทธิภาพของมนุษย์ มนุษย์เริ่มควบคุมธรรมชาติ โดยไม่ต้องอาศัยพระเจ้าแล้ว ยุคที่สามนี้คือความสมบูรณ์ของมนุษย์ และการขับไล่ทั้งศาสนาและอภิปรัชญาตามแนวคิดของ Comte นี้ ศาสนาเกิดขึ้นเพราะอวิชาของมนุษย์ เป็นผลของจินตนาการ ของผู้ที่ยังขาดความรู้ เมื่อวิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นแล้ว คนก็มีความรู้แท้ และทิ้งจินตนาการนี้ไปเลย
Feuerbach ได้มีความคิดตามแนวเดียวกัน มนุษย์ต้องอาศัยธรรมชาติเพื่อจะดำเนินชีวิตได้ สำหรับอาหารการกิน การแต่งกายหรือที่อยู่อาศัย มนุษย์ต้องใช้พืช สัตว์ และทรัพยากรธรรมชาติ แต่สภาพนี้ทำให้เกิดความไม่แน่นอนหรือความกลัว และความรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ ไม่มีความสามารถอะไรเลย เพื่อจะมีข้าวกินต้องมีน้ำ ถ้าหากว่าอากาศแห้งแล้ง จะไม่มีข้าว แต่เมื่อไม่มีฝน มนุษย์ไม่สามารถทำให้มี ดังนั้นมนุษย์คิดว่ามีพระเจ้าเป็นผู้บังคับธรรมชาติและมนุษย์เริ่มสวดภาวนา ถวายบูชาแด่พระเจ้า เพื่อจะขอให้พระองค์ทำสิ่งที่มนุษย์อยากทำแต่ทำไม่ได้ นี้คือสาเหตุของศาสนา แต่ตามความคิดของ Feuerbach ศาสนานี้เป็นสิ่งที่อันตรายและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของมนุษย์ ตราบใดที่มนุษย์ต้องอาศัยอำนาจของพระเป็นเจ้านี้ มนุษย์จะอยู่ในสภาพกลัว ไม่เป็นตัวของตัวเอง และไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตน เพื่อจะเป็นนายเหนือธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเราต้องทิ้งศาสนาที่ทำให้เราเป็นทาส ต้องเข้าใจว่าอำนาจหรือคุณภาพต่าง ๆ ที่เราได้คิดว่าเป็นของพระเจ้านั้น ที่จริงเป็นคุณภาพของมนุษย์ เราควรจะพัฒนาคุณภาพต่างๆ นี้เพื่อจะทำให้เราเป็นนายเหนือตนเองและเหนือธรรมชาติ
ตามลัทธิของบรรดานักปรัชญาแบบนี้ ศาสนาเป็นท่าทีที่ล้าสมัยแล้วเป็นโลกทัศน์ของผู้ที่ยังเป็นเด็ก ขาดความรู้ ขาดความสามารถ ศาสนาได้เกิดขึ้นเพราะว่ามนุษย์ขาดความรู้และอำนาจ แต่เวลานี้ที่วิทยา-ศาสตร์ให้ความรู้และอำนาจมนุษย์ทิ้งศาสนาเลย ศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้ากันไม่ได้
เราควรพิจารณาแนวคิดของปฏิฐานนิยมหรือของ Feuerbach ให้ดีหน่อย มีจุดหนึ่งที่จะรับว่าถูกต้อง คือศาสนาและการยอมรับว่ามีพระเป็นเจ้านั้น อยู่บนพื้นฐานของประสบการณ์ของมนุษย์เกี่ยวกับขอบเขตจำกัดของตัวเอง การยอมรับนับถือสิ่งสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเจ้า ธรรม เทพเจ้าหรือผี อยู่พร้อมกันความสำนึกว่าตัวมนุษย์เองไม่สมบูรณ์ ควบคุมชีวิตของตนหรือธรรมชาติรอบข้างทั้งหมดไม่ได้ ความสำนึกนี้มาจากประสบการณ์หลายอย่าง มนุษย์ไม่สามารถบังคับให้เหตุการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติไปตามความต้องการของตน เราพึ่งจะมีประสบการณ์อย่างนี้กับเหตุการณ์น้ำท่วม แต่ไม่มีเพียงแต่ประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมชาติแต่อย่างเดียว เพราะในเขตนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีช่วยขยายอำนาจ และความสามารถของมนุษย์ แต่เรายังมีประสบการณ์แบบอื่น ๆ ที่แสดงถึงความจำกัดของมนุษย์ และวิทยาศาสตร์ช่วยไม่ได้ คือความสงสัยเกี่ยวอนาคตที่ไม่แน่นอน ความหมายของความทุกข์หลายชนิด และโดยเฉพาะความตาย วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเท่าไรไม่ว่าคงจะให้คำตอบกับปัญหาแบบนี้ไม่ได้เลย และความสำนึกถึงความจำกัดนี้ ทำให้มนุษย์แสวงหาความหมายและคำตอบนอกจากตัวเอง คิดว่าต้องอาศัยสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สูงกว่าตัวเอง และความคิดแบบนี้เป็นจุดเริ่มอย่างหนึ่งของศาสนา
นอกจากประสบการณ์ที่อธิบายมาแล้วนี้ ยังมีสิ่งหนึ่งที่ปฏิฐานนิยมมองข้ามเลย คือ การติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น นักปรัชญาสมัยปัจจุบันหลายท่าน ได้เริ่มจากความสัมพันธ์นี้เพื่อจะอธิบายความหมายและเหตุผลของศาสนา มนุษย์ทุกคนต้องการที่จะเปิดตัวเอง สร้างความสัมพันธ์เป็นมิตรกับผู้อื่น และการให้ความเคารพและความรักต่อผู้อื่นนั้น เป็นวิธีการพัฒนาตัวเอง เพื่อจะเป็นตัวของตัวเอง มนุษย์ทุกคนต้องการความสัมพันธ์หรือมิตรภาพกับผู้อื่นด้วย ความรักเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของเรา ความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการยอมรับแนวคิดของผู้อื่นที่แตกต่างจากแนวคิดของฉัน ทำให้ฉันสำนึกว่า ฉันเองยังไม่รู้ทุกอย่างไม่เป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง ความรู้ของฉันไม่ใช่ความจริงทั้งครบ เพราะว่าผู้อื่นมองความจริงในแง่ที่แตกต่างจากฉัน เรื่องนี้คือประสบการณ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้เรายอมรับว่า ความจริง ความดี ทั้งครบอยู่สูงกว่าเรา เป็นความสำนึกถึงขอบเขตจำกัดของมนุษย์ในอีกรูปหนึ่ง และเป็นทางทำให้มนุษย์ยอมรับว่า จำเป็นต้องเปิดตัวเองสัมพันธ์กับสิ่งอื่นหรือผู้ที่เป็นความจริงและความดีสูงสุด นี้เป็นหนทางอีกอย่างหนึ่งของศาสนาและความเชื่อในชีวิตมนุษย์ ที่ปฏิฐานนิยมไม่ได้พิจารณา
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:29 pm
โดย Holy
2. ทำไมวิทยาศาสตร์เป็นปัญหา
เนื้อหาของศาสนาและเนื้อหาของวิทยา-ศาสตร์แตกต่างกันมาก ทั้งสองอยู่ต่างระดับ และไม่น่าจะมีการกระทบต่อกันและกัน แต่ถ้าหากว่าเราจะมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวคิดของหลาย ๆ คน เราก็เห็นว่าคนใช้วิทยา-ศาสตร์เป็นการต่อต้านศาสนา ตามรูปแบบของปฏิฐานนิยม ที่ใช้ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อจะปฏิเสธพระเป็นเจ้า แน่นอนประสิทธิภาพของวิทยาศาสตร์ ทั้งในการอธิบายให้เหตุผล และในด้านปฏิบัติและการประยุกต์เพิ่มความสำคัญ และน้ำหนักของมันในโลกทัศน์ของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน แต่ทำไมบางคนสรุปว่าโลกทัศน์ของศาสนาเป็นเพียงแต่จินตนาการหรือภาพหลอกตา? เราจะขออ้างถึงสามประการช่วยให้คำตอบบ้าง
ประการแรกเกี่ยวข้องกับวิธีการเฉพาะของวิทยาศาสตร์ เมื่อวิทยาศาสตร์สังเกตค้นคว้าและอธิบายปรากฎการณ์ของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของจักรวาลหรือชีว วิทยา จำเป็นต้องอยู่ภายในวงของสิ่งที่สัมผัสและทดลองได้ พระเป็นเจ้าหรือสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ ก็อยู่นอกเหนือวิธีการของวิทยาศาสตร์ด้วย หมอที่กำลังพิจารณาคนป่วย จำเป็นต้องหาเหตุผลของโรคในระบบโครงสร้างของร่างกาย ถ้าจะบอกว่าโรคมาจากพระเป็นเจ้าหรือเป็นผีที่ทำให้เกิดขึ้น หมอออกจากวิธีการของวิชาแพทยศาสตร์ เช่นเดียวกันผู้ที่พยากรณ์อากาศต้องหาเหตุผลของพายุที่เกิดขึ้นในกฎของธรรมชาติเอง โดยไม่ต้องอ้างถึงพระเป็นเจ้า แต่วิธีการนี้ ไม่ได้แสดงหรือพิสูจน์ว่า ไม่มีพระเป็นเจ้า สิ่งเดียวที่ปรากฏนี้คือการมีอยู่ของพระเป็นเจ้าอยู่นอกขอบเขตของวิทยาศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ไม่ควรจะใช้ข้อมูลของวิทยา-ศาสตร์เพื่อจะยืนยันหรือปฏิเสธสิ่งที่อยู่นอกขอบค่ายของมัน
อีกประการหนึ่งขึ้นกับวัฒนธรรมประเพณีของโลกตะวันตก แนวความคิดของชาวตะวันตกไปตามรูปแบบของเหตุผลนิยม ในด้านความรู้คนยุโรปต้องการเข้าใจ ต้องสามารถให้เหตุผลหรือพบข้อพิสูจน์สำหรับทุกอย่างได้ ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาก็เช่นเดียวกัน นักปรัชญาส่วนใหญ่ได้พยายามหาเหตุผลหรือพิสูจน์การมีอยู่ของพระเป็นเจ้า เมื่อได้เจอประสิทธิภาพของวิธีการต่างๆทางวิทยาศาสตร์ในการให้เหตุผล และข้อพิสูจน์แล้ว ได้มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีเดียวกัน เพื่อจะพิสูจน์พระเป็นเจ้าได้ แต่เมื่อสังเกตว่าวิธีนั้น ไม่สามารถพิสูจน์ได้แล้ว คงจะปล่อยให้ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อแต่อย่างเดียว คือเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว ถ้าหากว่าพระเป็นเจ้าและข้ออื่นของศาสนาเป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ไม่ได้แล้ว ตามที่ Kant ได้แสดงในการวิเคราะห์ความรู้ของมนุษย์ ก็ทำให้เกิดแนวโน้มว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ ถ้าไม่มีเหตุผลก็ควรจะทิ้งไปเลย สิ่งที่เป็นความจริงคือสิ่งที่มีเหตุผลแต่อย่างเดียว และเนื่องจากว่าการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ สามารถให้เหตุผลสำหรับหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นข้อลึกลับในสมัยก่อน หลายคนคิดว่าขอบเขตของความเชื่อหรือศาสนานั้น แคบลงมากขึ้นทุกวัน เริ่มมีการยืนยันว่า ทีละนิดทีละน้อยวิธีการของวิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายทุกสิ่งได้ ถ้ามนุษย์ได้ใช้ศาสนาและพระเป็นเจ้าเพื่อจะอธิบายสิ่งที่ไม่มีเหตุผล วันหนึ่งจะมาถึงแล้วที่เราจะไม่ต้องการพระเป็นเจ้าแล้ว เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมีเหตุผลอย่างชัดแจง สำหรับคนที่มีแนวคิดเหตุผลนิยมแบบนี้ ศาสนาซึ่งเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อยู่แล้ว จะต้องสลายไป และวิทยาศาสตร์จะต้องขึ้นมาแทน
ประการที่สาม คือ ความคิดที่เรามีเกี่ยวกับพระเป็นเจ้า ผู้ที่เชื่อถึงพระเป็นเจ้านั้น มองดูพระเป็นเจ้าอย่างไร มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือความเข้าใจถึงพระเป็นเจ้าหลายครั้ง แสดงออกในรูปแบบที่เป็นการชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์ หลายคนคงจะยอมรับวิธีการและผลของวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อจะพบปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ ก็จะบอกว่าเหตุผลหรือการตอบคือพระเป็นเจ้า เช่นเรื่องจุดเริ่มของมนุษยชาติ คงยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการโดยทั่วไป แต่เมื่อจะพบปัญหาเรื่องการต่อเนื่องจากสัตว์ถึงมนุษย์ จะเห็นว่าวิทยาศาตร์ยังมีปัญหาในการหาข้อมูลพอที่จะยืนยันว่า มนุษย์มาจากสัตว์ หลายคนคงจะบอกว่ามนุษย์ไม่ได้มาจากสัตว์ แต่มาจากพระเป็นเจ้า คือพระเป็นเจ้าได้สร้างมนุษย์โดยตรง ความคิดแบบนี้คงจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด คือทำให้พระเป็นเจ้าเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งภายในกระบวนการของธรรมชาติ ความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์จะรับไม่ได้ เพราะว่าไม่มีทางที่พระเป็นเจ้าจะเป็นปรากฏการณ์เหมือนปรากฏการณ์อื่น ๆ ของธรรมชาติที่สังเกตหรือสัมผัสได้ พระเป็นเจ้าคงเป็นสาเหตุสร้างมนุษย์ขึ้นมา แต่เป็นสาเหตุที่อยู่นอกกระบวนการของธรรมชาติ ไม่มีทางที่นักวิทยาศาสตร์จะพบพระเป็นเจ้าในการสังเกต วิเคราะห์หรือทดลองปรากฏการณ์ทางกายภาพ เช่นเดียวกันวิธีพิสูจน์การมีอยู่ของพระเป็นเจ้าที่อยากแสดงว่า พระเป็นเจ้าเป็นผู้สร้างโลกจักรวาล เป็นข้อพิสูจน์ที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยยอมรับ เราอาจจะเปรียบเทียบโลกจักรวาลที่ซับซ้อนมากและมีระเบียบกับเครื่องจักร นาฬิกาหรือบ้านใหญ่โตและสวยงาม เครื่องจักรนาฬิกาหรือบ้านนั้นต้องมีคนวางแผนและสร้างไว้ให้เป็นแบบนี้ เช่นเดียวกัน โลกจักรวาลต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งวางแผนและสร้างไว้และผู้นี้แหละคือพระเป็นเจ้า นักปรัชญาหลายคนได้ตั้งข้อสังเกต เกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ว่าไม่เพียงพอและใช้ได้ยาก ข้อพิสูจน์นี้ทำให้คิดว่าต้องมีปฐมเหตุของโลกก็จริง แต่ไม่มีอะไรที่แสดงว่าปฐมเหตุนี้มีลักษณะที่แตกต่างจากสาเหตุอื่น ๆ ทางกายภาพ ยังไม่มีอะไรที่แสดงว่าผู้ที่เป็นปฐมเหตุนั้นเป็นผู้เดียวกับพระเป็นเจ้าที่ศาสนาเคารพนับถือ มีวิธีใช้การพิสูจน์แบบนี้ที่ไม่ได้แตกต่างจากวิธีการของวิทยาศาสตร์ และคนที่มีเหตุผลเพียงแต่แค่นี้ เพื่อจะเชื่อถึงพระเป็นเจ้า คงได้รับการกระทบมากจากการก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ข้อพิสูจน์ตามเหตุตามผลแบบนี้อาจจะมีประโยชน์น้อยทีเดียว และยังไม่เพียงพอเพื่อจะสร้างพื้นฐานที่แน่นอนสำหรับความเชื่อถึงพระเป็นเจ้า
ข้อสังเกตทั้งสามประการนี้ แสดงว่าวิทยาศาสตร์และศาสนาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ตราบใดที่จะอยู่ภายในวิธีการและขอบค่ายของวิทยาศาสตร์ คงไม่มีทางที่จะพบพระเป็นเจ้าหรือหลักสำคัญของศาสนาพระเป็นเจ้าหรือสิ่งสูงสุดที่มีความสำคัญในชีวิตมนุษย์และทำให้ชีวิตนั้นมีความหมาย ก็เป็นอุตรภาพ คืออยู่นอกเหนือเขตของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่จะสัมผัสได้ และเพื่อจะมุ่งไปถึงระดับของอุตรภาพนั้นจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ไม่เป็นวิธีของวิทยาศาสตร์
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:30 pm
โดย Holy
3. หนทางไปสู่ศาสนาหรือพระเป็นเจ้า
เนื้อหาและวิธีการของวิทยาศาสตร์ในตัวมันเอง ไม่สามารถนำเราไปถึงพระเป็นเจ้าหรือโลกทัศน์ของศาสนา ถ้าเราไม่ยอมออกจากระบบของวิทยาศาสตร์ ก็ไม่มีทางที่จะพบเหตุผลพอเพื่อส่งเสริมหรือเป็นพื้นฐานของความเชื่อ แต่ไม่ควรสรุปว่าศาสนาหรือความเชื่อเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลเลย เราควรจะค้นหาเหตุผลที่อื่น โดยใช้วิธีการแบบอื่น
ที่นี่น่าจะสังเกตว่าชาวตะวันออก ชาวเอเชียโดยทั่วไปแตกต่างจากโลกตะวันตก เราได้บอกก่อนว่าชาวตะวันตกเน้นเรื่องเหตุผล อย่างมากทีเดียวและเราได้บอกด้วยว่า นิสัยแบบนี้คงจะเกิดเป็นอุปสรรคต่อศาสนา ก็เมื่อจะถือว่าเหตุผลที่มีคุณค่าและรับได้มีชนิดเดียวคือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ท่าทีแบบนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้บางคนทิ้งศาสนา เพราะว่าเขาถือว่าศาสนาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม
ในวัฒนธรรมของชาวเอเชีย เราพบแนวคิดและวิธีวางตัวอีกแบบหนึ่ง แน่นอนวิทยา- ศาสตร์ได้เข้ามาในวัฒนธรรมของเอเชีย และได้มีอิทธิพลอย่างมากมายทำให้วัฒนธรรมนั้นเปลี่ยนไปด้วย อาจจะมีบางคนที่คิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์เข้ากันไม่ได้ก็จริง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดแบบนี้ ถึงแม้ว่าวิทยา-ศาสตร์และเทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้น แต่ศาสนายังไม่ได้สลับไป เมื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ต้องมีพิธีทางศาสนาในวันเปิดโรงงานนั้น ถ้าสายการบินซื้อเครื่องบินใหม่จะมีพิธีทางศาสนาเสกเครื่องบินใหม่นั้นด้วย ยิ่งกว่านั้นอีกมีบางคนที่มีความรู้ ความสามารถสูงในด้านวิชาการระดับปริญญาเอกแต่ยังปฏิบัติตามรูปแบบของประเพณีเดิม ซึ่งอาจจะขัดแย้งกับความรู้ด้านวิชาการ การปฏิบัติแบบนี้ที่ทำให้ศาสนาและวิทยาศาสตร์อยู่พร้อมกันแสดงว่าระบบวิทยาศาสตร์และระบบศาสนาอยู่คนละระดับ ไม่ขัดแย้งกัน ถ้าวิทยาศาสตร์ใช้เหตุผลเป็นหลักสำคัญ ศาสนาคงใช้ความรู้สึกมากกว่า ศาสนาเป็นส่งที่ทำให้เกิดความสบายใจมากกว่าวิทยา-ศาสตร์ เทคโนโลยีใหม่คงจะนำความสะดวกก็จริง แต่ความหมายของชีวิตหรือโลกทัศน์โดยทั่วไปมาจากศาสนา และการประกอบพิธีทางศาสนานั้นเป็นวิธีช่วยให้เข้ากับโลกทัศน์ ให้เข้าที่ในระบบของจักรวาลและสังคม การประพฤติแบบนี้ในอีกแง่หนึ่งอาจจะแสดงว่า ศาสนาไม่ค่อยต้องการหลักหรือพื้นฐานในด้านเหตุผลแต่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกมากกว่า ไม่ขัดแย้งกับวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่คงขาดความมั่นคงในตัวเอง เพราะมันขาดพื้นฐานด้านเหตุผล
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:31 pm
โดย Holy
ในโลกตะวันตกปัจจุบัน ทั้งนักวิทยา-ศาสตร์และนักปรัชญามีความสำนึกมากขึ้นถึงขอบเขตจำกัดของวิทยาศาสตร์ ในงานค้นคว้านักวิทยาศาสตร์มีประสบการณ์โดยตรงกับขอบเขตจำกัดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถอธิบาย และให้เหตุผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ ต่างๆ ของโลกมากขึ้น แต่เขาต้องพบเหตุการณ์บางอย่างที่เขารู้ว่าจะอธิบายไม่ได้ ตราบใดที่เขาใช้วิธีการเฉพาะของวิทยา-ศาสตร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกครั้งที่เขาจะพยายามเข้าใจว่าทำไมเหตุการณ์ต่าง ๆ นี้ไปตามทางใดทางหนึ่ง ถ้าจะบอกว่ามันเกิดมาอย่างนี้โดยบังเอิญก็เท่ากับว่าไม่ตอบ เรื่องของวิวัฒนาการเป็นตัวอย่างที่ชัดที่สุด นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายถึงกระบวนการของมันคือมันเกิดขึ้นอย่างไร แต่เมื่อจะสงสัยว่าทำไมวิวัฒนาการนี้มุ่งไปถึงชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้นทุกทีจนถึงชีวิตมนุษย์เอง เขาไม่มีคำตอบจำเป็นต้องใช้เหตุผลหรือวิธีการคิดแบบอื่น ต้องอาศัยวิธีการของปรัชญา เพราะว่าวิทยาศาสตร์ขาดข้อมูลที่จะตอบปัญหานี้ได้ ประสบการณ์แบบนี้ช่วยยอมรับว่าความรู้ของเรามีหลายรูปหลายวิธี วิธีการของวิทยา-ศาสตร์ไม่เป็นวิธีเดียว ถึงแม้ว่าจะมีประสิทธิภาพมากในเขตของมัน แต่ยังจำเป็นต้องยอมรับและเคารพวิธีการอื่น ๆ และสุดท้ายวิทยาศาสตร์และศาสนาจะอยู่ด้วยกันได้ เมื่อจะเคารพเอกลักษณ์ของแต่วิธีการรู้
Teilhard de Chardin เป็นนักปราชญ์คนหนึ่งของสมัยปัจจุบันที่ได้ช่วยให้วิทยา-ศาสตร์และศาสนาคืนดีกัน ท่านได้ศึกษาค้นคว้าในด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องของวิวัฒนาการ และท่านได้แสดงว่าข้อมูลหรือข้อสรุปต่าง ๆ ของวิทยาศาสตร์นี้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อความเชื่อถึงพระเป็นเจ้า ยิ่งกว่านั้นอีก กลับมาเป็นหนทางช่วยให้มีความเข้าใจและความรู้ที่ถูกต้องมากขึ้นเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าผู้สร้างโลก วิทยาศาสตร์ไม่ได้พิสูจน์ว่าไม่ต้องมีพระเป็นเจ้า แต่กลับมาเป็นวิธีแสดงว่า พระองค์ทรงสร้างโลกจักรวาล พืช สัตว์ และมนุษย์ โดยอาศัยพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นวิธีการที่พระเป็นเจ้าทรงใช้เพื่อจะสร้างโลก ให้มีรูปแบบที่เราเห็นทุกวันนี้
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 10, 2005 10:33 pm
โดย Holy
สรุป: ศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่ขัดแย้งกัน
วิทยาศาสตร์และศาสนามีบทบาทเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกัน ถ้าหากว่าเรายอมรับความแตกต่างนั้น ไม่มีปัญหาที่จะทำให้ความรู้หรือความคิดทั้งสองอย่างนี้เข้ากันได้ เริ่มมีปัญหาและการขัดแย้งกัน เมื่อใช้วิธีการของระดับหนึ่ง เพื่อจะอธิบายหรือตอบคำถามของอีกระดับหนึ่ง เราขอเปรียบเทียบกับรถยนต์และคนขับรถ ระบบเครื่องและโครงสร้างของรถยนต์เป็นเรื่องหนึ่ง และการใช้หรือการขับรถเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเพราะความผิดของคนขับรถ ไม่ควรจะโทษผู้สร้างรถหรือระบบเครื่อง สาเหตุของอุบัติเหตุคือคนที่ขับรถไม่ชำนาญหรือขับรถไม่เป็น ตรงกันข้ามมีบางกรณีที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น เพราะสภาพของรถไม่ดี ผู้ที่ขับรถอาจจะมีความสามารถและความชำนาญมาก แต่อุบัติเหตุคงเกิดขึ้นเพราะว่ามีข้อบกพร่องในระบบเครื่องหรือโครงสร้างของรถยนต์ ในกรณีนี้เราจะโทษคนขับรถไม่ได้ ความผิดอาจจะอยู่ที่ผู้สร้างรถหรือช่างซ่อมรถ เครื่องยนต์และการขับรถเป็นสองระบบที่แตกต่างกัน ถ้าเราเห็นคนหนึ่งที่ขับรถไม่เป็นพบกับอุบัติเหตุรุนแรงเมื่อขับรถเบนซ์ และเราสรุปว่ารถเบนซ์ ไม่มีคุณภาพ แน่นอนเราคงสรุปผิดแล้ว เมื่อบางคนใช้ข้อมูลของวิทยาศาสตร์เพื่อปฏิเสธคุณค่าของศาสนาหรือการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า เขาสรุปผิดเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและวิธีการเฉพาะของทั้งสองระดับ
นักปรัชญาบางคนไปตามรูปแบบของ Feuerbach หรือพวกปฏิฐานนิยมและถือว่าศาสนาหรือพระเป็นเจ้าเป็นหนทางให้คำตอบสำหรับปัญหาที่วิทยาศาสตร์ตอบไม่ได้ แต่ทัศนคติแบบนี้เป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนา เป็นการใช้ศาสนาเพื่อชดเชยความจำกัดของวิทยาศาสตร์ แต่ศาสนาไม่เป็นอย่างนี้
แนวคิดของบุคคลนิยมช่วยให้พ้นจากปัญหาแบบนี้ วิธีการของนักปรัชญาบุคคลนิยม ไม่ได้พยายามใช้วิทยาศาสตร์เลย จุดเริ่มอยู่ที่มนุษย์เอง มนุษย์ในฐานะที่เป็นบุคคลมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เป็นส่วนประกอบหรือเงื่อนไขสำหรับการดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ วิธีนี้เป็นการเปิดหนทางนำไปสู่ศาสนา เพราะว่าชีวิตมนุษย์ไม่เป็นเพียงแต่เรื่องชีววิทยา ชีวิตเป็นข้อลึกลับชนิดหนึ่งที่ต้องมีความหมาย ต้องมีเป้าหมายที่อยู่นอกวงของกายภาพ ในอีกแง่หนึ่ง บุคคลนิยม (G. Marcel, E.Mounier, P.Ricoeur) สังเกตว่า การดำเนินชีวิตคือการพัฒนามุ่งไปถึงความสมบูรณ์ มนุษย์แต่ละคนยังขาดความสมบูรณ์ครบครันในการเป็นบุคคลคือในความรู้ ในเสรีภาพการเป็นตัวของตัวเอง และความสมบูรณ์ครบครันนี้จะเกิดมาไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เปิดตัวเอง สัมพันธ์กับผู้อื่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเป็นต้องสัมพันธ์กับผู้ที่สมบูรณ์กว่ามนุษย์ ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ เหนือโลก และที่สมบูรณ์อยู่แล้ว
แน่นอนแต่ละศาสนาจะเข้าใจผู้สมบูรณ์นี้ตามรูปแบบที่แตกต่างกัน อาจจะเรียกว่า "ธรรม" และ "นิพพาน" หรือจะเรียกว่า "พระเป็นเจ้า" แต่ทุกศาสนาบอกว่ามนุษย์ต้องสัมพันธ์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือผู้ใดผู้หนึ่งที่อยู่เหนือมนุษย์เหนือโลก เป็นการตอบสนองความปรารถนาที่อยู่ลึก ๆ ในจิตใจของมนุษย์ และเป็นพละกำลังทำให้มนุษย์ดำเนินชีวิตมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์ ที่นี่เราอยู่ห่างไกลจากเขตของวิทยาศาสตร์แล้ว แต่จำเป็นต้องขึ้นไปถึงระดับนี้เพื่อจะพบความหมายแท้ของศาสนา คือการมอบเป้าหมายสำหรับชีวิตมนุษย์
http://www.saengtham.ac.th/stbook/view.asp?id=207
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 11, 2005 1:01 am
โดย Holy
ในลิงค์ของแสงธรรมนั้นตัวหนังสือตัวเล็กและไม่มีการจัดหน้าทำให้อ่านยาก จึงขอนำมาลงและจัดหน้า+แต่งสีที่นี่ให้อ่านง่ายขึ้นครับ
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 11, 2005 1:24 am
โดย Nihil
เนื้อหาดีและภาพสวยมากๆเลยครับ ภาพที่สองนั่นมาจากหนังสือ Alchemist เล่มนั้นนิใช่ไหมครับ อันนี้เป็นบทความของคุณพ่อ ยัง ดังโตแนล
หรือ งานแปลนะครับ
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 11, 2005 1:26 am
โดย ~@Little lamb@~
ภาพสวยมากๆ *inlove
แต่ยังไม่มีเวลาอ่านเนื้อความเลย
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 11, 2005 9:25 am
โดย Batholomew
~@Little lamb@~ เขียน:
ภาพสวยมากๆ *inlove
แต่ยังไม่มีเวลาอ่านเนื้อความเลย
เหมือนกันเลยครับ
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 11, 2005 9:37 am
โดย Prod Pran
เคยอ่านหลายเดือนมาแล้วที่เวบแสงธรรม
ต่อไปควรนำขึ้นบอร์ดบทความ จัดหน้าและรูปสวยๆ
จะแจ๋วมาก เขียนอีเมล์ไปขอนุญาต เจ้าของเวบ
และให้เครดิต เวบ คิดว่า โอเคนะ จัดหมวด หลักข้อเชื่อหรืออะไรทำนองนี่แหละ 8)
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2005 6:01 am
โดย P
เป็นบทความที่ค่อนข้างดีทีเดียวครับ ยกเว้นที่นำเรื่องนิพพานมากล่าว อาจจะไม่ตรงเสียทีเดียวกับแนวคิดของศาสนาพุทธ แต่นั่นเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์หลักของบทความ ดังนั้นจึงไม่สำคัญสำหรับผม
วิทยาศาสตร์ เป็นวิชาที่ว่าด้วยการค้นหาคำตอบว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนศาสนา ค้นหาคำตอบว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นมาทำไม ดังนั้นจึงไม่ขัดแย้งกันเลย ดังที่บทความข้างต้นพยายามสื่อ เพราะการที่เรารู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ทำไมจึงเกิด และเกิดได้อย่างไร นับว่า เป็นความรู้ที่สมบูรณ์ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง แทนที่จะรู้ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว เราก็จะเห็นภาพชัดขึ้น และ appreciate เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากขึ้น ดังนั้น วิทยาศาสตร์และศาสนาจึงเป็นอะไรที่ส่งเสริมกัน ค้นคว้าเพื่อนำความรู้มาช่วยเหลือกัน ไม่ใช่เพื่อหักล้างกันครับ
ผมเดินไป เห็นต้นไม้ล้มอยู่ข้างทางเพราะมีคนตัด ผมรู้แล้วว่าตัดได้อย่างไร เพราะเห็นรอยขวาน แต่รู้ไปก็งั้นๆ ทีนี้ ถ้าผมมารู้ว่า คนตัดคือ นาย ก. แล้วเขาตัดเอาไปทำฟืนเพื่อให้ความอบอุ่นกับครอบครัวยากจนของเขาในฤดูหนาวนะ แบบนี้ผมก็เห็นภาพชัดขึ้นว่า เรื่องราวทั้งหมดไปมาอย่างไร
ไม่ใช่สนใจเพียงว่า นาย ก. อยากได้ฟืน แล้วไปหาฟืนมา หรือ เพียงแต่ว่า ต้นไม้ล้มเพราะโดนขวานจาม แต่สนทั้งสองเรื่อง และได้คำตอบที่สมบูรณ์ขึ้น
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.พ. 14, 2005 6:12 am
โดย P
และโดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมคิดว่า คำว่า วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ฯลฯ ล้วนเป็นเพียงศัพท์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเท่านั้นเอง เพื่อแสดงความแตกต่างในวิธีการศึกษา ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้ประกอบไปด้วยสิ่งเดียว นั่นคือ ความเชื่อ
ยิ่งเรียนผมยิ่งเห็นว่า วิทยาศาสตร์ ที่ว่าพิสูจน์ได้ กันนั้น จริงๆแล้วไม่ได้ต่างกับศาสนาเลย ยังเป็นระบบที่ใช้ความเชื่ออยู่ทั้งสิ้น ...
แต่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เราอาจจะมาคุยกันวันหลังได้ ตอนนี้ขอละจุดนี้ไว้ก่อน
.....
ที่จริงแล้วเราจะทำอะไรก็ตาม พระเจ้าทรงห่วงอยู่เรื่องเดียวคือ เราจะไม่สนใจพระองค์ และคิดว่าเราแน่ จนในที่สุดเราหนีจากพระองค์ไป พระองค์รักเราสุดใจ พระองค์ไม่อยากสูญเสียลูกรักของพระองค์หรอกครับ
ความรู้ใดๆในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา หากทำให้เราห่างออกจากพระเจ้า ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ดีทั้งสิ้น ไม่สำคัญว่าเราจะศึกษาอะไร หากศึกษาแล้วนำสิ่งที่เราศึกษาหรือนำตัวเองมาแทนพระองค์ นั่นก็คือสิ่งที่ผิด แต่หากศึกษาแล้วยิ่งเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นวิชา ชีวะ เคมี โบราณคดี แพทย์ พละ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ) พระองค์ย่อมยินดีครับ
ดังนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะมาแบ่งว่า นั่นคือวิทยาศาสตร์ ปรัชญา ฯลฯ นั่นเป็นโน่น โน่นเป็นนี่
สิ่งเดียวที่ควรจำไว้คือ ศึกษาอะไรก็ตาม ทำอะไรก็ตาม นึกถึงพระองค์ไว้ก่อน และเห็นพระองค์ในสิ่งที่เราศึกษา appreciate ว่า สิ่งต่างๆเหล่านี้ พระองค์เป็นผู้สร้าง ผู้กำหนดไว้ทั้งสิ้น เราเพียงแต่พยายามเข้าใจในสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเอง
แบบนี้ ก็น่าจะโอเคแล้วครับ
...
ปล. ขอบคุณคุณโฮลี่ที่นำบทความนี้มาลงพร้อมภาพสวยๆนะครับ
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 16, 2005 12:49 pm
โดย peach_peach
ภาพสวย มาก ค่ะ
อยากอ่าน แต่ยังไม่มีเวลา
เดี๋ยวมาใหม่ค่ะ
Re:วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.พ. 18, 2005 1:56 am
โดย terasphere
วิทยาศาสตร์กับศาสนา ไม่ต่างกันนักหรอกครับ
วิทยาศาสตร์ แม้จะอาศัยหลักเหตุผลและกระบวนการ (Scientific Method) เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
แต่ก็ต้องตั้งหลักเชื่อไว้ คือขณะทำการทดลอง (Experiment) เราต้องมี นิยามหรือ สัจพจน์ ของสิ่งพื้นฐานเบื้องต้นไว้เป็นหลักฐานในการพิสูจน์ต่อไป ซึ่งหากเราไม่เชื่อในหลักการพื้นฐานนั้น ข้อพิสูจน์ต่อๆมาก็มิอาจหาได้ เช่นการทดลองที่ต้องมีทฤษฎีที่เชื่อถือ เป็นหลักในการตั้งสมมติฐาน
แต่วิทยาศาสตร์นั้น หากมีข้อทดลองที่ผิดไปจากทฤษฎี หรือ สัจพจน์ นิยาม ที่เชื่ออยู่ ก็จำต้องทดลองซ้ำเพื่อหาข้อผิดพลาดของการทดลอง หรือพิสูจน์หานิยาม ทฤษฎี หรือสัจพจน์นั้นๆใหม่
ซึ่งถ้าวิทยาศาสตร์ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงตามหลักฐานที่เกิดขึ้นจริง ปิดบังผลการทดลองและธรรมชาติของการพิสูจน์ที่แท้จริงแล้ว ก็จะเป็นการงมงายในวิทยาศาสตร์ ไม่ต่างจากการที่มากล่าวอ้างว่า ศาสนาเป็นสิ่งงมงายแต่อย่างใด
ส่วนในทางกลับกัน หากศาสนาซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ความเชื่อเป็นปัจจัยหลัก รู้ปรับเปลี่ยนและแปรความเชื่อนั้นให้สอดคล้องกับสังคมและธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ ไม่ว่ามนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ โดยยอมรับความจริงพื้นฐานความจริงหนึ่งไว้เป็นสดมภ์หลัก เป็นแกน แล้วจึงใช้หลักใหญ่นั้นเป็นเหตุผลรองรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ศาสนานั้นก็มีความเป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ
เหมือนคริสต์ศาสนาปัจจุบัน ที่ยอมรับโลกานุวัต และเข้าถึงสังคมประชาชนชาวโลกอย่างยวดยิ่ง
เหมือนหลักอภิธรรมของพระพุทธศาสนา ที่เป็น อกาลิโก คือใช้ในกาลไหนก็ได้ ตามแต่จะหยิบเลือกมาใช้ และมีหลักอริยสัจ ที่เป็นข้อรวมของกระบวนการวิทยาศาสตร์ทั้งปวง
เหมือนบัญญัติแห่งกุรอ่าน ที่อนุญาตให้มุสลิม เพิกถอนข้อปฏิบัติได้หากสมควรและจำเป็น
แล้วเหล่านัก(บ้า)วิทยาศาสตร์ที่ไม่ยอมมองโลกล่ะ จะต่างจากพวกที่ท่านเรียกว่า "คลั่งศาสนา" เพียงเท่าใด
Re: วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 7:12 am
โดย Holy
พอดีขำกับประโยคหนึ่งที่คนมีอคติคนหนึ่ง ดีใจมากที่ศาสนาของตัวเป็นวิทยาศาสตร์
แล้วรู้สึกสงสาร
เลยเอากลับมาให้อ่านกันกับกระทู้นี้

Re: วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 12:32 pm
โดย :+: seraphim :+:
Holy เขียน:
พอดีขำกับประโยคหนึ่งที่คนมีอคติคนหนึ่ง ดีใจมากที่ศาสนาของตัวเป็นวิทยาศาสตร์
แล้วรู้สึกสงสาร
เลยเอากลับมาให้อ่านกันกับกระทู้นี้

ถ้ามีอคติอ่านไปคงไม่เก็ตหรอกเจ้าคะ

Re: วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 19, 2008 9:16 pm
โดย a
ความคิดมนุษย์แสนมหัศจรรย์
Re: วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และศาสนา
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 20, 2008 9:53 pm
โดย In the name of father
ภาพสวยมาครับ

(ขอสูบ)
แต่เนื้อความ---เอาไว้จะหาเวลามาอ่านแล้วกัน

(ตาลายมาก

)