อธิบายพระคัมภีร์ มัทธิว 16:13-19 เปโตรประกาศความเชื่อ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Arttise
โพสต์: 1039
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 09, 2024 12:31 am

รูปภาพ

📖 มัทธิว 16:13-19

พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง”

พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่า พระองค์คือพระคริสตเจ้า

📖📖📖

1. ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร

เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป (Caesarea Philippi) เดิมชื่อ เมืองปานีอาส (Panias) อยู่ห่างจากทะเลสาบกาลิลีไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร พ้นเขตปกครองของกษัตริย์เฮโรด อันติพาส ประชากรส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวยิว พระเยซูเจ้าจึงทรงมีเวลาอยู่กับบรรดาอัครสาวกตามลำพัง

ที่เมืองปานีอาส (Panias) เฮโรดมหาราช (ผู้เป็นพ่อ) ได้สร้างวิหารใหญ่ ทำด้วยหินอ่อนสีขาว เพื่อถวายแด่ซีซาร์ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งโรม ต่อมาฟิลิปบุตรชายได้ต่อเติมและประดับประดาวิหารนี้ให้สวยตระการตายิ่งขึ้นไปอีก แล้วเปลี่ยนชื่อเมืองจากปานีอาสมาเป็นซีซารียาซึ่งแปลว่า เมืองของซีซาร์ และเพิ่มชื่อของตนคือฟิลิปต่อท้ายเข้าไปด้วย เพื่อให้แตกต่างจากเมืองซีซารียาอีกแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

ณ เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป (Caesarea Philippi) ซึ่งมีวิหารยิ่งใหญ่ตระการตาถวายแด่ซีซาร์ผู้เกรียงไกรตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้านี้เอง ที่ช่างไม้ชาวกาลิลีผู้ไร้บ้าน ไร้เงินทอง ไร้อนาคตเพราะถูกกล่าวหาว่าสอนผิดความเชื่อจนต้องนับเวลาถอยหลังรอความตาย กำลังตั้งคำถามศิษย์ของตนว่า “คนทั้งหลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” (มัทธิว 16:13)

ถ้าไม่ใช่พระเจ้าจริง พระองค์คงไม่กล้าตั้งคำถามแบบนี้ที่นี่แน่!

คำตอบที่ได้คือ “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง” (มัทธิว 16:14)

ยอห์น คือ ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้นจนว่าเฮโรด อันติพาสซึ่งสั่งให้ตัดศีรษะของท่านยังหวาดระแวงว่า พระเยซูเจ้าอาจเป็น “ยอห์นผู้ทำพิธีล้างที่กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย เขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้” (มัทธิว 14:2)

“บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์” (มัทธิว 16:14)

ชาวยิวถือว่า เอลียาห์ คือ ประกาศกยิ่งใหญ่ที่สุด ท่านจะกลับมาเพื่อเตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ (มาลาคี 4:5) ทุกวันนี้ ขณะกินเลี้ยงปัสกาชาวยิวยังเตรียมเก้าอี้ว่างไว้สำหรับท่าน โดยหวังว่าท่านยิ่งกลับมาเร็วเท่าใด พระเมสสิยาห์ยิ่งเสด็จมาเร็วเท่านั้น

“บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์” (มัทธิว 16:14)

ชาวยิวเชื่อกันว่า ก่อนบรรพบุรุษของพวกตนจะถูกกวาดต้อนไปกรุงบาบิโลน เยเรมีย์ได้นำหีบพันธสัญญาและแท่นกำยานออกจากพระวิหารไปซ่อนไว้ในถ้ำแห่งหนึ่งแถบภูเขาเนโบ และจะนำกลับมาประดิษฐานไว้ก่อนพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาเพื่อให้พระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้ากลับมาอยู่ท่ามกลางประชากรอีกครั้งหนึ่ง (2 มัคคาบี 2:1-12)

เมื่อประชาชนคิดว่าพระเยซูเจ้า คือ ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง หรือประกาศกเอลียาห์ หรือประกาศกเยเรมีย์ จึงเท่ากับว่า พวกเขายกพระองค์ไว้ ณ จุดสูงสุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพึงได้รับ เพราะท่านเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เตรียมทางให้แก่พระเมสสิยาห์ผู้เป็นบุตรของพระเจ้า

ทว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึงพระองค์มีหรือจะสำคัญเทียบเท่าความเชื่อของตนเอง พระองค์จึงตรัสถามบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” (มัทธิว 16:15)

เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มัทธิว 16:16)

คำตอบของเปโตรคงช่วยให้พระเยซูเจ้าใจชื้นขึ้นเป็นกอง เพราะอย่างน้อยก็ยังมีคนหนึ่งที่รับรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใครและทรงเป็นอะไร

คำว่า “พระคริสตเจ้า - Christ (χριστός)” เป็นภาษากรีก ส่วน “พระเมสสิยาห์ - Messiah (המשיח)” เป็นภาษาฮีบรู ทั้งสองคำมีความหมายเดียวกันคือ “ผู้ที่ได้รับการเจิม”

เพราะฉะนั้น หากจะถามว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร คำตอบแบบเปโตรก็คือ “พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” และถ้าจะถามว่าพระองค์เป็นอะไร คำตอบก็คือ “ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ให้เป็นกษัตริย์ เพื่อกอบกู้มวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณ”

จากเหตุการณ์ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป (Caesarea Philippi) เราอาจสรุปแนวทางดำเนินชีวิตได้สองประการ

1. แม้เราจะยกพระเยซูเจ้าไว้สูงสุดจนเทียบชั้นกับประกาศกเอลียาห์และเยเรมีย์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอสำหรับการรู้จักพระองค์

สมดังคำพูดของจักรพรรดินโปเลียนที่ว่า “ข้าพเจ้ารู้จักมนุษย์มากมายหลายคน แต่พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นมากกว่ามนุษย์”

ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย” (มัทธิว 16:17)

พูดง่ายๆ คือ เป็นพระบิดาที่ทรงเปิดเผยให้เปโตรรู้จักพระเยซูเจ้า

ดังนั้น เราจึงต้องหมั่นวอนขอพระบิดาเจ้า โปรดให้เรารู้จักพระเยซูเจ้ามากขึ้น จะได้รักและดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์มากขึ้น

2. ไม่เป็นการเพียงพอที่จะรู้จักพระเยซูเจ้าโดยอาศัยคำบอกเล่าของผู้อื่น เราต้องค้นให้พบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง

หากพระองค์ตรัสถามว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” เราต้องตอบด้วยตัวของเราเองให้ได้ไม่ว่าเราจะยิ่งใหญ่มีบริวารมากน้อยเพียงใดก็ตาม

ไม่เว้นแม้แต่ปิลาตซึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” ก็ยังต้องกลับไปหาคำตอบเอง เพราะพระองค์ทรงย้อนว่า “ท่านถามดังนี้ด้วยตนเอง หรือผู้อื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” (ยอห์น 18:33-34)

เราอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพระคัมภีร์ เทววิทยา หรือคำสอน แต่ตราบใดที่เราไม่สามารถค้นพบและรู้จักพระองค์ด้วยตัวของเราเอง ตราบนั้นความรู้ที่ร่ำเรียนมาย่อมเป็นเพียงความรู้มือสองที่ช่วยให้เรา “รู้เกี่ยวกับ” พระเยซูเจ้า...

แต่ยังไม่ “รู้จัก” พระองค์!

2. ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา

ที่มาของพระวาจานี้คือ “ท่านคือ ‘เปตรอส’ และบน ‘เปตรา’ นี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มัทธิว 16:18)

คำกรีก “Πέτρος (เปตรอส - Petros)” คือ “เปโตร (Peter - Petre)” เป็นชื่อเฉพาะ ไม่มีคำแปลอื่น ส่วน “πέτρα (เปตรา - Petra)” แปลว่า “ศิลา (Stone , Rock)”

หากแปลตามต้นฉบับภาษากรีกจะได้ความว่า “ท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา”

ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อของชาวยิว ซึ่งถือว่า “ศิลา” คือ องค์พระเป็นเจ้าเอง

- “พระองค์ทรงเป็นศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็ดีพร้อม” (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4)

- “บรรดาศัตรูน่าจะเข้าใจว่า พระผู้ปกป้องเขาไม่เหมือนเรา ซึ่งเป็นศิลาแห่งอิสราเอล” (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:31)

- “ไม่มีผู้ใดศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระยาห์เวห์ ไม่มีศิลาใดเหมือนพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย” (1 ซามูเอล 2:2)

- “ใครเล่าเป็นพระเจ้านอกจากพระยาห์เวห์ ใครเล่าเป็นหลักศิลาถ้าไม่ใช่พระเจ้าของเรา” (สดุดี 18:2, 31)

ส่วนในพระธรรมใหม่ “ศิลา” คือ องค์พระเยซูเจ้า เอง

- “บรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม” (เอเฟซัส 2:20)

- “รากฐานที่วางไว้แล้วนี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก” (1 โครินธ์ 3:11)

- “จงเข้าไปเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเป็นศิลาทรงชีวิตซึ่งมนุษย์ละทิ้งไป แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้และมีค่าประเสริฐ…

ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘เราเลือกศิลาประเสริฐและวางไว้ในนครศิโยนเป็นศิลาหัวมุม ทุกคนที่มีความเชื่อในศิลานี้จะไม่ต้องอับอายเลย’” (1 เปโตร 2:4,6)

จากพระคัมภีร์ที่ยกมาแสดงว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็น “ศิลาหัวมุม” และทรงเป็นรากฐานแท้จริงของพระศาสนจักร หากปราศจากพระองค์ พระศาสนจักรย่อมไม่อาจตั้งอยู่ได้

แต่ด้วยเจตนาเล่นคำ ชื่อของ “เปโตร (Peter - Petre)” ในภาษากรีกจึงถูกแปลตามชื่อในภาษาแอราเมอิก หรือภาษาอาราเมค “כֵּיפָא (เคฟาส - Kephas - Κηφᾶς)” ซึ่งบังเอิญหมายถึง “ศิลา (Stone , Rock)” เราจึงได้สำนวนแปลว่า “ท่านคือศิลาและบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา” (มัทธิว 16:18)

ใช่ เปโตรคือ “ศิลา” แต่ไม่ใช่ “ศิลาหัวมุม”

ท่านคือ “ศิลาแรก” ของพระศาสนาจักรซึ่งพระองค์กำลังสถาปนาขึ้น เพราะว่าท่านเป็น “มนุษย์คนแรก” ที่รู้และเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระคริสตเจ้า ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต (มัทธิว 16:16)

ด้วยเหตุที่เปโตรเป็นสมาชิกคนแรกของพระศาสนจักร ท่านจึงเป็นรากฐานและเป็นเสมือนเชื้อแป้งที่ทำให้มีสมาชิกคนอื่นตามมาอีกมากมายทุกยุคทุกสมัย

ส่วนผู้ก่อตั้งและเป็น “ศิลาหัวมุม” ของพระศาสนจักร คือ องค์พระเยซูคริสตเจ้า เอง!

เพราะฉะนั้น หากเรารักนักบุญเปโตรผู้เป็นศิลาแรกมากเท่าใด เรายิ่งต้องรักพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นศิลาหัวมุมมากขึ้นเท่านั้น

3. ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้

เราอาจเข้าใจความหมายของ “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” (มัทธิว 16:18) ได้ดังนี้

“ประตู” มีไว้เพื่อ ปิด ควบคุม กักขัง จำกัดเขต

“นรก” ตรงกับภาษากรีก “ᾅδης (อาเดส - ades)“ และภาษาอังกฤษ “Hades (เฮดีส)” ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรคือ “สถานที่ที่มองไม่เห็น” เดิมชาวยิวเชื่อว่า คนตายทุกคนไม่ว่าดีหรือเลวจะไปรวมกันอยู่ในสถานที่ที่มองไม่เห็นนี้ คำ “Hades (เฮดีส)” แรกเริ่มจึงหมายถึง แดนผู้ตาย แต่ต่อมาพัฒนาเป็นสถานที่สำหรับคนบาปพักรอการตัดสิน และหมายถึงนรกในที่สุด

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้” จึงหมายความว่า “ประตูแห่งแดนผู้ตายไม่มีทางปิดขังคนคนหนึ่งซึ่งก่อตั้งพระศาสนจักรได้เลย”

เพราะคนคนนั้น “คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” (มัทธิว 16:16)

พระองค์ทรงกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อทำนายถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์เอง และเปโตรได้ประกาศยืนยันความจริงนี้ในวันเพ็นเทคอสต์ (Pentecost) ว่า “พระเจ้าทรงบันดาลให้พระองค์กลับคืนพระชนมชีพ พ้นจากอำนาจแห่งความตาย เพราะความตายยึดพระองค์ไว้ใต้อำนาจอีกต่อไปไม่ได้” และอีกตอนหนึ่งว่า “เพราะพระองค์จะไม่ทรงละทิ้งข้าพเจ้า (คือพระเยซูเจ้า) ไว้ในแดนผู้ตาย และจะไม่ทรงปล่อยผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เน่าเปื่อย” (กิจการ 2:24,27)

นอกจากเป็นการทำนายถึงการกลับคืนพระชนมชีพแล้ว เราอาจเข้าใจความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ประตูนรก คือ อำนาจแห่งความชั่วร้าย ซึ่งไม่มีทางจะเอาชนะหรือทำลายพระศาสนจักรของพระเยซูคริสตเจ้าได้เลย

4. สิทธิและหน้าที่ของพระศาสนจักร

เพื่อให้พระศาสนจักรบนความเชื่อของเปโตรมีความมั่นคง พระเยซูเจ้าทรงมอบสิทธิและหน้าที่พิเศษให้แก่ท่านอีกด้วย

1. “เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้” (มัทธิว 16:19)

ในพระธรรมใหม่ ผู้ถือกุญแจ คือ พระเยซูเจ้า เอง “เราเป็นผู้มีชีวิต เราตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร เรามีอำนาจ (ต้นฉบับภาษากรีก คือ κλείς (กรีส - Kleis) แปลว่า “กุญแจ (Keys)” เหนือความตายและเหนือแดนผู้ตาย” (วิวรณ์ 1:18)

และ “พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ทรงสัตย์ ผู้ทรงถือกุญแจของกษัตริย์ดาวิด เมื่อพระองค์ทรงเปิด ไม่มีผู้ใดปิดได้ และเมื่อพระองค์ทรงปิด ก็ไม่มีผู้ใดเปิดได้” (วิวรณ์ 3:7)

ข้อความหลังนี้ ช่างคล้ายกับพระวาจาของพระเจ้าจอมโยธาที่มีถึงเอลียาคิมผ่านทางประกาศกอิสยาห์ว่า “เราจะวางลูกกุญแจของวังดาวิดไว้บนบ่าของเขา เขาจะเปิดและไม่มีผู้ใดปิด เขาจะปิดและไม่มีผู้ใดเปิด” (อิสยาห์ 22:22) นั่นคือ พระองค์ทรงตั้งเอลียาคิมให้เป็นผู้จัดการราชสำนักของดาวิดแทนเชบนา มีอำนาจเต็มในการสั่งเปิดประตูพระราชวังในยามเช้า และปิดในยามเย็น

หมายความว่า พระเยซูเจ้าทรงมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์แก่เปโตร เพื่อให้ท่านเป็นผู้ดูแลอาณาจักรสวรรค์และ “เปิดประตูต้อนรับคนทุกชาติ” ทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว
ดังที่ท่านได้เปิดประตูต้อนรับดวงวิญญาณ 3,000 ดวงในวันเพ็นเทคอสต์ (Pentecost) (กิจการ 2:41) รวมถึงดวงวิญญาณของโครเนลิอัสซึ่งเป็นนายทหารต่างชาติ (กิจการ 10) อีกทั้งในการประชุมที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านได้ผลักดันให้ข่าวดีเผยแผ่ไปสู่คนต่างศาสนาด้วยการยืนยันว่า “เพื่อให้มนุษย์อื่นๆ แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับนานาชาติ” (กิจการ 15:17)

2. “ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 16:19)

คำว่า “ผูก” และ “แก้” เป็นสำนวนที่ชาวยิวนิยมใช้กับคำตัดสินด้านกฎหมายของอาจารย์หรือรับบีผู้มีชื่อเสียง ผูกหมายถึงไม่อนุญาต และแก้หมายถึงอนุญาต

เท่ากับว่า พระเยซูเจ้าทรงมอบภาระรับผิดชอบอันหนักหน่วงไว้บนบ่าของเปโตร ท่านต้องให้คำแนะนำและนำพาพระศาสนจักร ท่านต้อง “ตัดสินใจ” ว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ซึ่งการตัดสินใจของท่านย่อมส่งผลอันใหญ่หลวงต่อวิญญาณของมนุษย์ทั้งในโลกนี้และชั่วนิรันดร

นี่คือความยิ่งใหญ่ของเปโตรและเปาโลซึ่งเราร่วมใจกันเฉลิมฉลองในวันนี้

ท่านยิ่งใหญ่เพราะเป็นผู้สืบสานภารกิจของพระเยซูคริสตเจ้า บุตรพระเจ้าผู้ทรงชีวิต!

CR. : http://www.kamsonbkk.com/dailyreading/m ... 937-007432

#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #มัทธิว #พระวรสาร #พระกิตติคุณ #พระคัมภีร์ไบเบิล #พระคัมภีร์ #ไบเบิล #พระเยซูเจ้า #พระเยซู #เปโตร #นักบุญเปโตร #อัครสาวก #ประกาศความเชื่อ #ความเชื่อ #ศิลา #หิน #พระศาสนจักร #ศาสนจักร #พระสันตะปาปา #โป๊ป #catholic

CR. : https://www.facebook.com/photo?fbid=867 ... 5396579617
ตอบกลับโพส