
“นักบุญ มารุสทัส แห่งมาร์ตีโรโปลิส (Saint Maruthas of Martyropolis) หรือเรียกว่า นักบุญ มารุสทา แห่งมาร์ตีโรโปลิส (Saint Marutha of Martyropolis)” วันฉลอง 16 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
ในอาณาจักรเปอร์เซีย (Persian Kingdom) นักบุญมารุสทัสเป็นบิชอป แล้ว เมื่อพระศาสนจักรกลับมาสงบสุข ท่านก็ดำรงตำแหน่งประธานในสภาเซลูเซีย (Council of Seleucia) ท่านซ่อมแซมพระศาสนจักรของพระเจ้าที่พังทลายลงภายใต้การเบียดเบียนของจักรพรรดิ Sapor และรวบรวมพระธาตุของบรรดามรณสักขีชาวเปอร์เซียไว้ในเมือง ซึ่งต่อมาเรียกว่า “มาร์ตีโรโปลิส (Martyropolis)”
บิชอปผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เป็นปิตาจารย์ผู้มีชื่อเสียงของพระศาสนจักรซีรีแอก (Syriac Church) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 4 และเป็นบิชอปแห่ง Tagrit ในดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออเรียนทัล แม้ว่าจะอยู่ใกล้ชายแดนเปอร์เซียก็ตาม ท่านได้รวบรวมรายชื่อของบรรดามรณสักขีที่ต้องทนทุกข์ในอาณาจักรนั้นในช่วง 40 ปีแห่งการเบียดเบียนของจักรพรรดิ Sapor ตั้งแต่ปีค.ศ. 340 ถึง ค.ศ. 380 ซึ่งบางส่วนได้รับการค้นพบและตีพิมพ์โดย Stephen Assemani ในปีค.ศ. 1748 นักบุญมารุสทัสได้แต่งเพลงสวดเพื่อสรรเสริญบรรดามรณสักขีหลายเพลง ซึ่งร่วมกับเพลงสวดอื่นๆของนักบุญเอเฟรม ชาวซีเรีย (Saint Ephrem the Syrian) ได้แทรกไว้ในบทสวดของพระศาสนจักรคาลเดียน (Chaldean Church) และขับร้องโดยพระศาสนจักรมารอนไนต์ (Maronite) , ยากอบบิท (Jacobite) และเนสโตเรียน (Nestorian) ซึ่งใช้ภาษาเดียวกันในบทสวดของพระศาสนจักร นักบุญมารุสทัสได้รวบรวมพระธาตุของมรณสักขีชาวเปอร์เซียจำนวนมาก และแจกจ่ายไปทั่วอาณาจักรโรมัน เพื่อให้สัตบุรุษทุกแห่งได้รับพระพรจากพระเจ้าด้วยคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น

นักบุญ เอเฟรม ชาวซีเรีย (Saint Ephrem the Syrian - ܡܪܝ ܐܦܪܝܡ ܣܘܪܝܝܐ) (أفرام السرياني)
หลังจาก Isdegerdes ขึ้นครองบัลลังก์เปอร์เซียในปี ค.ศ. 401 แล้ว นักบุญมารุสทัสได้เดินทางไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี ค.ศ. 403 เพื่อชักจูงให้ Arcadius ใช้ความดีความชอบที่มีกับจักรพรรดิองค์ใหม่เพื่อช่วยเหลือคริสตชนที่เดือดร้อน แต่ท่านกลับพบว่า ราชสำนักกำลังวุ่นวายกับการเบียดเบียนอันไม่ยุติธรรมต่อนักบุญยอห์น ครีโซสตม (Saint John Chrysostom) ด้วยเหตุนี้นักบุญมารุสทัสจึงรีบกลับไปยังดินแดนเมโสโปเตเมีย ปีต่อมา ท่านเดินทางไปกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นครั้งที่ 2 และนักบุญยอห์น ครีโซสตมแนะนำท่านให้ Olympias ซึ่งเป็นหญิงม่ายช่วยเหลือท่าน และส่งเสริมสิ่งที่ตัวท่านเองได้เริ่มต้นเพื่อสนับสนุนพระศาสนจักรเปอร์เซีย ซึ่งท่านแสดงความกระตือรือร้นอย่างร้อนรน

นักบุญยอห์น ครีโซสตม (Saint John Chrysostom - Ἰωάννης ὁ Χρυσόστομος)
เมื่อจักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 (Theodosius I) ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาแล้ว พระองค์จึงให้เกียรตินักบุญมารุสทัสด้วยการแต่งตั้งคณะทูต 2 ชุดติดต่อกันไปหา Isdegerdes เพื่อประกาศสันติภาพถาวรระหว่าง 2 จักรวรรดิ จักรพรรดิเปอร์เซียทรงถือว่า นักบุญมารุสทัสท่านนี้ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง และด้วยคำภาวนาของท่าน ท่านจึงทรงรักษาอาการปวดหัวอย่างรุนแรงของพระองค์ ซึ่งบรรดาหมอผีของพระองค์ไม่สามารถทำให้อาการปวดหัวบรรเทาได้ ตามที่โสกราตีส (Socrates) เล่าไว้

จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 (Theodosius I - Θεοδόσιος) หรือเรียกว่า จักรพรรดิเทออดอซิอุสมหาราช (Theodosius the Great)

โสกราตีส หรือเรียกว่า โสคราตีส (Socrates - Σωκράτης)
นักประวัติศาสตร์ผู้นี้เสริมว่า ตั้งแต่นั้นมา จักรพรรดิมักเรียกท่านว่า “มิตรสหายของพระเจ้า” และบรรดาหมอผีกลัวว่า จักรพรรดิจะถูกชักชวนให้กลับใจมาสู่ศาสนาคริสต์ จึงหันไปพึ่งกลอุบายที่ชั่วร้ายและต่ำช้า พวกเขาจึงซ่อนชายคนหนึ่งไว้ใต้ดินในวิหาร เมื่อจักรพรรดิเสด็จมาเพื่อบูชาไฟที่ไม่มีวันดับ จึงให้ชายคนนั้นก็ร้องตะโกนว่า “ขับไล่จักรพรรดิผู้ศรัทธาต่อเจ้าพระสงฆ์ของพวกคริสตชนออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้” จากนั้น Isdegerdes ก็กำลังจะไล่บิชอป (นักบุญมารุสทัส) ออกไป แต่นักบุญมารุสทัสโน้มน้าวให้จักรพรรดิเสด็จไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง โดยรับรองว่าหากเปิดพื้น พระองค์จะค้นพบการหลอกลวงที่ชั่วร้าย จักรพรรดิก็ทรงทำตาม และจักรพรรดิก็สั่งให้ประหารบรรดาหมอผีที่อยู่ที่นั่น และทรงอนุญาตให้นักบุญมารุสทัสสร้างวัดขึ้นที่ไหนก็ได้ตามต้องการ
นักบุญมารุสทัส บิชอปผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้สร้างวัดขึ้นใหม่มากมายในหลายๆพื้นที่ของเปอร์เซีย และในระหว่างการมาในฐานะทูตครั้งที่ 2 ท่านได้อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน และจัดการประชุมสมัชชาบิชอป 2 ครั้ง ที่เมือง Ctesiphon หลังจากนั้นในปีค.ศ. 414 ลัทธิเอเรียน (Arianism) ถูกประณาม และมีการกำหนดระเบียบวินัยหลายประการ
เมื่อนักบุญมารุสทัสชราภาพแล้ว จึงได้เดินทางกลับไปยังดินแดนเมโสโปเตเมีย และนำพระธาตุของบรรดามรณสักขีกลับมาด้วยจำนวนมาก และทำให้วัดของท่านมีสัตบุรุษมากมาย จนทำให้เมือง Tagrit ถูกเรียกว่า “มาร์ตีโรโปลิส (Martyropolis)” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
งานหลักของปิตาจารย์ผู้นี้ คือ พิธีกรรมจารีตซีโร-คาลเดียน (Syro-Chaldaic) ซึ่งคริสตชนจารีตมาโรไนต์ซึ่งใช้ภาษาดังกล่าวในการประกอบพิธีมิสซาแด่พระเจ้า แล้วยังคงใช้ในบางวัน สำเนาต้นฉบับของคำอธิบายพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญมัทธิวเป็นภาษาซีรีแอกของท่านถูกเก็บรักษาไว้ในห้องสมุดของวาติกัน (Vatican)

“พระกายของพระคริสต์ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทจริงๆ (Real presence of Christ’s body in the eucharist.)”
ประวัติของสภาสังคายนาสากลแห่งไนเซีย (Council of Nicaea) พร้อมด้วยบทบัญญัติซึ่งแปลเป็นภาษาซีรีแอกที่รวบรวมโดยนักบุญมารุสทัส ได้รับการกล่าวถึงโดย Ebedjesus ซึ่งหากค้นพบได้ก็จะเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง นักบุญมารุสทัส บิชอปผู้ศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เสียชีวิตที่อาสนวิหารของตนเองก่อนกลางศตวรรษที่ 5 และได้รับการฝังศพไว้ที่นั่น ระหว่างการรุกรานของชาวเปอร์เซียและชาวอาหรับ ร่างของท่านถูกขนย้ายไปยังประเทศอียิปต์

สภาสังคายนาสากลแห่งไนเซีย (Council of Nicaea)
CR. : https://catholic.net/op/articles/2310/c ... uthas.html

ปล. หากมีการแปลผิดพลาดประการใด หรือข้อมูลผิดพลาด แอดมินก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
235-2-54394-2
ขอพระเจ้าสถิตกับท่านทุกคนนะครับ
#คริสต์ #คาทอลิก #ออร์โธด็อกซ์ #คริสต์ศรัทธา #ชีวประวัติ #นักบุญมารุสทัสแห่งมาร์ตีโรโปลิส #นักบุญมารุสทาแห่งมาร์ตีโรโปลิส #นักบุญมารุสทัส #นักบุญมารุสทา #นักบุญ #ประวัติศาสตร์ #ซีรีแอก #ซีรีแอกออร์โธด็อกซ์ #ซีรีแอกคาทอลิก #คาลเดียน #คาลเดียนคาทอลิก #มารอนไนต์ #มารอนไนต์คาทอลิก #คาทอลิกตะวันออก #ประเทศซีเรีย #ซีเรีย #บิชอป #นักบุญยอห์นครีโซสตม #โสกราตีส #catholic #orthodox #syriac #SyriacOrthodox #SyriacCatholic #chaldean #ChaldeanCatholic #maronite #MaroniteCatholic #EasternCatholic #saint #syria #SaintMaruthasOfMartyropolis #SaintMaruthaOfMartyropolis #SaintMaruthas #SaintMarutha #SaintJohnChrysostom #socrates #martyropolis
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/2JYB2M ... tid=WC7FNe