ชีวประวัติ นักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface)
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 17, 2025 9:31 pm

นักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface) มรณสักขี และอัครสาวกแห่งประเทศเยอรมนี ท่านเป็นนักบวชคณะเบเนดิกติน (Benedictine - OSB) ค.ศ. 680 - ค.ศ. 754 วันฉลองของท่าน คือ 5 มิถุนายน ของทุกปี

คณะเบเนดิกติน (Benedictine - OSB)

เครื่องแบบ คณะเบเนดิกติน (Benedictine - OSB)
“วินฟริด (Winfrid)” ซึ่งเป็นชื่อที่เขาได้รับเมื่อรับศีลล้างบาป เกิดในตระกูลคริสตชนที่มีฐานะสูงส่ง ท่านอยู่ที่เมืองเครดิตัน (Crediton) ในมณฑลเดวอนเชียร์ (Devonshire) ประเทศอังกฤษ ประมาณปีค.ศ. 680 พระศาสนจักรประเทศอังกฤษที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งยังคงได้รับแรงบันดาลใจจากนักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรี (Saint Augustine of Canterbury) ที่ส่งมาจากกรุงโรมเมื่อ 2 ชั่วอายุคนก่อนหน้านี้ เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวา นักบุญโบนิเฟซยังเด็กมากเมื่อท่านได้ฟังบทสนทนาของบรรดาฤาษีบางคนที่มาเยี่ยมบ้านของท่าน ท่านจึงตัดสินใจเข้าวัด และความตั้งใจนี้ไม่เคยลดลงเลย บิดาของนักบุญโบนิเฟซมีแผนการอื่นสำหรับลูกชายที่ฉลาดของเขา แต่ความเจ็บป่วยร้ายแรงทำให้แผนการของเขาเปลี่ยนไป เขาจึงส่งนักบุญโบนิเฟซไปที่อารามนครเอ็กซิเตอร์ (Abbey of Exeter) ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อรับการศึกษา หลายปีต่อมา นักบุญโบนิเฟซได้ไปที่อารามเบอร์สลิง (Abbey of Bursling) ของสังฆมณฑลวินเชสเตอร์ (Diocese of Winchester) หลังจากเรียนจบที่นั่น ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน

นักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรี (Saint Augustine of Canterbury) ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้นักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface)
ทักษะการสอนของท่านดึงดูดนักเรียนจำนวนมาก และเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ท่านจึงได้เขียนไวยากรณ์ซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน นักเรียนจดบันทึกอย่างขยันขันแข็งในชั้นเรียนของท่าน และบันทึกเหล่านี้ถูกคัดลอกและส่งต่อไปยังอารามแห่งอื่นๆ ซึ่งพวกเขาตั้งใจศึกษาอย่างกระตือรือร้น เมื่ออายุได้ 30 ปี ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระสงฆ์ และขณะนี้ได้เพิ่มงานเทศน์สอนควบคู่ไปกับการสอนกับงานบริหาร
นักบุญโบนิเฟซได้รับคำยืนยันว่า พระศาสนจักรประเทศอังกฤษจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ท่านทราบว่า พันธกิจของท่านจะต้องอยู่ในต่างแดนที่ความต้องการมากกว่า ทวีปยุโรปตอนเหนือกับทวีปยุโรปกลางส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในความมืดมิดของลัทธินอกรีต ในจังหวัดไฟรส์แลนด์ (Friesland) ซึ่งรวมถึงประเทศเนเธอร์แลนด์สมัยใหม่และดินแดนทางตะวันออก นักบุญวิลลิบรอด (Saint Willibrord) ธรรมทูต จากราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรีย (Northumbrian) พยายามนำพระวรสารไปสู่ประชาชนมาช้านาน นักบุญโบนิเฟซรู้สึกว่า ตนเองถูกเรียกให้มาที่ภูมิภาคนี้ เมื่อได้รับความยินยอมจากอธิการแล้ว ท่านและเพื่อนร่วมทางอีก 2 คนก็ออกเดินทางในฤดูใบไม้ผลิปีค.ศ. 716 หลังจากขึ้นบกที่เมืองดูเดอร์ชตัท (Doerstadt) ประเทศเยอรมนี ไม่นาน พวกเขาก็รู้ว่า “ดยุคราดโบลด์แห่งฟรีสแลนด์ (Duke Radbold of Friesland)” ผู้เป็นศัตรูของศาสนาคริสต์ กำลังทำสงครามกับชาร์ลส์ มาร์เทล ผู้เป็นดยุคแห่งแฟรงค์ (Charles Martel, The Frankish Duke) และนักบุญวิลลิบรอดจำเป็นต้องเกษียณที่อารามของเขาในเมืองเอ็กเทอร์นาค (Echternach) เมื่อตระหนักว่า เวลาดังกล่าวไม่เป็นใจ บรรดาธรรมทูตจึงกลับไปประเทศอังกฤษด้วยความรอบคอบในฤดูใบไม้ร่วง บรรดาฤาษีของนักบุญโบนิเฟซที่เบอร์สลิงพยายามที่จะให้ท่านอยู่ที่อารามนี้และต้องการเลือกให้ท่านเป็นอธิการ แต่ท่านไม่ยอมละทิ้งจุดมุ่งหมายของท่าน

นักบุญวิลลิบรอด (Saint Willibrord)
ความพยายามครั้งแรกนี้แสดงให้เห็นว่า ท่านต้องได้รับมอบหมายโดยตรงจากพระสันตะปาปาเพื่อให้ทำหน้าที่ธรรมทูตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในปีค.ศ. 718 ท่านจึงได้ไปแสดงตัวต่อนักบุญพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 2 (Saint Pope Gregory II) ในกรุงโรมพร้อมกับจดหมายแสดงความชื่นชมจากบิชอปแห่งวินเชสเตอร์ (Winchester) พระสันตะปาปาต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น ให้ท่านอยู่ที่กรุงโรมจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีถัดมา เมื่อสภาพการเดินทางเอื้ออำนวย จากนั้นจึงส่งท่านไปพร้อมกับมอบหมายทั่วไปเพื่อเผยแพร่พระวาจาของพระเจ้าแก่ผู้คนลัทธินอกรีต ในเวลานี้ ชื่อของ “วินฟริด (Winfrid)” ถูกเปลี่ยนเป็น “โบนิเฟซ (Saint Boniface)” (มาจากภาษาละติน “bonifatus” แปลว่า โชคดี) เมื่อข้ามเทือกเขาแอลป์ตอนล่าง ธรรมทูตได้เดินทางผ่านรัฐบาวาเรีย (Bavaria - Bayern) ไปยังรัฐเฮสส์ (Hesse - Hessen) ดยุคราดโบลด์เสียชีวิตแล้วและผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาเป็นมิตรมากกว่าเขา เมื่อเข้าสู่ฟรีสแลนด์ นักบุญโบนิเฟซทำงานหนักเป็นเวลา 3 ปีภายใต้การดูแลของนักบุญวิลลิบรอด คณะเบเนดิกติน (Benedictine - OSB) ซึ่งมีอายุมากแล้ว นักบุญโบนิเฟซปฏิเสธที่จะเป็นผู้ช่วยและสืบทอดตำแหน่งบิชอปแห่งเมืองอูเทรคท์ของนักบุญวิลลิบรอด โดยกล่าวว่า ตำแหน่งของท่านเป็นตำแหน่งทั่วไป "สำหรับลัทธินอกรีต" และท่านไม่สามารถถูกจำกัดให้อยู่ในสังฆมณฑลใดสังฆมณฑลหนึ่งได้ ปัจจุบัน แล้วท่านกลับไปทำงานที่รัฐเฮสส์

นักบุญพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 2 (Saint Pope Gregory II)
นักบุญโบนิเฟซไม่มีปัญหาในการทำให้ผู้อื่นเข้าใจท่านในฐานะนักเทศน์ เนื่องจากสำเนียงของชนเผ่าเยอรมันโบราณ (Teutonic) ต่างๆ คล้ายกับแองโกล-แซกซอน (Anglo-Saxon) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านมาก ท่านได้รับความสนใจจากหัวหน้าเผ่าที่มีอำนาจในท้องถิ่น 2 คน คือ “เดตทิก (Dettic)” กับ “เดอรัล์ฟ (Deorulf)” ซึ่งเคยรับศีลล้างบาปมาก่อน เนื่องจากขาดการสอนคำสอน พวกเขาจึงแทบไม่ต่างจากผู้นับถือลัทธินอกรีตเลย ตอนนี้พวกเขากลายเป็นคริสตชนที่เคร่งครัดและชักชวนคนอื่นๆมากมายให้รับศีลล้างบาป พวกเขายังมอบที่ดินให้นักบุญโบนิเฟซ ซึ่งต่อมาท่านได้ก่อตั้งอารามอาโมเนเบิร์ก (Monastery of Amoeneburg) นักบุญโบนิเฟซสามารถรายงานถึงความสำเร็จอันน่าทึ่งดังกล่าวได้ จนพระสันตะปาปาทรงเรียกท่านให้กลับไปโรมเพื่อทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นบิชอป
ในกรุงโรมในวันฉลองนักบุญอันดรูว์ อัครสาวก (Saint Andrew the Apostle) 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 722 พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 2 ทรงแต่งตั้งท่านเป็นบิชอปประจำแคว้นซึ่งมีอำนาจปกครอง "เผ่าต่างๆในประเทศเยอรมนีและทางตะวันออกของแม่น้ำไรน์ (Rhine River) ที่ใช้ชีวิตอย่างผิดพลาดภายใต้เงาแห่งความตาย" พระสันตะปาปาทรงมอบจดหมายถึงชาร์ลส์ มาร์เทล (Charles Martel) เมื่อนักบุญโบนิเฟซส่งมอบจดหมายดังกล่าวให้แก่ดยุคแห่งราชอาณาจักรแฟรงก์ (Frankish Duke) ระหว่างทางกลับประเทศเยอรมนี ท่านได้รับของขวัญล้ำค่าเป็นคำมั่นสัญญาที่ปิดผนึกไว้ว่า จะได้รับการปกป้องจากราชอาณาจักรแฟรงก์ นักบุญโบนิเฟซได้รับอำนาจจากทั้งพระศาสนจักรและอำนาจทางบ้านเมือง จึงทำให้ชื่อเสียงของนักบุญโบนิเฟซเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเดินทางกลับมายังรัฐเฮสส์ ท่านตัดสินใจที่จะพยายามกำจัดความเชื่อของลัทธินอกรีตที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของผู้กลับใจของท่านอย่างจริงจัง ในวันที่มีการประกาศต่อสาธารณชน และท่ามกลางฝูงชนที่หวาดกลัว นักบุญโบนิเฟซและผู้ติดตาม 1-2 คนได้โจมตีต้นโอ๊กศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าธอร์ด้วยขวาน ชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้รวมทั้งชนเผ่าดั้งเดิมอื่นๆอีกมากมายต่างก็บูชาต้นไม้ เทพเจ้าธอร์ ผู้เทพเจ้าสายฟ้า และเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญองค์หนึ่งของชนเผ่าเยอรมัน มีต้นโอ๊กโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขากูเดนเบิร์ก (Mountain Gudenberg) ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าเยอรมัน หลังจากถูกขวานตัดไป 2-3 ครั้ง ต้นโอ๊กโบราณขนาดใหญ่ก็หักโค่นลงสู่พื้นดินและแตกออกเป็น 4 ส่วน ชนเผ่าเยอรมันที่หวาดกลัวต่างคิดว่า ผู้โค่นต้นไม้จะต้องโดนเทพเจ้าลงโทษทันที แต่กลับพบว่า เทพเจ้าของพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะปกป้องแม้แต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้

นักบุญอันดรูว์ อัครสาวก (Saint Andrew the Apostle) วันฉลอง 30 พฤศจิกายน ของทุกปี

นักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface) ตัดสินใจที่จะพยายามกำจัดความเชื่อของลัทธินอกรีตที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของผู้กลับใจของท่านอย่างจริงจัง ในวันที่มีการประกาศต่อสาธารณชน และท่ามกลางฝูงชนที่หวาดกลัว นักบุญโบนิเฟซและผู้ติดตาม 1-2 คนได้โจมตีต้นโอ๊กศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าธอร์ด้วยขวาน ชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้รวมทั้งชนเผ่าดั้งเดิมอื่นๆอีกมากมายต่างก็บูชาต้นไม้ เทพเจ้าธอร์ ผู้เทพเจ้าสายฟ้า และเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญองค์หนึ่งของชนเผ่าเยอรมัน มีต้นโอ๊กโบราณที่ตั้งอยู่บนภูเขากูเดนเบิร์ก (Mountain Gudenberg) ถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับชนเผ่าเยอรมัน หลังจากถูกขวานตัดไป 2-3 ครั้ง ต้นโอ๊กโบราณขนาดใหญ่ก็หักโค่นลงสู่พื้นดินและแตกออกเป็น 4 ส่วน ชนเผ่าเยอรมันที่หวาดกลัวต่างคิดว่า ผู้โค่นต้นไม้จะต้องโดนเทพเจ้าลงโทษทันที แต่กลับพบว่า เทพเจ้าของพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะปกป้องแม้แต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้
นักบุญโบนิเฟซจึงสร้างวัดน้อยขึ้นเพื่อส่งสัญญาณแห่งชัยชนะ นับแต่นั้นเป็นต้นมา งานประกาศข่าวดีในรัฐเฮสส์ก็ดำเนินต่อไป
เมื่อเดินทางเข้าสู่รัฐทือริงเงิน (Thuringia) ทางตะวันออก นักบุญโบนิเฟซก็เดินหน้าทำต่อประกาศข่าวดีต่อไป ท่านพบบรรดาพระสงฆ์ชาวเคลต์ (Celtic) และไอริช (Irish) ที่ไร้ระเบียบไม่กี่คน หลายคนมีความเชื่อนอกรีต และบางคนก็ใช้ชีวิตอย่างผิดศีลธรรม นักบุญโบนิเฟซฟื้นฟูในหมู่คณะของพวกเขา แม้ว่าเป้าหมายหลักของท่าน คือ การชนะใจชนเผ่าที่นับถือลัทธินอกรีตก็ตาม ที่เมืองออร์ดรูฟ (Ohrdruf) ใกล้เมืองโกธา (Gotha) ท่านก่อตั้งอารามแห่งที่ 2 ซึ่งอุทิศให้กับนักบุญมีคาแอล (Saint Michael) เพื่อเป็นศูนย์กลางของธรรมทูต ทุกที่ผู้คนมากมายพร้อมรับฟังข่าวดี แต่กลับขาดแคลนบรรดาครูคำสอน นักบุญโบนิเฟซได้ยื่นเรื่องต่ออารามและคอนแวนต์ในประเทศอังกฤษ และพวกเขาก็ตอบสนองด้วยความจริงใจ จนเป็นเวลาหลายปีที่กลุ่มฤาษี ครูคำสอน และแม่ชีเดินทางมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของท่าน อาราม 2 แห่งที่สร้างแล้วได้รับการขยายและมีการก่อตั้งอารามใหม่ขึ้นอีก ในบรรดาธรรมทูตชาวอังกฤษชุดใหม่ ได้แก่ “ลูลลัส (Lullus)” ซึ่งจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากนักบุญโบนิเฟซที่นครไมนซ์ (Mainz) , “อีโอบัน (Eoban)” ผู้ร่วมเป็นมรณสักขีพร้อมท่านนักบุญ , “เบอร์ชาร์ด (Burchard)” และ “วิกเบิร์ต (Wigbert)” กับบรรดาแม่ชี ได้แก่ “เทคลา (Thecla)“ , ”ชูนิทรูด (Chunitrude)” และ “ลิโอบา (Lioba)” ผู้ลูกพี่ลูกน้องคนสวยและรอบรู้ของนักบุญโบนิเฟซ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคุณแม่อธิการแห่งบิชอฟไชม์ (Bischofsheim) และเป็นเพื่อนของฮิลเดการ์ด (Hildegarde) ผู้เป็นภรรยาของชาร์เลอมาญ (Charlemagne)
นักบุญพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 3 (Saint Pope Gregory III) ส่งปัลลิอุม (Pallium) ให้นักบุญโบนิเฟซในปีค.ศ. 731 โดยแต่งตั้งให้ท่านเป็นอาร์คบิชอปและเป็นบิชอปมหานครแห่งประเทศเยอรมนีเหนือแม่น้ำไรน์ โดยมีอำนาจในการก่อตั้งเขตบิชอปใหม่ ไม่กี่ปีต่อมา นักบุญโบนิเฟซเดินทางไปกรุงโรมเป็นครั้งที่ 3 เพื่อหารือเกี่ยวกับพระศาสนจักรที่ท่านก่อตั้ง และในเวลานี้ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้แทนของอัครสาวก ขณะแวะที่เนินเขามอนเต กัสซีโน (Monte Cassino) ท่านได้รวบรวมธรรมทูตเพิ่มเติม ในฐานะผู้แทน ท่านได้เดินทางไปยังรัฐบาวาเรียเพื่อจัดระเบียบพระศาสนจักรที่นั้นโดยแบ่งเป็นเขตบิชอป 4 เขต ได้แก่ เขตนครเรเกินส์บวร์ค (Regensburg) , เขตไฟรซิง (Freising) , เขตเมืองซัลทซ์บวร์ค (Salzburg) และ เขตเมืองพัสเซา (Passau) จากรัฐบาวาเรีย ท่านได้กลับไปยังพื้นที่ของตนเองและก่อตั้งเขตบิชอปใหม่ที่นครแอร์ฟวร์ท (Erfurt) ของรัฐทือริงเงิน / เนินเขาบือราบูร์ก (Büraburg) ของรัฐเฮสส์ / เมืองเวือทซ์บวร์ค (Wurzburg) ของอาณาจักรฟรังโกเนีย (Franconia) และ หมู่บ้านไอชสตัดท์ (Eichstädt) ของภูมิภาคนอร์ดเกา (Nordgau) ฤาษีชาวอังกฤษคนหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอธิการของแต่ละเขตบิชอปใหม่ ในปีค.ศ. 741 อารามคณะเบเนดิกตินที่ยิ่งใหญ่ที่เมืองฟุลดา (Fulda) ได้รับการก่อตั้งขึ้นในรัฐปรัสเซีย (Prussia) เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดของวัฒนธรรมวิถีชีวิตอารามประเทศเยอรมัน อธิการคนแรกของอารามแห่งนี้ คือ “สเตอร์ม (Sturm)“ หรือ ”สเตอร์มิโอ (Sturmio)“ ลูกศิษย์ชาวบาวาเรียของนักบุญโบนิเฟซ ในช่วงต้นยุคกลาง เมืองฟุลดาได้ผลิตบรรดานักวิชาการและครูจำนวนมาก และเป็นที่รู้จักในนามเนินเขามอนเต กัสซีโนแห่งเยอรมนี

นักบุญพระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 3 (Saint Pope Gregory III) ส่งปัลลิอุม (Pallium) ให้นักบุญโบนิเฟซในปีค.ศ. 731 โดยแต่งตั้งให้ท่านเป็นอาร์คบิชอปและเป็นบิชอปมหานครแห่งประเทศเยอรมนีเหนือแม่น้ำไรน์ โดยมีอำนาจในการก่อตั้งเขตบิชอปใหม่

ปัลลิอุม (Pallium)
ในขณะที่การประกาศข่าวดีในประเทศเยอรมนีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พระศาสนจักรในภูมิภาคกอล (Gaul) ภายใต้การปกครองของบรรดากษัตริย์ของราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง (Merovingian Kings) กำลังแตกสลาย ตำแหน่งทางพระศาสนจักรระดับสูงถูกปล่อยว่างไว้ ขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุด หรือมอบให้กับผู้ที่ไม่คู่ควร ความหลากหลายซึ่งดำรงตำแหน่งโดยบุคคลเดียวซึ่งแต่ละตำแหน่งต้องใช้เวลาทำงานเต็มที่ เป็นเรื่องปกติ พระสงฆ์จำนวนมากไม่รู้เรื่องและไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีการจัดประชุมสมัชชาหรือสภาพระศาสนจักรมาเป็นเวลา 84 ปีแล้ว “ชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel)” ได้ทำการพิชิตและรวบรวมภูมิภาคต่างๆของทวีปยุโรปตะวันตก และตอนนี้ถือว่า ตนเองเป็นพันธมิตรของพระสันตะปาปาและผู้นำสูงสุดของพระศาสนจักร แต่เขายังคงปล้นสะดมอย่างต่อเนื่องเพื่อหาเงินสำหรับสงครามของเขาและไม่ทำอะไรเลยเพื่อช่วยในการปฏิรูปพระศาสนจักร อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิตในปีค.ศ. 741 และการขึ้นครองราชย์ของลูกชายของเขา “คาร์โลแมน (Carloman)” กับ “เปแป็ง พระวรกายเตี้ย (Pepin the Short)” ได้เปิดโอกาสที่นักบุญโบนิเฟซคว้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว คาร์โลแมนผู้อาวุโส เป็นคนเคร่งศาสนามากและเคารพในตัวนักบุญโบนิเฟซมาก นักบุญโบนิเฟซไม่มีปัญหาในการโน้มน้าวให้เขาเรียกประชุมสมัชชาเพื่อจัดการกับความผิดพลาดและการละเมิดในพระศาสนจักรในอาณาจักรออสเตรเซีย (Austrasia) , อาณาจักรอาลามันเนีย (Alemannia) และรัฐทือริงเงิน

“ชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel)” ได้ทำการพิชิตและรวบรวมภูมิภาคต่างๆของทวีปยุโรปตะวันตก และตอนนี้ถือว่า ตนเองเป็นพันธมิตรของพระสันตะปาปาและผู้นำสูงสุดของพระศาสนจักร แต่เขายังคงปล้นสะดมอย่างต่อเนื่องเพื่อหาเงินสำหรับสงครามของเขาและไม่ทำอะไรเลยเพื่อช่วยในการปฏิรูปพระศาสนจักร อย่างไรก็ตาม เขาเสียชีวิตในปีค.ศ. 741

คาร์โลแมน (Carloman) ลูกชายของชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel) เมื่อขึ้นครองราชย์ เขาได้เปิดโอกาสที่นักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface) คว้าไว้ได้อย่างรวดเร็ว คาร์โลแมนผู้อาวุโส เป็นคนเคร่งศาสนามากและเคารพในตัวนักบุญโบนิเฟซมาก นักบุญโบนิเฟซไม่มีปัญหาในการโน้มน้าวให้เขาเรียกประชุมสมัชชาเพื่อจัดการกับความผิดพลาดและการละเมิดในพระศาสนจักรในอาณาจักรออสเตรเซีย (Austrasia) , อาณาจักรอาลามันเนีย (Alemannia) และรัฐทือริงเงิน
เมื่อคาร์โลแมนเกษียณอายุราชการแล้ว เขาก็เข้าอาราม

เปแป็ง พระวรกายเตี้ย (Pepin the Short) ลูกชายของชาร์ล มาร์แตล (Charles Martel) ผู้สืบทอดตำแหน่งซึ่งนำภูมิภาคกอล (Gaul) ทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การปกครองของเขาได้ให้การสนับสนุนนักบุญโบนิเฟซ (Saint Boniface) "หากไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากหัวหน้าเผ่าแฟรงค์" นักบุญโบนิเฟซเขียนในจดหมายถึงประเทศอังกฤษ "ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถปกครองประชาชนหรือใช้พระวินัยกับบรรดาพระสงฆ์และฤาษี หรือขัดขวางกิจการของลัทธินอกรีตได้" ในฐานะผู้สืบทอดอัครสาวก นักบุญโบนิเฟซได้สวมมงกุฎให้เปแป็ง พระวรกายเตี้ยที่ซัวซงในปีค.ศ. 751 ซึ่งเป็นการให้การรับรองจากพระสันตะปาปาต่อการขึ้นครองอำนาจของกษัตริย์โดยบิดาของชาร์เลอมาญ
การประชุมสมัชชาครั้งแรกตามมาด้วยการประชุมสมัชชาอื่นๆอีกหลายครั้ง นักบุญโบนิเฟซเป็นประธานในการประชุมสมัชชาทั้งหมด และสามารถดำเนินการปฏิรูปที่สำคัญหลายๆอย่างได้สำเร็จ เขตบิชอปและเขตวัดที่ว่างลงได้รับการเติมเต็ม พระวินัยได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ และความแข็งแกร่งในรูปแบบใหม่ก็ถูกเติมเข้าไปในพระศาสนจักรที่ราชอาณาจักรแฟรงก์
“อาดาลเบิร์ตแห่งนิวสเตรีย (Adalbert of Neustria)” ซึ่งเป็นหนึ่งในพวกนอกรีตที่ก่อความวุ่นวายมาอย่างมากมาย ถูกประณามโดยประชุมสมัชชาแห่งซอยซองส์ (Synod of Soissons) ในปีค.ศ. 744 ในปีค.ศ. 747 สภาแห่งราชอาณาจักรแฟรงก์อีกสภาหนึ่งได้ร่างคำปฏิญาณตนว่า ความศรัทธาและจงรักภักดี ซึ่งส่งไปยังกรุงโรมและวางบนพระแท่นในห้องใต้ดินของมหาวิหารนักบุญเปโตร (Basilica of Saint Peter) หลังจากทำงานอย่างหนักเป็นเวลา 5 ปี นักบุญโบนิเฟซก็สามารถฟื้นฟูพระศาสนจักรของภูมิภาคกอลให้กลับมายิ่งใหญ่ได้สำเร็จ
นักบุญโบนิเฟซต้องการให้สหราชอาณาจักร (Britain) มีส่วนร่วมในการปฏิรูปนี้ด้วย ตามคำขอของท่านและของนักบุญพระสันตะปาปาซาคารี (Saint Pope Zachary) อาร์คบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี (Archbishop of Canterbury) ได้จัดการประชุมสภาที่โคเวิสโช (Clovesho) ในปีค.ศ. 747 ซึ่งได้ผ่านมติหลายฉบับที่ผ่านในภูมิภาคกอล นี่เป็นปีเดียวกับที่นักบุญโบนิเฟซได้รับการปกครองนครหลวง ในตอนแรกเมืองโคโลญ (Cologne) ได้รับการเสนอให้เป็นเมืองที่ตั้งอาสนวิหารของท่าน แต่สุดท้ายก็ได้รับเลือกให้ตั้งที่เมืองไมนซ์ (Mainz) แม้ว่าเมืองโคโลญและเมืองอื่นๆจะกลายเขตการปกครองอาร์คบิชอป แต่เมืองไมนซ์ก็ยังคงรักษาสถานะความเป็นเอกราชเอาไว้ได้ พระสันตะปาปายังแต่งตั้งให้นักบุญโบนิเฟซเป็นประมุขของเยอรมนี รวมถึงผู้แทนพระสันตะปาปาสำหรับทั้งในประเทศเยอรมนีและภูมิภาคกอลอีกด้วย

นักบุญพระสันตะปาปาซาคารี (Saint Pope Zachary)
คาร์โลแมนเกษียณอายุราชการแล้วเข้าอาราม แต่เปแป็ง พระวรกายเตี้ยผู้สืบทอดตำแหน่งซึ่งนำภูมิภาคกอลทั้งหมดมาอยู่ภายใต้การปกครองของเขาได้ให้การสนับสนุนนักบุญโบนิเฟซ "หากไม่ได้รับการอุปถัมภ์จากหัวหน้าเผ่าแฟรงค์" นักบุญโบนิเฟซเขียนในจดหมายถึงประเทศอังกฤษ "ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถปกครองประชาชนหรือใช้พระวินัยกับบรรดาพระสงฆ์และฤาษี หรือขัดขวางกิจการของลัทธินอกรีตได้" ในฐานะผู้สืบทอดอัครสาวก นักบุญโบนิเฟซได้สวมมงกุฎให้เปแป็ง พระวรกายเตี้ยที่ซัวซงในปีค.ศ. 751 ซึ่งเป็นการให้การรับรองจากพระสันตะปาปาต่อการขึ้นครองอำนาจของกษัตริย์โดยบิดาของชาร์เลอมาญ นักบุญโบนิเฟซเริ่มรู้สึกถึงความหนักอึ้งของชีวิตและแต่งตั้งให้ “ลูลุส (Lullus)” เป็นผู้ช่วยของท่าน ถึงกระนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านจะอายุมากกว่า 70 ปีแล้ว แต่ความกระตือรือร้นในการประกาศข่าวดีของท่านก็ยังคงร้อนแรง ท่านปรารถนาที่จะใช้ช่วงปีสุดท้ายของท่านในการทำงานหนักท่ามกลางผู้กลับใจกลุ่มแรกในจังหวัดไฟรส์แลนด์ ซึ่งหลังจากนักบุญวิลลิบรอดเสียชีวิต ผู้กลับใจกลุ่มแรกก็หวนกลับไปนับถือลัทธินอกรีตอีกครั้ง พวกเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เพื่อลูลุสซึ่งจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากท่าน เขาจึงออกเดินทางพร้อมเพื่อนอีกประมาณ 50 คนและล่องเรือไปตามแม่น้ำไรน์ ที่เมืองอูเทรคต์ (Utrecht) คณะเดินทางได้เข้าร่วมกับ “อีโอบัน” ผู้เป็นบิชอปของสังฆมณฑลนั้น พวกเขาเริ่มดำเนินการเพื่อนำคริสตชนที่กลับใจคืนมา และในช่วงหลายเดือนต่อมา ก็ได้ติดต่อกับชนเผ่าที่ยังไม่เคยพบเจอทางตะวันออกเฉียงเหนืออย่างประสบผลสำเร็จ นักบุญโบนิเฟซได้จัดเตรียมทำพิธีศีลกำลังที่ยิ่งใหญ่ในคืนวันวิตซันอีฟ (Whitsun Eve) บนที่ราบของเมืองดอกคุม (Dokkum) ใกล้กับริมฝั่งแม่น้ำสายเล็กชื่อ บอร์เนอัน (Borne)
ในขณะที่รอการมาถึงของผู้กลับใจ นักบุญโบนิเฟซก็อ่านหนังสือเงียบๆอยู่ในเต็นท์ของท่าน
ทันใดนั้น กลุ่มคนลัทธินอกรีตติดอาวุธก็ปรากฏตัวขึ้นที่ใจกลางค่าย บรรดาเพื่อนของท่านพยายามปกป้องผู้นำของตน แต่นักบุญโบนิเฟซไม่ยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้น แม้ว่านักบุญโบนิเฟซจะบอกให้พวกเขาวางใจในพระเจ้าและยอมรับโอกาสที่จะได้ตายเพื่อพระองค์ แต่พวกเยอรมันก็โจมตี นักบุญโบนิเฟซเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่เสียชีวิต บรรดาเพื่อนของเขาต้องประสบเช่นเดียวกับท่าน กลุ่มคนลัทธินอกรีตที่คาดว่าจะนำสมบัติล้ำค่าไปกลับรู้สึกขยะแขยงเมื่อพบว่า นอกจากเสบียงแล้ว ยังมีเพียงกล่องใส่พระธาตุและหนังสือ 2-3 เล่มเท่านั้น พวกเขาไม่ได้สนใจที่จะนำสิ่งของเหล่านี้ไป ซึ่งต่อมาบรรดาคริสตชนที่เข้ามาล้างแค้นให้บรรดามรณสักขี และกู้ร่างของพวกท่าน ร่างของนักบุญโบนิเฟซถูกนำไปฝังที่เมืองฟุลดา และยังคงอยู่ที่นั่น หนังสือที่บิชอปกำลังอ่านอยู่ ซึ่งกล่าวกันว่า ท่านได้ยกขึ้นเหนือศีรษะเพื่อเก็บรักษาไว้เมื่อเกิดการโจมตี ก็เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งของเมืองฟุลดาเช่นกัน
นักบุญโบนิเฟซได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้แทนของพระสันตะปาปา อัจฉริยภาพด้านการบริหารและการจัดการของท่านได้ฝากรอยประทับไว้ในพระศาสนจักรประเทศเยอรมนีตลอดช่วงยุคกลาง
แม้ว่านักบุญโบนิเฟซจะเป็นคนชอบลงมือทำ แต่ผลงานทางวรรณกรรมของท่านยังคงมีอยู่มากมาย
สิ่งที่น่าสนใจและสำคัญเป็นพิเศษจากมุมมองของหลักคำสอนและประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรก็คือ จดหมายของเขา ในบรรดาสัญลักษณ์ของนักบุญโบนิเฟซ คือ ต้นโอ๊ก , ขวาน , ดาบ และหนังสือ
ปล. หากมีการแปลผิดพลาดประการใด หรือข้อมูลผิดพลาด แอดมินก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ttb)
235-2-54394-2
#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #ชีวประวัติ #นักบุญ #ประวัติศาสตร์ #นักบุญโบนิเฟซ #มรณสักขี #อัครสาวก #คณะเบเนดิกติน #เบเนดิกติน #มรณสักขี #ประเทศเยอรมนี #เยอรมนี #เยอรมัน #ประกาศข่าวดี #ประกาศข่าวประเสริฐ #แพร่ธรรม #ธรรมทูต #มิชชันนารี #ประวัติศาสตร์ #catholic #SaintBoniface #benedictine #OSB #martyr #germany #missionary
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/1BGxZbd4X9/