การภาวนาตามแนวคิดของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 13, 2005 10:34 pm
จดหมายถึงคุณแม่ Marie de Gonzague
คุณแม่ที่รัก ดิฉันเพิ่งเรียนให้ทราบเมื่อตะกี้ว่า ในการสั่งสอนผู้อื่นนั้นดิฉันได้เรียนรู้อีกมาก มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เห็นชัดเจนคือ การต่อสู้ของวิญญาณทุกวิญญาณมีส่วนคล้ายกันไม่มากก็น้อย แต่ขณะเดียวกัน ไม่มีวิญญาณใดที่เหมือนกันเลย นี่ทำให้เข้าใจคำพูดของคุณพ่อปีซอง ดีขึ้น คำที่กล่าวว่า "วิญญาณแตกต่างกัน มากกว่าที่หน้าตาแตกต่างกันเสียอีก" เพราะฉะนั้นเราจะกระทำต่อวิญญาณทุกดวงเหมือนกันไม่ได้ ต่อบางคนดิฉันพบว่าต้องย่อส่วนตัวเองลงให้เหลือเล็กนิดเดียว ต้องไม่กลัวที่จะถ่อมตนโดยเล่าให้เขารู้ถึงการต่อสู้และความปราชัยของตนเอง เมื่อน้องๆเหล่านี้เห็นว่าดิฉันมีความอ่อนแอเหมือนกัน เขาจึงพร้อมที่จะบอกให้ทราบถึงความบกพร่องที่กัดกินมโนธรรมอยู่ และรู้สึกยินดีด้วยที่ดิฉันทราบความลำบากของเขาจากประสพการณ์ .
ส่วนอีกพวกหนึ่ง ดิฉันเห็นจากเริ่มแรกทีเดียวว่าพวกนี้ต้องใช้วิธีการตรงข้ามเลย ต้องมีความแน่วแน่ ยึดมั่นในสิ่งที่พูดไปแล้ว ในการปฏิบัติต่อคนจำพวกนี้เราจะลดลงไปอยู่ระดับเดียวกับเขาไม่ได้ จะเป็นความอ่อนแอและหาใช่ความถ่อมตนไม่ พระเป็นเจ้าได้ประทานพระหรรษทานประการหนึ่งแก่ดิฉัน คือไม่หวาดหวั่นที่จะต่อสู้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม ดิฉันต้องทำหน้าที่ของตน หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่น้องๆเหล่านี้กล่าวค้านว่า "ถ้าซิสเตอร์อยากปั้นหนูให้เป็นตัวเป็นตนและก้อ ต้องอย่ารุนแรงนักซิคะ ทำหนักๆอย่างนั้นไม่มีผลแน่ค่ะ" อนิจจา ไม่มีผู้ใดสามารถพิพากษาตนเองอย่างเที่ยงตรงได้ เมื่อแพทย์คนใดก็ตาม ลงความเห็นแน่นอนว่าเด็กคนนี้ต้องการรับการผ่าตัดที่เจ็บปวดมาก บัดดลนั้นจะมีเสียงร้องไห้โฮ แล้วมีการครวญครางเกินกว่าที่เจ็บจริงๆ แต่อีกสองสามวันต่อมา เด็กคนนั้นก็จะดีใจเพียงไรที่กลับสู่สภาพดี วิ่งเล่นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ในกรณีของวิญญาณก็เช่นเดียวกัน เขาจะเห็นในไม่ช้าว่ายาขมดีกว่าของหวาน. และเขาจะบอกเรื่องนี้ให้ฟังเสียด้วยซ้ำไป.
บางครั้งดิฉันอดยิ้มกันตัวเองไม่ได้ที่เห็นเขาเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อในชั่วเวลาข้ามวัน เขาจะมาหาแล้วกล่าวว่า "ซิสเตอร์ทำถูกแล้วที่เคร่งครัดกับหนูเมื่อวาน ทีแรกมันทำให้โมโหอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูอีกทีซิสเตอร์เป็นฝ่ายถูกค่ะ จะบอกอะไรให้ตอนที่หนูเดินจากไปน่ะ หนูคิดในใจว่า พอ,เลิกกันที ต้องไปหาคุณแม่และเรียนให้ท่านทราบว่า หนูขอตัดสัมพันธไมตรีกับซิสเตอร์เทเรซาของพระกุมารเยซูอย่างเด็ดขาด แต่ต่อมาเดี๋ยวหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ มันเป็นปีศาจที่บรรจุความคิดนี้ในหัว และความคิดอีกอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ตอนนี้ซิสเตอร์กำลังสวดให้หนูอยู่กระมัง พอคิดถึงนี่ใจมันก็สงบลงเฉยๆ เป็นเหมือนแสงที่เริ่มส่องสว่างขึ้นในตัวหนู เลยอยากให้ซิสเตอร์เข้าใจให้ถูก นี่ละค่ะ หนูถึงได้มาหา" เหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งช่วยเริ่มการสนทนาอย่างดียิ่ง และคราวนี้ดิฉันยินดีที่จะทำตามความเอนเอียงของตน คือละเว้นการตำหนิเสีย
จริงตามที่กล่าวมาค่ะ แต่ต่อมาก็ได้เห็นว่าจะไปเร็วนักก็ไม่ได้ คำพูดพล่อยเพียงคำเดียวเท่านั้น ทำให้สิ่งที่อดทนสร้างมาล้มโค่นลงมากองแทบเท้า ถ้าบังเอิญพูดอะไรออกไปที่เป็นการลดลาวาศอกให้กับสิ่งที่พูดเมื่อวาน เป็นต้องได้เห็นพวกเณรีของดิฉันหาช่องโหว่ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ดิฉันต้องกลั้นใจรีบภาวนา และก็มีชัยชนะทุกครั้ง ปราศจากคำภาวนาและพลีกรรมแล้วดิฉันจะไปได้สักกี่น้ำคะ? ทั้งสองสิ่งนี้เป็นพลังทั้งหมดที่ดิฉันมี เป็นอาวุธสำคัญที่พระเป็นเจ้าทรงมอบให้ ดิฉันได้พิสูจน์สิ่งนี้หลายครั้งแล้ว ทั้งสองอย่างเข้าถึงวิญญาณได้แน่นอนกว่าคำพูดใดๆ .
ประสิทธิภาพของคำภาวนา,ช่างเป็นสิ่งน่าพิศวงจริงๆนะคะ คำภาวนาเป็นเหมือนราชินีที่อาจเข้าเฝ้าองค์จอมกษัตริย์ได้ทุกเมื่อและสามารถที่จะได้รับทุกอย่างที่ทูลขอ จะเป็นความผิดถ้าคิดเสียว่าคำภาวนาของเราจะไม่ได้รับตอบ,ถ้าเราไม่มีข้อความสวยๆเลิศๆ ที่เขียนเพื่อกรณีหนึ่งๆ ถ้านี่เป็นความจริง,ก็น่ากลัวว่าดิฉันจะเป็นผู้อาภัพมากทีเดียว จริงค่ะ,ดิฉันสวด ออฟฟี่ซีอุม ด้วยความรู้สึกในความไม่สมควรของตน แต่นอกเหนือไปกว่านี้แล้ว,ดิฉันไม่อาจทนต่อความวิตกกังวลที่ต้องเที่ยวหาบทภาวนาเยี่ยมๆในหนังสือต่างๆ เวียนศีรษะไปหมดเลยถ้าลงได้ทำเช่นนั้น ช่างมีบทภาวนาดีๆมากมายนัก แล้วดิฉันจะทำไฉนจึงจะสวดภาวนาทั้งหมดนั้นได้ ดิฉันเพียงแต่ทำตามอย่างเด็กเล็กๆวัยก่อนอ่านออกเขียนได้ทำกันคือ ทูลเสนอพระเป็นเจ้าถึงสิ่งที่ดิฉันต้องการอย่างง่ายๆ โดยปราศจากถ้อยคำสวยงามใดๆ และก็ดูเหมือนว่าทุกครั้ง,พระองค์ทรงเข้าพระทัยดี .
สำหรับดิฉันคำภาวนาหมายถึง การโผบินออกจากดวงใจของตนสู่พระเป็นเจ้า เป็นการยกดวงตาขึ้นสู่สวรรค์อย่างง่ายๆ หมายถึงเสียงอุทานที่เพียบด้วยกตัญญูรักในเมื่อทุกอย่าง เป็นที่น่าอภิรมย์หรือในเมื่อทุกอย่างมืดมิดจนว่าสิ้นหวัง
คำภาวนาเป็นพลังเหนือธรรมชาติอันแสนจะกว้างไพศาลที่เปิดจิตใจของดิฉันให้กว้างออกและมัดไว้ให้ชิดสนิทกับพระเยซูเจ้า.
คุณแม่คะ ดิฉันไม่ประสงค์จะให้คุณแม่เข้าใจผิดว่า เมื่อเราภาวนาร่ามกันหรือภาวนาพร้อมกันต่อหน้าพระรูปใดๆ ดิฉันจะกระทำโดยปราศจากความศรัทธา เปล่าค่ะ การภาวนาพร้อมกันเป็นสิ่งที่ดิฉันชอบมากทีเดียว พระเจ้าของเราตรัสมิใช่หรือคะว่า จะประทับอยู่ท่ามกลางเรา เมื่อเรามารวมกันในพระนามของพระองค์ ในโอกาศนั้นๆ ดิฉันตระหนักดีในความอบอุ่นที่เนื่องมาจากความศรัทธาของซิสเตอร์อื่นอันชดเชยให้แก่ความเฉื่อยชาของดิฉัน แต่เมื่ออยู่ตามลำพังนั่นซิ... เป็นสิ่งน่าอับอายแต่ก็จำต้องยอมรับว่าการสวดสายประคำ เป็นสิ่งที่หนักกว่าการใส่เสื้อขน เพื่อทรมานกายเสียอีก ดิฉันสวดสายประคำแย่จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจบังคับตนให้รำพึงถึงข้อรหัสธรรมประจำทศได้ เป็นอยู่นานทีเดียวที่ๆได้ท้อใจในการขาดความศรัทธาในเรื่องนี้ ดิฉันไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้ได้เลย ความรักของดิฉันต่อพระแม่มารีก็มีอยู่ไม่น้อย การภาวนาเพื่อถวายเกียรติแด่พระแม่จึงไม่ควรเป็นเรื่องยาก แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันเลิกทำให้ตนกระวนกระวายเช่นดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนว่าเนื่องจากที่ราชินีแห่งสวรรค์เป็นมารดาของดิฉัน พระนางต้องทราบถึงความตั้งใจดีที่ดิฉันมีและสิ่งนั้นก็เป็นที่พอพระทัยของพระนาง.
บางครั้งเมื่ออยู่ในสภาพที่วิญญาณไร้ความบรรเทาจนไม่มีความคิดใดในจิตใจเลย ที่จะนำตนเข้าไปใกล้พระเป็นเจ้า ดิฉันจะสวด บทข้าแต่พระบิด หรือวันทามารีอา สักบทหนึ่งอย่างช้าๆ บทสวดนั้นจะนำความสุขมาสู่จิตใจอย่างท่วมท้นและให้ความอิ่มใจอย่างแท้จริง มากกว่าการได้สวดมากๆนับร้อยบทอย่างรวดเร็วเสียอีก ในขณะเดียวกันพระแม่มารีย์ก็มิได้ทรงกริ้วดิฉัน พระนางได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้ โดยมาช่วยดิฉันทุกครั้งที่วอนขอต่อพระนาง เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันมีความยากลำบากหรือกังวลใจ ดิฉันจะรีบเข้าไปหาพระนางทันที ไม่มีมารดาที่จะนำดิฉันให้พ้นความลำบากได้ดีกว่าพระนางอีกแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้วอนขอพระนาง และก็ได้พบคุณค่าของการมีมารดาเช่นนี้ ในเมื่อต้องพยายามสั่งสอนพวกเณรี
คุณแม่คะ ตามที่คุณแม่ทราบ
นวกเณรีมีเสรีเต็มที่ที่จะกล่าวสิ่งที่พวกเธอนึกคิดกับดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ตาม สิ่งนั้นง่ายมาสำหรับเธอ เพราะพวกเธอไม่ต้องห่วงที่จะปฏิบัติต่อดิฉันด้วยความเคารพ เหมือนกับว่าดิฉันเป็นนวกาจารย์จริงๆฉะนั้น พระเจ้าของเราได้ประทานหนทางแห่งความถ่อมตนให้ดิฉันกระนั้นหรือ ? ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ค่ะ การถ่อมตนมีอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ ดูจากภายนอก,ในสายตาของคนอื่น,ดิฉันดำเนินไปเป็นปกติ เท่าที่อาจเป็นได้ในชีวิตนักบวช ดูๆก็เป็นทางที่อันตรายอยู่ แต่แล้วดิฉันก็พอมองเห็นว่าทำไม่ดิฉันถึงต้องดำเนินตามทางนี้ สิ่งนั้นก็คือเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง อันที่จริงถ้าอารามเห็นดิฉันตามที่เป็นจริง คือเป็นนักบวชที่เต็มด้วยความบกพร่อง คุณแม่ก็คงจะใช้ดิฉันให้เป็นประโยชน์ได้ยาก ฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงทรงปกคลุมความบกพร่องของดิฉันทั้งภายนอกและภายในไว้ และการปกคลุมนี้,บางครั้งก็เป็นต้นเหตุนำมาซึ่งคำสรรเสริญของนวกเณรี ดิฉันมิได้ต้องการยกยอปอปั้นตนเอง เป็นเพียงการเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาและกล่าวอย่างที่เป็นจริง มันไม่ทำให้ดิฉันฟุ้งเฟ้อ เพราะตระหนักดีถึงฐานะที่เป็นจริงของดิฉัน ซึ่งอยู่ในใจดิฉันตลอดเวลา
วันหนึ่งดิฉันรู้สึกอยากได้รับการลบหลู่ให้ถ่อมตนตามที่กล่าว มากเป็นพิเศษ และแล้วนวกเณรีผู้หนึ่งก็ได้ทำให้ความประสงค์นี้สำเร็จไปอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จนทำให้ดิฉันระลึกขึ้นถึงคำแช่งของเซเมอีต่อกษัตริย์ดาวิด "จริงซี" ดิฉันกล่าวกับตัวเอง "เธอต้องได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้กล่าวเช่นนั้นกับเรา" ไม่มีการประหยัดเครื่องปรุงเลยละ ซึ่งวิญญาณของดิฉันก็รู้สึกสบอารมณ์เป็นที่ยิ่ง ไม่แพ้นักเลงอาหารกับอาหารที่ถูกปาก นี่เป็นวิธีการที่พระเป็นเจ้าทรงเมตตา ประทานเรี่ยวแรงแก่เรา พระองค์ไม่อาจประทานอาหารที่ให้กำลังจริงๆเสมอ ดิฉันหมายถึงการถ่อมตนท่ามกลางธารกำนัล แต่ก็มีเศษอาหารที่ตกลงมาเป็นครั้งเป็นคราวจากโต๊ะชุบชูชีวิตนั้น พระเมตตาของพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนัก จนว่าเมื่อได้ถึงสวรรค์แล้วนั่นแหละ จึงจะอาจบรรยายพระเมตตานี้ได้อย่างสมบูรณ์ .
คุณแม่ที่รัก ดิฉันเพิ่งเรียนให้ทราบเมื่อตะกี้ว่า ในการสั่งสอนผู้อื่นนั้นดิฉันได้เรียนรู้อีกมาก มีสิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เห็นชัดเจนคือ การต่อสู้ของวิญญาณทุกวิญญาณมีส่วนคล้ายกันไม่มากก็น้อย แต่ขณะเดียวกัน ไม่มีวิญญาณใดที่เหมือนกันเลย นี่ทำให้เข้าใจคำพูดของคุณพ่อปีซอง ดีขึ้น คำที่กล่าวว่า "วิญญาณแตกต่างกัน มากกว่าที่หน้าตาแตกต่างกันเสียอีก" เพราะฉะนั้นเราจะกระทำต่อวิญญาณทุกดวงเหมือนกันไม่ได้ ต่อบางคนดิฉันพบว่าต้องย่อส่วนตัวเองลงให้เหลือเล็กนิดเดียว ต้องไม่กลัวที่จะถ่อมตนโดยเล่าให้เขารู้ถึงการต่อสู้และความปราชัยของตนเอง เมื่อน้องๆเหล่านี้เห็นว่าดิฉันมีความอ่อนแอเหมือนกัน เขาจึงพร้อมที่จะบอกให้ทราบถึงความบกพร่องที่กัดกินมโนธรรมอยู่ และรู้สึกยินดีด้วยที่ดิฉันทราบความลำบากของเขาจากประสพการณ์ .
ส่วนอีกพวกหนึ่ง ดิฉันเห็นจากเริ่มแรกทีเดียวว่าพวกนี้ต้องใช้วิธีการตรงข้ามเลย ต้องมีความแน่วแน่ ยึดมั่นในสิ่งที่พูดไปแล้ว ในการปฏิบัติต่อคนจำพวกนี้เราจะลดลงไปอยู่ระดับเดียวกับเขาไม่ได้ จะเป็นความอ่อนแอและหาใช่ความถ่อมตนไม่ พระเป็นเจ้าได้ประทานพระหรรษทานประการหนึ่งแก่ดิฉัน คือไม่หวาดหวั่นที่จะต่อสู้ ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม ดิฉันต้องทำหน้าที่ของตน หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่น้องๆเหล่านี้กล่าวค้านว่า "ถ้าซิสเตอร์อยากปั้นหนูให้เป็นตัวเป็นตนและก้อ ต้องอย่ารุนแรงนักซิคะ ทำหนักๆอย่างนั้นไม่มีผลแน่ค่ะ" อนิจจา ไม่มีผู้ใดสามารถพิพากษาตนเองอย่างเที่ยงตรงได้ เมื่อแพทย์คนใดก็ตาม ลงความเห็นแน่นอนว่าเด็กคนนี้ต้องการรับการผ่าตัดที่เจ็บปวดมาก บัดดลนั้นจะมีเสียงร้องไห้โฮ แล้วมีการครวญครางเกินกว่าที่เจ็บจริงๆ แต่อีกสองสามวันต่อมา เด็กคนนั้นก็จะดีใจเพียงไรที่กลับสู่สภาพดี วิ่งเล่นได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ในกรณีของวิญญาณก็เช่นเดียวกัน เขาจะเห็นในไม่ช้าว่ายาขมดีกว่าของหวาน. และเขาจะบอกเรื่องนี้ให้ฟังเสียด้วยซ้ำไป.
บางครั้งดิฉันอดยิ้มกันตัวเองไม่ได้ที่เห็นเขาเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างไม่น่าเชื่อในชั่วเวลาข้ามวัน เขาจะมาหาแล้วกล่าวว่า "ซิสเตอร์ทำถูกแล้วที่เคร่งครัดกับหนูเมื่อวาน ทีแรกมันทำให้โมโหอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูอีกทีซิสเตอร์เป็นฝ่ายถูกค่ะ จะบอกอะไรให้ตอนที่หนูเดินจากไปน่ะ หนูคิดในใจว่า พอ,เลิกกันที ต้องไปหาคุณแม่และเรียนให้ท่านทราบว่า หนูขอตัดสัมพันธไมตรีกับซิสเตอร์เทเรซาของพระกุมารเยซูอย่างเด็ดขาด แต่ต่อมาเดี๋ยวหนึ่งก็รู้สึกว่า เอ มันเป็นปีศาจที่บรรจุความคิดนี้ในหัว และความคิดอีกอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ตอนนี้ซิสเตอร์กำลังสวดให้หนูอยู่กระมัง พอคิดถึงนี่ใจมันก็สงบลงเฉยๆ เป็นเหมือนแสงที่เริ่มส่องสว่างขึ้นในตัวหนู เลยอยากให้ซิสเตอร์เข้าใจให้ถูก นี่ละค่ะ หนูถึงได้มาหา" เหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งช่วยเริ่มการสนทนาอย่างดียิ่ง และคราวนี้ดิฉันยินดีที่จะทำตามความเอนเอียงของตน คือละเว้นการตำหนิเสีย
จริงตามที่กล่าวมาค่ะ แต่ต่อมาก็ได้เห็นว่าจะไปเร็วนักก็ไม่ได้ คำพูดพล่อยเพียงคำเดียวเท่านั้น ทำให้สิ่งที่อดทนสร้างมาล้มโค่นลงมากองแทบเท้า ถ้าบังเอิญพูดอะไรออกไปที่เป็นการลดลาวาศอกให้กับสิ่งที่พูดเมื่อวาน เป็นต้องได้เห็นพวกเณรีของดิฉันหาช่องโหว่ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ดิฉันต้องกลั้นใจรีบภาวนา และก็มีชัยชนะทุกครั้ง ปราศจากคำภาวนาและพลีกรรมแล้วดิฉันจะไปได้สักกี่น้ำคะ? ทั้งสองสิ่งนี้เป็นพลังทั้งหมดที่ดิฉันมี เป็นอาวุธสำคัญที่พระเป็นเจ้าทรงมอบให้ ดิฉันได้พิสูจน์สิ่งนี้หลายครั้งแล้ว ทั้งสองอย่างเข้าถึงวิญญาณได้แน่นอนกว่าคำพูดใดๆ .
ประสิทธิภาพของคำภาวนา,ช่างเป็นสิ่งน่าพิศวงจริงๆนะคะ คำภาวนาเป็นเหมือนราชินีที่อาจเข้าเฝ้าองค์จอมกษัตริย์ได้ทุกเมื่อและสามารถที่จะได้รับทุกอย่างที่ทูลขอ จะเป็นความผิดถ้าคิดเสียว่าคำภาวนาของเราจะไม่ได้รับตอบ,ถ้าเราไม่มีข้อความสวยๆเลิศๆ ที่เขียนเพื่อกรณีหนึ่งๆ ถ้านี่เป็นความจริง,ก็น่ากลัวว่าดิฉันจะเป็นผู้อาภัพมากทีเดียว จริงค่ะ,ดิฉันสวด ออฟฟี่ซีอุม ด้วยความรู้สึกในความไม่สมควรของตน แต่นอกเหนือไปกว่านี้แล้ว,ดิฉันไม่อาจทนต่อความวิตกกังวลที่ต้องเที่ยวหาบทภาวนาเยี่ยมๆในหนังสือต่างๆ เวียนศีรษะไปหมดเลยถ้าลงได้ทำเช่นนั้น ช่างมีบทภาวนาดีๆมากมายนัก แล้วดิฉันจะทำไฉนจึงจะสวดภาวนาทั้งหมดนั้นได้ ดิฉันเพียงแต่ทำตามอย่างเด็กเล็กๆวัยก่อนอ่านออกเขียนได้ทำกันคือ ทูลเสนอพระเป็นเจ้าถึงสิ่งที่ดิฉันต้องการอย่างง่ายๆ โดยปราศจากถ้อยคำสวยงามใดๆ และก็ดูเหมือนว่าทุกครั้ง,พระองค์ทรงเข้าพระทัยดี .
สำหรับดิฉันคำภาวนาหมายถึง การโผบินออกจากดวงใจของตนสู่พระเป็นเจ้า เป็นการยกดวงตาขึ้นสู่สวรรค์อย่างง่ายๆ หมายถึงเสียงอุทานที่เพียบด้วยกตัญญูรักในเมื่อทุกอย่าง เป็นที่น่าอภิรมย์หรือในเมื่อทุกอย่างมืดมิดจนว่าสิ้นหวัง
คำภาวนาเป็นพลังเหนือธรรมชาติอันแสนจะกว้างไพศาลที่เปิดจิตใจของดิฉันให้กว้างออกและมัดไว้ให้ชิดสนิทกับพระเยซูเจ้า.
คุณแม่คะ ดิฉันไม่ประสงค์จะให้คุณแม่เข้าใจผิดว่า เมื่อเราภาวนาร่ามกันหรือภาวนาพร้อมกันต่อหน้าพระรูปใดๆ ดิฉันจะกระทำโดยปราศจากความศรัทธา เปล่าค่ะ การภาวนาพร้อมกันเป็นสิ่งที่ดิฉันชอบมากทีเดียว พระเจ้าของเราตรัสมิใช่หรือคะว่า จะประทับอยู่ท่ามกลางเรา เมื่อเรามารวมกันในพระนามของพระองค์ ในโอกาศนั้นๆ ดิฉันตระหนักดีในความอบอุ่นที่เนื่องมาจากความศรัทธาของซิสเตอร์อื่นอันชดเชยให้แก่ความเฉื่อยชาของดิฉัน แต่เมื่ออยู่ตามลำพังนั่นซิ... เป็นสิ่งน่าอับอายแต่ก็จำต้องยอมรับว่าการสวดสายประคำ เป็นสิ่งที่หนักกว่าการใส่เสื้อขน เพื่อทรมานกายเสียอีก ดิฉันสวดสายประคำแย่จริงๆ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจบังคับตนให้รำพึงถึงข้อรหัสธรรมประจำทศได้ เป็นอยู่นานทีเดียวที่ๆได้ท้อใจในการขาดความศรัทธาในเรื่องนี้ ดิฉันไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้ได้เลย ความรักของดิฉันต่อพระแม่มารีก็มีอยู่ไม่น้อย การภาวนาเพื่อถวายเกียรติแด่พระแม่จึงไม่ควรเป็นเรื่องยาก แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันเลิกทำให้ตนกระวนกระวายเช่นดังกล่าวแล้ว ดูเหมือนว่าเนื่องจากที่ราชินีแห่งสวรรค์เป็นมารดาของดิฉัน พระนางต้องทราบถึงความตั้งใจดีที่ดิฉันมีและสิ่งนั้นก็เป็นที่พอพระทัยของพระนาง.
บางครั้งเมื่ออยู่ในสภาพที่วิญญาณไร้ความบรรเทาจนไม่มีความคิดใดในจิตใจเลย ที่จะนำตนเข้าไปใกล้พระเป็นเจ้า ดิฉันจะสวด บทข้าแต่พระบิด หรือวันทามารีอา สักบทหนึ่งอย่างช้าๆ บทสวดนั้นจะนำความสุขมาสู่จิตใจอย่างท่วมท้นและให้ความอิ่มใจอย่างแท้จริง มากกว่าการได้สวดมากๆนับร้อยบทอย่างรวดเร็วเสียอีก ในขณะเดียวกันพระแม่มารีย์ก็มิได้ทรงกริ้วดิฉัน พระนางได้แสดงให้เห็นถึงสิ่งนี้ โดยมาช่วยดิฉันทุกครั้งที่วอนขอต่อพระนาง เมื่อใดก็ตามที่ดิฉันมีความยากลำบากหรือกังวลใจ ดิฉันจะรีบเข้าไปหาพระนางทันที ไม่มีมารดาที่จะนำดิฉันให้พ้นความลำบากได้ดีกว่าพระนางอีกแล้ว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้วอนขอพระนาง และก็ได้พบคุณค่าของการมีมารดาเช่นนี้ ในเมื่อต้องพยายามสั่งสอนพวกเณรี
คุณแม่คะ ตามที่คุณแม่ทราบ
นวกเณรีมีเสรีเต็มที่ที่จะกล่าวสิ่งที่พวกเธอนึกคิดกับดิฉัน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจก็ตาม สิ่งนั้นง่ายมาสำหรับเธอ เพราะพวกเธอไม่ต้องห่วงที่จะปฏิบัติต่อดิฉันด้วยความเคารพ เหมือนกับว่าดิฉันเป็นนวกาจารย์จริงๆฉะนั้น พระเจ้าของเราได้ประทานหนทางแห่งความถ่อมตนให้ดิฉันกระนั้นหรือ ? ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ค่ะ การถ่อมตนมีอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ ดูจากภายนอก,ในสายตาของคนอื่น,ดิฉันดำเนินไปเป็นปกติ เท่าที่อาจเป็นได้ในชีวิตนักบวช ดูๆก็เป็นทางที่อันตรายอยู่ แต่แล้วดิฉันก็พอมองเห็นว่าทำไม่ดิฉันถึงต้องดำเนินตามทางนี้ สิ่งนั้นก็คือเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง อันที่จริงถ้าอารามเห็นดิฉันตามที่เป็นจริง คือเป็นนักบวชที่เต็มด้วยความบกพร่อง คุณแม่ก็คงจะใช้ดิฉันให้เป็นประโยชน์ได้ยาก ฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงทรงปกคลุมความบกพร่องของดิฉันทั้งภายนอกและภายในไว้ และการปกคลุมนี้,บางครั้งก็เป็นต้นเหตุนำมาซึ่งคำสรรเสริญของนวกเณรี ดิฉันมิได้ต้องการยกยอปอปั้นตนเอง เป็นเพียงการเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาและกล่าวอย่างที่เป็นจริง มันไม่ทำให้ดิฉันฟุ้งเฟ้อ เพราะตระหนักดีถึงฐานะที่เป็นจริงของดิฉัน ซึ่งอยู่ในใจดิฉันตลอดเวลา
วันหนึ่งดิฉันรู้สึกอยากได้รับการลบหลู่ให้ถ่อมตนตามที่กล่าว มากเป็นพิเศษ และแล้วนวกเณรีผู้หนึ่งก็ได้ทำให้ความประสงค์นี้สำเร็จไปอย่างตรงไปตรงมาที่สุด จนทำให้ดิฉันระลึกขึ้นถึงคำแช่งของเซเมอีต่อกษัตริย์ดาวิด "จริงซี" ดิฉันกล่าวกับตัวเอง "เธอต้องได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้กล่าวเช่นนั้นกับเรา" ไม่มีการประหยัดเครื่องปรุงเลยละ ซึ่งวิญญาณของดิฉันก็รู้สึกสบอารมณ์เป็นที่ยิ่ง ไม่แพ้นักเลงอาหารกับอาหารที่ถูกปาก นี่เป็นวิธีการที่พระเป็นเจ้าทรงเมตตา ประทานเรี่ยวแรงแก่เรา พระองค์ไม่อาจประทานอาหารที่ให้กำลังจริงๆเสมอ ดิฉันหมายถึงการถ่อมตนท่ามกลางธารกำนัล แต่ก็มีเศษอาหารที่ตกลงมาเป็นครั้งเป็นคราวจากโต๊ะชุบชูชีวิตนั้น พระเมตตาของพระเป็นเจ้าเป็นสิ่งที่น่าทึ่งยิ่งนัก จนว่าเมื่อได้ถึงสวรรค์แล้วนั่นแหละ จึงจะอาจบรรยายพระเมตตานี้ได้อย่างสมบูรณ์ .