Re: บุญราศีนิโคลาส บุญเกิด กฤษบำรุง พระสงฆ์และมรณสักขี นักบุญ-นักโทษ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2022 5:18 pm
นักบุญ - นักโทษ (1) ⛓
จังหวัดนครปฐม
ในจังหวัดนี้ในเวลานั้นมีวัด 3 แห่ง แห่งหนึ่งคือ วัดนักบุญเปโตร นครชัยศรี ในปี ค.ศ. 1941 มีอายุ ได้ 100 ปี มีคริสตังเกือบ 2,000 คน มีโรงเรียน 2 หลัง แห่งที่ 2 คือ วัดหนองหินเพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีคริสตัง 300 คน โรงเรียน 1 หลัง ขึ้นไปทางนครชัยศรีเป็นวัดแห่งที่ 3 คือ วัดนักบุญอันเดร บางภาษี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำนครชัยศรีไปทางเหนือ เพิ่งสร้างวัดหลังใหม่ในปี ค.ศ. 1930 ใช้เป็นทั้งวัดและโรงเรียน มีคริสตังไม่มาก ไม่มีพระสงฆ์ประจำ
ที่นครชัยศรี พวกเลือดไทยไม่สามารถก่อเรื่องใหญ่โตได้ เพราะในหมู่พวกคริสตังมีนักเลงโตบางคน เป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณพ่อเจ้าอาวาส นอกจากกิตติศัพท์ของพวกเขาในเรื่องเกี่ยวกับพวกหัวขโมย คนเหล่านี้เป็นพวกคริสตังเลวที่รวมตัวกันเพื่อป้องกันวัดของพวกเขา และเมื่อพวกเลือดไทยโผล่เข้ามาเพื่อทำลาย ปล้นสะดม พวกคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นซึ่งเฝ้าคอยระวังเหตุการณ์อยู่ก็ถือกระบองสั้น มีดอีโต้ เพื่อไม่ต้องถูกเรียกว่าใช้อาวุธปืน (ไม่มีคำสั่ง) พวกเลือดไทยคิดว่าไม่ควรเสี่ยงอันตรายและกลับไปยังที่ว่าการอำเภอสามพรานโดยปราศจากรายชื่อผู้ชนะ
ที่หนองหิน ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1941 พระสังฆราชแปร์รอสขอร้องให้พระสงฆ์ซาเลเซียนช่วยดูแล เพราะวัดนี้อยู่ในเขตติดต่อกับมิสซังซาเลเซียน (ราชบุรี) ได้มีพระสงฆ์ซาเลเซียนองค์หนึ่งประจำอยู่ที่นั่น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเคารพสัญชาติอิตาเลียนของพระสงฆ์ ปล่อยให้อยู่อย่างสงบ
ส่วนพวกคริสตัง ผู้ว่าราชการจังหวัดขอร้องนายอำเภอให้ใช้อิทธิพลทุกอย่างเพื่อทำให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาในเขตวัดเหล่านี้
ครูคนหนึ่งสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดบางภาษีชื่อ นายประเวท ภารนันต์ เล่าเรื่องว่าพวกคริสตังถูกเรียกไปประชุมเพื่อทำพิธีละทิ้งศาสนาอย่างไร รายงานของเขามีดังต่อไปนี้
เอกสารหมายเลข 25
ซึ่งเขาเล่าโดยสรุป
“นายอำเภอบางเลนมาพบผมที่บ้าน ที่บางภาษี เพื่อขอร้องผมให้ทิ้งศาสนา และทำให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาตาม โดยเฉพาะรองผู้ว่าราชจังหวัดกล่าวว่า ‘ผมไม่มีปัญหาอะไรกับพวกคาทอลิก แต่ผมได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการให้ทำให้พวกท่านละทิ้งศาสนาให้ได้’ พิธีกรรมอย่างหนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ที่จังหวัดนครปฐมในวันมาฆบูชา”
2-3 วันก่อนวันที่กำหนด นายอำเภอกลับมาพบผมที่บางภาษี และขอทราบผลผมตอบเขาว่า ล้มเหลวทั้งเพ ในที่สุดนายอำเภอให้ผมสัญญาว่าผมจะแนะนำกับพวกคริสตังเวลา 9 โมงเช้า ตามวันที่กำหนด ด้านหน้าโบสถ์หลังใหญ่ พวกเราไปที่นั่นและพวกเราได้เผชิญหน้ากับพวกคริสตังจากบางเลน คริสตังบางคนจากหนองหิน และโดยเฉพาะคริสตังกลุ่มใหญ่จากนครชัยศรี
ในทันทีทันใด พวกเจ้าหน้าที่ที่แสนน่ารักได้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ละคนได้แจกดอกไม้แก่พวกเราคนละหนึ่งช่อและเทียน พวกเขาบอกว่า "พวกเราจะพาพวกท่านเข้าไปภายในโบสถ์ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะปราศรัยกับพวกท่านด้วยตนเอง พวกเราจะบอกพวกท่านว่า ต่อไปพวกท่านจะต้องทำอะไร ให้นั่งลง ให้ลุกขึ้น ให้คุกเข่า ฯลฯ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น"
เมื่อเข้าไปภายใน พวกเราเห็นอะไร! พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งอยู่ มีดอกไม้ประดับ จุดเทียนสว่าง ไสว ด้านหน้าพระพุทธรูป ท่านสมภารของนครปฐมนั่งอยู่ในที่นั่งของท่าน ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งอยู่กลางพระอุโบสถ
เมื่อทุกคนได้เข้ามาแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มปราศรัยว่า พวกท่านเป็นคนไทย พวกท่านต้อง ปฏิบัติตามศาสนาของคนไทยคือศาสนาพุทธ แล้วเขาด่าแช่งพวกคาทอลิก ด่าศาสนาคาทอลิกด้วยคำพูดที่แสนหยาบคาย สำหรับเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เขียนรายงานไว้ ณ ที่นี้ หลังจากนั้นเขาเชิญพวกเราให้คุกเข่า คลานเข้าไปถึงหน้าพระพุทธรูปตามประเพณีไทย ให้กราบไหว้นมัสการถวายพุ่มดอกไม้และจุดเทียนเป็นการสักการะ
พวกคริสตังเหล่านี้ได้คุกเข่า เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเราคริสตังจากบางภาษีรู้สึกขนลุก! พวกเขาอยากทำให้พวกเราละทิ้งศาสนาจริงหรือ? พวกเราจะทำอย่างไรดี? ผมพูดกับพวกเขาว่า “ให้พวกท่านทำตามผม” และพวกเราลุกขึ้นยืน ขณะที่คนอื่นคลานเข้าไปหาพระพุทธรูปและกราบต่อหน้า
เมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงผู้ว่าราชการจังหวัดและพวกเจ้าหน้าที่เชิญชวนพวกเราให้ทำตามพวกเขา พวกเราปฏิเสธเด็ดขาด พวกเขาจึงด่าพวกเราเหมือนห่าฝนที่กระหน่ำใส่พวกเรา พวกเราออกมาจากห้องประชุม ทุกคนชื่นชม
ทันทีที่ออกมาข้างนอก พวกตำรวจและฝูงชนตะโกนด่าและข่มขู่พวกเราเสียงเอ็ดอึงเมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเรารีบมองหารถของพวกเราและออกรถไปเพื่อไปหลบภัยที่หนองหิน
ข้าพเจ้าถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นครู ส่วนนายอำเภอบางเลนหน้าแตกไปตามระเบียบ เพราะทำงานล้มเหลว
ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพเรือไม่มีหางเสือ
CR. : http://www.catholic.or.th/arc.../nicola ... nic23.html
จังหวัดนครปฐม
ในจังหวัดนี้ในเวลานั้นมีวัด 3 แห่ง แห่งหนึ่งคือ วัดนักบุญเปโตร นครชัยศรี ในปี ค.ศ. 1941 มีอายุ ได้ 100 ปี มีคริสตังเกือบ 2,000 คน มีโรงเรียน 2 หลัง แห่งที่ 2 คือ วัดหนองหินเพิ่งสร้างได้ไม่นาน มีคริสตัง 300 คน โรงเรียน 1 หลัง ขึ้นไปทางนครชัยศรีเป็นวัดแห่งที่ 3 คือ วัดนักบุญอันเดร บางภาษี ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำนครชัยศรีไปทางเหนือ เพิ่งสร้างวัดหลังใหม่ในปี ค.ศ. 1930 ใช้เป็นทั้งวัดและโรงเรียน มีคริสตังไม่มาก ไม่มีพระสงฆ์ประจำ
ที่นครชัยศรี พวกเลือดไทยไม่สามารถก่อเรื่องใหญ่โตได้ เพราะในหมู่พวกคริสตังมีนักเลงโตบางคน เป็นคนแปลกหน้าสำหรับคุณพ่อเจ้าอาวาส นอกจากกิตติศัพท์ของพวกเขาในเรื่องเกี่ยวกับพวกหัวขโมย คนเหล่านี้เป็นพวกคริสตังเลวที่รวมตัวกันเพื่อป้องกันวัดของพวกเขา และเมื่อพวกเลือดไทยโผล่เข้ามาเพื่อทำลาย ปล้นสะดม พวกคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นั่นซึ่งเฝ้าคอยระวังเหตุการณ์อยู่ก็ถือกระบองสั้น มีดอีโต้ เพื่อไม่ต้องถูกเรียกว่าใช้อาวุธปืน (ไม่มีคำสั่ง) พวกเลือดไทยคิดว่าไม่ควรเสี่ยงอันตรายและกลับไปยังที่ว่าการอำเภอสามพรานโดยปราศจากรายชื่อผู้ชนะ
ที่หนองหิน ตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ. 1941 พระสังฆราชแปร์รอสขอร้องให้พระสงฆ์ซาเลเซียนช่วยดูแล เพราะวัดนี้อยู่ในเขตติดต่อกับมิสซังซาเลเซียน (ราชบุรี) ได้มีพระสงฆ์ซาเลเซียนองค์หนึ่งประจำอยู่ที่นั่น ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมเคารพสัญชาติอิตาเลียนของพระสงฆ์ ปล่อยให้อยู่อย่างสงบ
ส่วนพวกคริสตัง ผู้ว่าราชการจังหวัดขอร้องนายอำเภอให้ใช้อิทธิพลทุกอย่างเพื่อทำให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาในเขตวัดเหล่านี้
ครูคนหนึ่งสอนอยู่ที่โรงเรียนวัดบางภาษีชื่อ นายประเวท ภารนันต์ เล่าเรื่องว่าพวกคริสตังถูกเรียกไปประชุมเพื่อทำพิธีละทิ้งศาสนาอย่างไร รายงานของเขามีดังต่อไปนี้
เอกสารหมายเลข 25
ซึ่งเขาเล่าโดยสรุป
“นายอำเภอบางเลนมาพบผมที่บ้าน ที่บางภาษี เพื่อขอร้องผมให้ทิ้งศาสนา และทำให้พวกคริสตังละทิ้งศาสนาตาม โดยเฉพาะรองผู้ว่าราชจังหวัดกล่าวว่า ‘ผมไม่มีปัญหาอะไรกับพวกคาทอลิก แต่ผมได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการให้ทำให้พวกท่านละทิ้งศาสนาให้ได้’ พิธีกรรมอย่างหนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ที่จังหวัดนครปฐมในวันมาฆบูชา”
2-3 วันก่อนวันที่กำหนด นายอำเภอกลับมาพบผมที่บางภาษี และขอทราบผลผมตอบเขาว่า ล้มเหลวทั้งเพ ในที่สุดนายอำเภอให้ผมสัญญาว่าผมจะแนะนำกับพวกคริสตังเวลา 9 โมงเช้า ตามวันที่กำหนด ด้านหน้าโบสถ์หลังใหญ่ พวกเราไปที่นั่นและพวกเราได้เผชิญหน้ากับพวกคริสตังจากบางเลน คริสตังบางคนจากหนองหิน และโดยเฉพาะคริสตังกลุ่มใหญ่จากนครชัยศรี
ในทันทีทันใด พวกเจ้าหน้าที่ที่แสนน่ารักได้ล่วงหน้ามาก่อน แต่ละคนได้แจกดอกไม้แก่พวกเราคนละหนึ่งช่อและเทียน พวกเขาบอกว่า "พวกเราจะพาพวกท่านเข้าไปภายในโบสถ์ มีผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะปราศรัยกับพวกท่านด้วยตนเอง พวกเราจะบอกพวกท่านว่า ต่อไปพวกท่านจะต้องทำอะไร ให้นั่งลง ให้ลุกขึ้น ให้คุกเข่า ฯลฯ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น"
เมื่อเข้าไปภายใน พวกเราเห็นอะไร! พระพุทธรูปองค์ใหญ่ตั้งอยู่ มีดอกไม้ประดับ จุดเทียนสว่าง ไสว ด้านหน้าพระพุทธรูป ท่านสมภารของนครปฐมนั่งอยู่ในที่นั่งของท่าน ห้อมล้อมด้วยพระภิกษุจำนวนหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนั่งอยู่กลางพระอุโบสถ
เมื่อทุกคนได้เข้ามาแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเริ่มปราศรัยว่า พวกท่านเป็นคนไทย พวกท่านต้อง ปฏิบัติตามศาสนาของคนไทยคือศาสนาพุทธ แล้วเขาด่าแช่งพวกคาทอลิก ด่าศาสนาคาทอลิกด้วยคำพูดที่แสนหยาบคาย สำหรับเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่เขียนรายงานไว้ ณ ที่นี้ หลังจากนั้นเขาเชิญพวกเราให้คุกเข่า คลานเข้าไปถึงหน้าพระพุทธรูปตามประเพณีไทย ให้กราบไหว้นมัสการถวายพุ่มดอกไม้และจุดเทียนเป็นการสักการะ
พวกคริสตังเหล่านี้ได้คุกเข่า เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเราคริสตังจากบางภาษีรู้สึกขนลุก! พวกเขาอยากทำให้พวกเราละทิ้งศาสนาจริงหรือ? พวกเราจะทำอย่างไรดี? ผมพูดกับพวกเขาว่า “ให้พวกท่านทำตามผม” และพวกเราลุกขึ้นยืน ขณะที่คนอื่นคลานเข้าไปหาพระพุทธรูปและกราบต่อหน้า
เมื่อพวกเขาได้ปฏิเสธความเชื่อของพวกเขาอย่างสิ้นเชิงผู้ว่าราชการจังหวัดและพวกเจ้าหน้าที่เชิญชวนพวกเราให้ทำตามพวกเขา พวกเราปฏิเสธเด็ดขาด พวกเขาจึงด่าพวกเราเหมือนห่าฝนที่กระหน่ำใส่พวกเรา พวกเราออกมาจากห้องประชุม ทุกคนชื่นชม
ทันทีที่ออกมาข้างนอก พวกตำรวจและฝูงชนตะโกนด่าและข่มขู่พวกเราเสียงเอ็ดอึงเมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเรารีบมองหารถของพวกเราและออกรถไปเพื่อไปหลบภัยที่หนองหิน
ข้าพเจ้าถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นครู ส่วนนายอำเภอบางเลนหน้าแตกไปตามระเบียบ เพราะทำงานล้มเหลว
ข้าพเจ้าตกอยู่ในสภาพเรือไม่มีหางเสือ
CR. : http://www.catholic.or.th/arc.../nicola ... nic23.html