อธิบายพระคัมภีร์ มัทธิว 9:36 - 10:8 ความทุกข์ของประชาชน & พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Arttise
โพสต์: 1197
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.พ. 19, 2017 3:45 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 09, 2024 12:36 am

รูปภาพ

📖 มัทธิว 9:36 - 10:8

เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด”

พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบประทานอำนาจให้เขาขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด

อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัส และมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคนนี้ออกไป ทรงสั่งเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย

📖📖📖

1. พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชน

คำ “สงสาร” ตรงกับคำกริยากรีก “σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” อันมีรากศัพท์เดียวกันกับคำนาม “σπλαγχνα (สพรากค์นา - Splagchna) ซึ่งหมายถึง “ตับไตไส้พุง”

“σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” จึงหมายถึง ความรู้สึกเมตตาสงสารที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากส่วนลึกที่สุด นั่นคือ ตับไตไส้พุงซึ่งอยู่ลึกกว่าหัวใจของเรามนุษย์เสียอีก

นอกจากในนิทานเปรียบเทียบเพียงบางเรื่องแล้ว พระคัมภีร์ไม่เคยใช้คำ “σπλαγχνίζομαι (สพรากค์นีซอมาย - Splagchnizomai)” กับบุคคลอื่นนอกจากกับพระเยซูเจ้าเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งอวัยวะภายในหรือก้นบึ้งแห่งหัวใจ ได้แก่

1. ความเจ็บป่วย

- “เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร และทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค” (มัทธิว 14:14)

- “พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ทรงสัมผัสนัยน์ตาของเขา ทันใดนั้น เขากลับมองเห็น และติดตามพระองค์ไป” (มัทธิว 20:34)

2. ความเศร้าโศกเสียใจ

- “เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นนาง (หญิงม่ายที่เมืองนาอิน) ก็ทรงสงสารและตรัสกับนางว่า ‘อย่าร้องไห้ไปเลย’ แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปใกล้ ทรงแตะแคร่หามศพ คนหามก็หยุด พระองค์จึงตรัสว่า ‘หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด’” (ลูกา 7:13-14)

3. ความหิว

- พระเยซูเจ้าทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “เราสงสารประชาชน เพราะเขาอยู่กับเรามาสามวันแล้ว และเวลานี้ไม่มีอะไรกิน เราไม่อยากให้เขากลับบ้านโดยไม่ได้กินอะไร เขาจะหมดแรงขณะเดินทาง” (มัทธิว 15:32)

4. ความโดดเดี่ยว

- คนโรคเรื้อนซึ่งถูกตัดขาดจากสังคมและต้องอยู่ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยวเข้ามาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” (มาระโก 1:41)

5. ความท้อแท้

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้พระเยซูเจ้าทรงสงสารประชาชนจากก้นบึ้งแห่งหัวใจในวันนี้ “เพราะเขาเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง” (มัทธิว 9:36)

“เขาเหล่านั้น” คือ ประชาชนผู้ต้องการพระเจ้าและกำลังแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ แต่บรรดาคัมภีราจารย์ ชาวฟารีสี ตลอดจนพวกสะดูสี ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักของศาสนายิวในสมัยนั้น กลับไม่มีคำแนะนำหรือกำลังใจเพื่อให้เขาเหล่านั้นมีพลังต่อสู้กับปัญหาในชีวิตเลย

ตรงกันข้าม พวกเขากลับทำให้ประชาชนหลงทางและสับสนด้วยการออกกฎระเบียบหยุมหยิมมากมาย ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ประชาชนท้อแท้และสิ้นหวังอีกด้วย

จากตัวอย่างที่กล่าวมา เราสามารถสรุปแบบฟันธงได้ว่า “ไม่ว่าเราจะมีทุกข์อะไร ทุกข์ของเราคือทุกข์ของพระเยซูเจ้า”!!!

2. ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย

นี่คือ มุมมองอันเปี่ยมด้วยความรักยิ่งของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อประชาชนคนบาปเช่นเรา พระองค์ทรงมองคนบาปเป็น “ข้าว” ที่จะต้องเก็บเกี่ยวและรักษาไว้ในยุ้งฉางให้ปลอดภัย อีกทั้งทรงยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อความรอดปลอดภัยของคนบาปเหล่านี้นี่เอง!

แต่พวกฟารีสีซึ่งถือตนว่าเป็นคนดีกลับมองต่างมุม พวกเขามองคนบาปเป็นเสมือน “ฟางข้าว” ที่จะต้องถูกเผาและทำลายให้สิ้นซากไปจากโลกนี้

ในเมื่อมี “ข้าว” จำนวนมากให้เก็บก็จำต้องมี “คนเก็บเกี่ยว” จำนวนมาก ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” (มัทธิว 9:37) ซึ่งบ่งบอกพระประสงค์ได้ชัดเจนว่า “ทรงต้องการเราทุกคน” เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์

ขณะที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ไม่เคยเสด็จออกนอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - ‎فلسطين) เลย ข่าวดีของพระองค์จึงถูกจำกัดวงอยู่กับชาวยิวจำนวนไม่มากนัก ในขณะที่คนทั้งโลกต่างเฝ้าคอยข่าวดีนี้ด้วยจิตใจจดจ่อเช่นกัน

แล้วใครล่ะจะเป็นคนนำข่าวดีไปประกาศแก่พวกเขาหากไม่ใช่ “เรา”?!

ลำพังการบริจาคเงินหรือสวดภาวนาเพื่องานแพร่ธรรมคงไม่เป็นการเพียงพออีกต่อไป เพราะคำภาวนาที่ปราศจากกิจการเป็นคำภาวนาที่ตายแล้ว

ดังนั้น ถ้าจะต้อง “เก็บเกี่ยว” ข้าวในนาซึ่งมีอยู่ทั่วโลก เราทุกคนนั่นแหละต้องเป็น “คนเก็บเกี่ยว”

เว้นแต่เราจะมีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจเท่านั้น!

3. อัครสาวกสิบสองคน

มีข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับอัครสาวกทั้งสิบสองคนที่พระเยซูเจ้าทรงเลือกสรร ดังนี้

1. ทุกคนล้วนเป็นสามัญชน พวกเขาไม่ได้ร่ำรวย ไม่มีการศึกษา ไม่มีฐานะในสังคม ส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวประมงพื้นบ้านธรรมดาๆ

เท่ากับว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้สนพระทัยพื้นฐานในอดีตของพวกเขา แต่ทรงมองการณ์ไกลว่าพวกเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างภายใต้การนำทางและพระพรของพระองค์

เราจึงไม่ต้องวิตกกังวลว่า ตนด้อยความรู้ ด้อยความสามารถ เกรงว่าจะช่วยงานพระองค์ไม่ได้ เพราะพระองค์สามารถใช้ทุกสิ่งที่เรามอบถวายแด่พระองค์ เพื่อความยิ่งใหญ่ของพระอาณาจักรของพระเจ้าได้

2. แต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นกรณีของมัทธิวและซีโมน

มัทธิวมีอาชีพเก็บภาษีให้กษัตริย์เฮโรด อันตีพาส ผู้ได้รับการแต่งตั้งโดยโรมและถือว่าเป็นคนของโรม มัทธิวจึงถูกชาวยิวตราหน้าว่าเป็นคนทรยศขายชาติ ส่วนซีโมนได้รับสมญาว่า “ผู้รักชาติ” (ลูกา 6:16) และเป็นสมาชิกของกลุ่ม “ชาตินิยม” สุดโต่ง

โยเซฟุสบันทึกไว้ว่าพวก “ชาตินิยม” ถือเป็นหนึ่งในสี่กลุ่มใหญ่ๆ ของชาวยิว อีก 3 กลุ่ม คือ พวกฟารีสี (Pharisees - פְּרוּשִׁים) , สะดูสี (Sudducees - צְדוּקִים) และเอสซีน (Essenes - אִסִּיִים)

กลุ่มชาตินิยมนับถือพระเจ้าเป็นกษัตริย์เหนือหัวเพียงพระองค์เดียว พวกเขาไม่ยอมให้มนุษย์หน้าไหนทั้งสิ้นมาเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมุ่งมั่นจะปลดแอกปาเลสไตน์ (Palestine - פלשתינה - ‎فلسطين) จากการเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิโรมัน โดยพร้อมจะพลีชีพหรือทำทุกสิ่งแม้แต่สังหารคนที่ตนรักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

แน่นอนว่า ถ้าซีโมนพบมัทธิวก่อนเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า เขาคงเอามีดปักอกหรือเสียบพุงมัทธิวเรียบร้อยไปแล้ว

และนี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ศัตรูคู่อาฆาตสามารถรักกันได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างรักพระเยซูเจ้า!!

เพราะฉะนั้น หากพระสงฆ์ นักบวช หรือสัตบุรุษไม่สามารถรักกันได้ ต่างฝ่ายต่างต้องหันมาถามตัวเองแล้วว่าเรา “รักพระเยซูเจ้าจริง”...

หรือเพียงใช้พระองค์เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างของเราเองเท่านั้น?

4. สุดยอดผู้บัญชาการ

ก่อนส่งบรรดาอัครสาวกออกไปประกาศข่าวดี พระเยซูเจ้าตรัส “สั่ง” พวกเขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน” (มัทธิว 10:5-6)

คำว่า “สั่ง” ตรงกับ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” ซึ่งชาวกรีกใช้ใน 4 โอกาสด้วยกัน คือ

1. “ทหารสั่งการ” พระเยซูเจ้าจึงเป็นเสมือนแม่ทัพที่กำลังสรุปภารกิจก่อนส่งบรรดาขุนพลออกไปปฏิบัติภารกิจ

2. “เรียกเพื่อนมาช่วย” พระองค์เป็นเสมือนผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ และกำลังเรียกเพื่อนคืออัครสาวกและเราทุกคนมาช่วยกันทำให้วิสัยทัศน์นั้นเป็นจริง

3. “สั่งสอนศิษย์” พระองค์เป็นครูที่กำลังอบรมบ่มเพาะศิษย์ให้พร้อมออกไปเผชิญหน้ากับโลก

4. “คำสั่งของจักรพรรดิ” พระองค์เปรียบเสมือนกษัตริย์ที่กำลังส่งทูตออกไปประกาศข่าวดีและคำสั่งสอนของพระองค์แก่ชาวโลก

การใช้คำ “παραγγέλλω (พารอังเยลโล - Paraggello)” จึงบ่งบอกว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น “ผู้บัญชาการ” ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งกษัตริย์ แม่ทัพ ครู และเพื่อนของผู้ใต้บังคับบัญชา

เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อได้อ่านเนื้อหาของคำสั่งที่ทรงห้ามอัครสาวกไปหาคนต่างชาติแล้ว เราต้องยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นนักวางแผนชั้นยอดจริงๆ

บางคนอาจแย้งว่า คำสั่งนี้แสดงถึงความคับแคบทางจิตใจของพระองค์ แต่เราต้องไม่ลืมว่านี่เป็นคำสั่งเฉพาะกิจที่เหมาะสมกับสถานการณ์หนึ่งๆเท่านั้น ส่วนคำสั่งถาวรคือ “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มัทธิว 28:19)

สถานการณ์ที่ทำให้พระองค์ทรง “สั่ง” เช่นนี้ คือ

1. พระองค์ทรงยอมรับว่าชาวยิวมี “สถานภาพพิเศษ” ในแผนการแห่งความรอด พวกเขารอคอยพระเมสสิยาห์มาเป็นเวลานานแล้ว จึงควรได้รับโอกาสก่อนชนชาติอื่น

2. บรรดาอัครสาวกยังขาดความพร้อม พวกเขาไม่รู้จักขนบธรรมเนียมของคนต่างชาติ ไม่รู้เทคนิคการสื่อสารกับคนต่างชาติ หากส่งพวกเขาไปหาคนต่างชาติในขณะนี้ โอกาสสำเร็จย่อมริบหรี่เต็มที ต้องรอจนมีคนที่พร้อมดังเช่นนักบุญเปาโลนั่นแหละ ข่าวดีจึงจะเผยแพร่ไปสู่คนต่างชาติอย่างได้ผล

เราจึงควรเลียนแบบอย่างความรอบคอบของพระเยซูเจ้า ด้วยการตระหนักถึงข้อจำกัดของเราเอง และพยายามมองให้ออกว่าเรา “เหมาะ” หรือ “ไม่เหมาะ” ที่จะทำสิ่งใด

3. เหตุผลหลักของพระองค์คือเรื่องอัตรากำลัง เมื่อมีกำลังคนน้อย พระองค์จำเป็นต้องลดขอบเขตของภารกิจลงมาให้จำกัดวงอยู่ภายในแคว้นกาลิลีก่อน แล้วค่อยขยายวงออกไปเรื่อยๆ จนครอบคลุมชนทุกชาติ ทุกภาษาในที่สุด

ในเมื่อพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้บัญชาการผู้ปราดเปรื่อง ทรงอำนาจ และเป็นมิตรกับผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นนี้ เราไม่คิดจะมอบชีวิตของเราไว้ภายใต้การบัญชาการของพระองค์ดอกหรือ?!

5. ทั้งพูดทั้งทำ

เมื่อจำกัดเป้าหมายของภารกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงกำหนดเนื้อหาของภารกิจรวม 2 ด้านด้วยกัน กล่าวคือ

1. “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว” (มัทธิว 10:7)

จากบทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เราทราบว่า อาณาจักรสวรรค์คือสังคมบนโลกนี้ที่พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เหมือนในสวรรค์ และผู้เดียวในโลกนี้ที่สามารถปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ก็คือพระเยซูเจ้า

เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้านั่นเองทรงเป็นอาณาจักรสวรรค์ และมนุษย์สามารถพบอาณาจักรสวรรค์ในโลกนี้ได้ก็โดยการคิดเหมือนพระองค์ ปรารถนาเหมือนพระองค์ และดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์

ดังนั้น ข่าวดีที่เราทุกคนต้องพูดและต้องประกาศก็คือ “อาณาจักรสวรรค์มาถึงโลกนี้แล้ว อย่ามัวรีรอจนถึงโลกหน้าอีกเลย”

2. “จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป” (มัทธิว 10:8)

ภารกิจด้านนี้บ่งบอกว่า เราจะมัวพูดหรือประกาศข่าวดีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องลงมือกระทำด้วย และสิ่งที่ทรงมอบหมายให้กระทำนั้น เกี่ยวข้องกับมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ กล่าวคือ

2.1 จงรักษาคนเจ็บไข้ ซึ่งคำกรีก “ἀσθενέω (อาสเธแนโอ - Astheneo)” หมายถึง “อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรง” แต่ถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึงคนเจ็บไข้ในที่สุด

ภารกิจจึงไม่จำกัดเพียงรักษาคนเจ็บป่วยเท่านั้น แต่รวมไปถึงการช่วยเหลือผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอให้เข้มแข็ง มีกำลังใจ และสามารถสานต่อความตั้งใจของตนให้เป็นความจริงได้ อีกทั้งช่วยค้ำจุนและปกป้องผู้ที่หมดหนทางต่อสู้กับชีวิตแล้วอีกด้วย

2.2 จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ บาปทำให้เราตายทั้งเป็น เพราะมันทำให้สายตาของเรามืดมัวลงจนมองไม่เห็นความดี หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ท้อแท้ สิ้นหวัง และตกอยู่ในอุ้งมือของบาปที่เรากระทำ

ภารกิจอันยิ่งใหญ่ของเราคือการนำพระเยซูเจ้าไปสู่ผู้ที่ตายในบาป เพราะพระองค์สามารถปลดปล่อยเขาจากอุ้งมือของบาป และทำให้เขากลับมีชีวิตใหม่ที่สดใสอีกครั้งหนึ่ง

2.3 จงรักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด คนโรคเรื้อนถือว่าสร้างมลพิษและต้องถูกขับไล่ออกจากสังคม (เลวีนิติ 13:46)

บาปทำให้ชีวิตของเราเปรอะเปื้อน ยิ่งไปกว่านั้น คำพูด การกระทำ และทุกสิ่งที่ออกมาจากคนบาปล้วนก่อให้เกิดมลพิษอันอาจแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นได้

มีพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียวที่สามารถชำระล้างมลพิษในตัวคนบาปอย่างเราได้ และในเวลาเดียวกันพระองค์ยังทรงเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะหรือวัคซีนป้องกันมลพิษของบาปมิให้แพร่ระบาดมาสู่เราอีกด้วย

2.4 จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ผู้ถูกปีศาจสิงคือคนที่ตกอยู่ในอุ้งมือของอำนาจชั่วร้ายซึ่งทำให้เขาเป็นทาสของความเคยชินในบาป จนไม่สามารถเป็นนายเหนือตัวเองอีกต่อไป

พระเยซูเจ้าไม่เพียงสามารถยกบาปเท่านั้น แต่ยังสามารถปลดปล่อยเราจากการครอบงำของอำนาจชั่วร้าย และทำให้เราเป็นอิสระจากความเคยชินในบาปอีกด้วย

ทั้งหมดนี้คือ ภารกิจ 2 ด้านที่ต้องทั้ง “พูด” และ “ทำ” ควบคู่กันไป!!

6. ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทน ก็จงให้เขาโดยไม่รับค่าตอบแทนด้วย

คำสั่งประการนี้มิใช่เรื่องใหม่สำหรับชาวยิว พวกเขามีกฎอยู่แล้วว่า เพราะโมเสสได้รับธรรมบัญญัติจากพระเจ้าโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย รับบี (Rabbi - רב) หรือผู้สอนศาสนายิว ทุกคนจึงต้องสอนธรรมบัญญัติโดยไม่คิดค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น

มีเพียงกรณีเดียวที่รับบี (Rabbi - רב) จะคิดค่าตอบแทนได้นั่นคือเมื่อสอนเด็ก เพราะการสอนเด็กถือเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ หากพ่อแม่ไม่ทำหน้าที่นี้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้ที่ทำหน้าที่แทน

ในหนังสือมิษนา (Mishnah , Mishna - מִשְׁנָה) มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่า “ผู้ที่คิดค่าตอบแทนจากการทำหน้าที่ผู้พิพากษา ให้ถือว่าคำตัดสินของเขาเป็นโมฆะ และผู้ที่คิดค่าตอบแทนจากการเป็นพยาน ให้ถือว่า คำยืนยันของเขาเป็นโมฆะ”

รับบีฮิลเลล (Rabbi Hillel , Hillel the Elder - הִלֵּל) ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของชาวยิวทั่วไปกล่าวไว้ว่า “ผู้ใดหาผลประโยชน์จากธรรมบัญญัติ ก็ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์”

ดังนั้น พระเยซูเจ้าจึงมิได้เรียกร้องสิ่งใดใหม่ เพียงแต่ทรงย้ำเตือนสิ่งที่ปฏิบัติกันอยู่แล้ว!

ในเมื่อเราได้รับความรักและข่าวดีจากพระองค์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เราน่าจะภูมิใจและถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่ได้แบ่งปันความรักและข่าวดีนี้แก่ผู้อื่น “โดยไม่หวังค่าตอบแทน”!!!

CR. : http://www.kamsonbkk.com/dailyreading/m ... 923-007420

#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #มัทธิว #พระวรสาร #พระกิตติคุณ #พระคัมภีร์ไบเบิล #พระคัมภีร์ #ไบเบิล #พระเยซูเจ้า #พระเยซู #อัครสาวกสิบสองคน #อัครสาวก #พระศาสนจักร #ศาสนจักร #ความทุกข์ #ประชาชน #catholic

CR. : https://www.facebook.com/photo?fbid=867 ... 5396579617
ตอบกลับโพส