คำสอนเรื่องการถูกรับขึ้นไป (Rapture) ควรจะถูก ‘ไม่ถูกรับขึ้นไป (Left Behind)’
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 09, 2025 2:29 pm
ได้มีคำสอนเรื่อง "การถูกรับขึ้นไป (Rapture)" ที่ผิดพลาดบางส่วน ซึ่งได้แพร่ระบาดไปทั่วศาสนาคริสต์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยสังเกตว่าแม้ว่าคริสตชนคาทอลิกจะเชื่อใน "การถูกรับขึ้นไป" หรือการรับสัตบุรุษเข้าสู่สวรรค์ (1 เธสะโลนิกา 4:13-17) แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายในช่วงยุคสุดท้าย ไม่ใช่เสด็จกลับมาก่อนหน้านั้น
+ พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องผู้ล่วงหลับคือผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง เราเชื่อว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำบรรดาผู้ที่หลับอยู่มากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผู้ยังมีชีวิตและรออยู่จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าทูตสวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป - 1 เธสะโลนิกา 4:13-17 ผู้ตายและผู้มีชีวิตขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการถูกรับขึ้นไป ยืนยันว่า การถูกรับขึ้นไปจะเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ โดยพระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้งอย่างลับๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ เพื่อเริ่มการถูกรับขึ้นไปนี้ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก่อนการเบียดเบียนคริสตชนครั้งใหญ่ตามที่พยากรณ์ไว้ใน วิวรณ์ 7:9-13 กับ มาระโก 13:24 ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่า “การทนทุกข์ (Tribulation)” (ดู ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 669-682)
+ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเรา ผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” ทูตสวรรค์ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบพระบัลลังก์ รอบผู้อาวุโส และรอบผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน ต่างกราบลงหน้าพระบัลลังก์ ศีรษะจรดพื้น นมัสการพระเจ้าว่า อาเมน คำถวายพระพร พระสิริรุ่งโรจน์ พระปรีชาญาณ คำขอบพระคุณ พระเกียรติยศ พระอานุภาพและพระพลานุภาพ เป็นของพระเจ้าของเราตลอดนิรันดร อาเมน ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “คนที่สวมเสื้อขาวเหล่านี้เป็นใคร และมาจากไหน” - วิวรณ์ 7:9-13 รางวัลของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
+ ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง - มาระโก 13:24 การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
คำว่า “การถูกรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์ (Pretribulational Rapture)” โดยพวกที่เชื่อการถูกรับขึ้นไป จุดประสงค์ของการถูกรับขึ้นไป คือ การช่วยเหลือคริสตชนให้พ้นจากโลกนี้ก่อนที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับการทนทุกข์แสนสาหัส , ความยากลำบาก และแม้กระทั่งความตายที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการทนทุกข์นี้ ผู้ที่ไม่เชื่อในความเชื่อใหม่ของผู้เชื่อในเรื่องการถูกรับขึ้นไป จะถูก “ทิ้งไว้ข้างหลัง” รวมถึงคริสตชนคาทอลิกด้วย
แต่ไม่มีพระคัมภีร์แม้แต่คำเดียวที่ยืนยันการถูกรับขึ้นไปก่อนเกิดการทนทุกข์เช่นนี้ ในทางกลับกัน มีหลายข้อที่สอนอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นั่นคือ การทนทุกข์จะมาถึงก่อน ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาหาสัตบุรุษที่ถูกถูกรับขึ้นไปในวาระสุดยุคสุดท้าย และคริสตชนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้จะได้ประสบกับการทนทุกข์นี้จริงๆ (ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 675-676)
ตัวอย่างเช่น ใน มาระโก 13:24-27 พระเยซูทรงสอนว่า “ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว … ประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา … ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรร … จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า”
+ “ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า” - มาระโก 13:24-27 การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
ในทำนองเดียวกัน วิวรณ์ 7:9-13 กล่าวถึง “ประชาชนมากมายเหลือคณานับ … ยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์ … พระพักตร์ลูกแกะ … สวมเสื้อขาว” พวกเราพบว่า คนเหล่านี้ “มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขา … ในพระโลหิตของลูกแกะ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาได้ประสบกับความทุกข์ยากก่อน และบัดนี้อยู่ในสวรรค์ ดังนั้นความทุกข์ยากจึงต้องเกิดขึ้นก่อนการรับขึ้นไป
+ ข้าพเจ้าตอบว่า “นายขอรับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูกแกะ - วิวรณ์ 7:14 รางวัลของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
สุดท้าย 2 เธสะโลนิกา 2:1-12 กล่าวว่า “เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา … อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านในทางใดทางหนึ่งเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่การกบฏ (การทนทุกข์) จะมาก่อน และมนุษย์แห่งความชั่วร้าย (ผู้ต่อต้านพระคริสต์ - Antichrist) จะถูกเปิดเผย”
+ พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเรื่องการชุมนุมของเราเพื่อพบกับพระองค์นั้น เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวั่นไหวหรือตกใจไม่ว่าเพราะคำพยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะคำพูด หรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ประหนึ่งว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอกลวงท่านโดยวิธีใดเลย
วันนั้นจะยังมาไม่ถึง จนกว่าจะเกิดการกบฏ และมนุษย์ชั่วร้ายจะปรากฏตัวมารับความพินาศ มนุษย์ชั่วร้ายผู้นี้จะยกย่องตนเองและต่อต้านทุกสิ่งที่มนุษย์นมัสการและเรียกเป็นพระเจ้า เพื่อตนจะได้นั่งในพระวิหารของพระเจ้าและชี้ให้เห็นว่าตนคือพระเจ้า ท่านจำได้หรือไม่ว่า ข้าพเจ้าเคยบอกเรื่องเหล่านี้ให้ฟังแล้วเมื่ออยู่กับท่าน และบัดนี้ท่านก็รู้ว่าอะไรขัดขวางมนุษย์ชั่วร้ายนี้ไว้จนกว่าเขาจะปรากฏตัวตามเวลาที่กำหนด ความชั่วร้ายกำลังทำงานอยู่แล้วอย่างซ่อนเร้น และจะปรากฏชัดแจ้งก็ต่อเมื่อผู้ขัดขวางถูกขจัดออกไป แล้วมนุษย์ชั่วร้ายนั้นก็จะปรากฏอย่างเปิดเผย และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายเขาด้วยลมจากพระโอษฐ์ และจะทรงบดขยี้เขาให้สูญไปเดชะการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระองค์
การมาของมนุษย์ชั่วร้ายจะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของซาตานที่แสดงออกเป็นการอัศจรรย์ เป็นเครื่องหมาย และเป็นปาฏิหาริย์อันหลอกลวงชนิดต่างๆ มนุษย์ชั่วร้ายนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วช้าทุกอย่างทำร้ายผู้ที่จะต้องพินาศ เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่รักความจริงที่ทำให้รอดพ้น พระเจ้าจึงทรงส่งพลังความหลงผิดมาให้ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อความเท็จ ดังนั้น ทุกคนที่ไม่ยอมเชื่อความจริง แต่พึงพอใจความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ - 2 เธสะโลนิกา 2:1-12 เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมา
นี้คือ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ ที่ปลดปล่อย “การกบฏ (Rebellion)” นี้ และการเบียดเบียนอันเป็นผลพวงจากการทนทุกข์ ดังนั้น นักบุญเปาโลจึงย้ำอีกครั้งว่า การทนทุกข์จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระเยซู และการที่สัตบุรุษทุกคนจะถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ในยุคสุดท้าย
ข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่มักใช้เพื่อพยายามพิสูจน์การถูกรับขึ้นไปอย่างลับๆ ในช่วงประวัติศาสตร์นี้ ได้แก่ 1 เธสะโลนิกา 4:13-17 : “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ … เสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”
ในทำนองเดียวกัน ยอห์น 14:3 มักถูกอ้างถึงว่า “และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย”
+ และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย - ยอห์น 14:3
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ ทั้ง 2 ข้อนำเสนอคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับการถูกรับขึ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ได้พูดถึงการถูกรับขึ้นไปอย่างลับๆ ก่อนเกิดการทนทุกข์ ในช่วงประวัติศาสตร์ การปกครองหนึ่งพันปีของพระเยซู หรือความแปลกใหม่ทางคำสอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ "แนวคิดการถูกรับขึ้นไป" เลย
1 โครินธ์ 15:51-55 เป็นอีกหนึ่งข้อพระคัมภีร์ที่ได้รับความนิยมเกี่ยวกับ “การถูกรับขึ้นไป” ที่ว่า “เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และร่างกายที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย ... ‘ความตายถูกชัยชนะกลืน’”
+ โปรดฟังเถิด ข้าพเจ้ามีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งจะบอกท่าน เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และร่างกายที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย
เมื่อร่างกายที่เน่าเปื่อยนี้จะสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และเมื่อร่างกายที่ต้องตายนี้จะสวมใส่ความไม่รู้จักตายแล้ว ก็จะเป็นจริงตามคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ความตายถูกชัยชนะกลืน ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน ความตายเอ๋ย พิษของเจ้าอยู่ไหน” - 1 โครินธ์ 15:51-55 สภาพร่างกายของผู้กลับคืนชีพ / บทเพลงฉลองชัย
แต่ข้อนี้ก็ไม่ได้พูดถึงคำสอนดั้งเดิมของคริสตชนเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายของพระเยซูเลย อันที่จริงแล้ว ข้อนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับพวกที่เชื่อในการถูกรับขึ้นไป เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน “เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย” (1 โครินธ์ 15:52) ข้อนี้ไม่ได้พูดถึงการเสด็จมาอย่างลับๆของพระเยซูในช่วงกลางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ ณ ยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์
+ ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง - 1 โครินธ์ 15:52 สภาพร่างกายของผู้กลับคืนชีพ
นอกจากนี้ ข้อนี้ยังระบุว่า ความตายจะถูก “ชัยชนะกลืน” ณ จุดนี้ ความตายจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงก็ต่อเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาและพิพากษาครั้งสุดท้ายเท่านั้น ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น ดังนั้น อีกครั้ง นี่ไม่สามารถพูดถึงการถูกรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์ในช่วงกลางประวัติศาสตร์อย่างที่พวกที่เชื่อในการถูกรับขึ้นไปอ้างได้
สุดท้ายนี้ ลองพิจารณา มัทธิว 24:38-42 พระเยซูทรงไตร่ตรองถึงการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย … คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร”
+ ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึกระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร - มัทธิว 24:38-42 จงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อม
เมื่อมองแบบผิวเผิน ดูเหมือนว่า นี่จะสนับสนุนการถูกรับขึ้นไปก่อนช่วงการทนทุกข์ โดยมีผู้คนที่ “ไม่ถูกรับขึ้นไป” แต่ในข้อพระคัมภีร์คู่ขนานใน ลูกา 17:34-37 บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูว่า คนที่ “ถูกรับไป” จะถูกรับไป “ที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”
+ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน” - ลูกา 17:34-37 วันของบุตรแห่งมนุษย์
ซากศพที่มีบรรดาแร้ง? นั่นไม่ใช่สวรรค์นะ
ท้ายที่สุดแล้ว คำสอนที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์และมักขัดต่อหลักคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับการถูกรับขึ้นไปควรจะถูกไม่ถูกรับขึ้นไป
ปล. หากมีการแปลผิดพลาดประการใด หรือข้อมูลผิดพลาด แอดมินก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #นิกายคาทอลิก #พระศาสนจักรคาทอลิก #พระศาสนจักร #การถูกรับขึ้นไป #ไม่ถูกรับขึ้นไป #ผู้ต่อต้านพระคริสต์ #การทนทุกข์ #การเบียดเบียนคริสตชน #กลียุค #ยุคพันปี #ยุคสุดท้าย #คริสตชน #คริสตัง #คริสเตียน #พระเยซู #พระอาณาจักร #พระเจ้า #พระคัมภีร์ #catholic #rapture #LeftBehind #antichrist #tribulation
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/1BX1p6 ... tid=wwXIfr
+ พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องผู้ล่วงหลับคือผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง เราเชื่อว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำบรรดาผู้ที่หลับอยู่มากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผู้ยังมีชีวิตและรออยู่จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าทูตสวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป - 1 เธสะโลนิกา 4:13-17 ผู้ตายและผู้มีชีวิตขณะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา
อย่างไรก็ตาม แนวคิดการถูกรับขึ้นไป ยืนยันว่า การถูกรับขึ้นไปจะเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ โดยพระเยซูจะเสด็จกลับมายังโลกอีกครั้งอย่างลับๆ ซึ่งไม่เป็นไปตามพระคัมภีร์ เพื่อเริ่มการถูกรับขึ้นไปนี้ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นก่อนการเบียดเบียนคริสตชนครั้งใหญ่ตามที่พยากรณ์ไว้ใน วิวรณ์ 7:9-13 กับ มาระโก 13:24 ซึ่งในพระคัมภีร์เรียกว่า “การทนทุกข์ (Tribulation)” (ดู ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 669-682)
+ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุกเผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา กำลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของพระเจ้าของเรา ผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” ทูตสวรรค์ทั้งหลายที่ยืนอยู่รอบพระบัลลังก์ รอบผู้อาวุโส และรอบผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน ต่างกราบลงหน้าพระบัลลังก์ ศีรษะจรดพื้น นมัสการพระเจ้าว่า อาเมน คำถวายพระพร พระสิริรุ่งโรจน์ พระปรีชาญาณ คำขอบพระคุณ พระเกียรติยศ พระอานุภาพและพระพลานุภาพ เป็นของพระเจ้าของเราตลอดนิรันดร อาเมน ผู้อาวุโสคนหนึ่งถามข้าพเจ้าว่า “คนที่สวมเสื้อขาวเหล่านี้เป็นใคร และมาจากไหน” - วิวรณ์ 7:9-13 รางวัลของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
+ ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง - มาระโก 13:24 การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
คำว่า “การถูกรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์ (Pretribulational Rapture)” โดยพวกที่เชื่อการถูกรับขึ้นไป จุดประสงค์ของการถูกรับขึ้นไป คือ การช่วยเหลือคริสตชนให้พ้นจากโลกนี้ก่อนที่พวกเขาจะต้องเผชิญกับการทนทุกข์แสนสาหัส , ความยากลำบาก และแม้กระทั่งความตายที่จะเกิดขึ้นพร้อมกับการทนทุกข์นี้ ผู้ที่ไม่เชื่อในความเชื่อใหม่ของผู้เชื่อในเรื่องการถูกรับขึ้นไป จะถูก “ทิ้งไว้ข้างหลัง” รวมถึงคริสตชนคาทอลิกด้วย
แต่ไม่มีพระคัมภีร์แม้แต่คำเดียวที่ยืนยันการถูกรับขึ้นไปก่อนเกิดการทนทุกข์เช่นนี้ ในทางกลับกัน มีหลายข้อที่สอนอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง นั่นคือ การทนทุกข์จะมาถึงก่อน ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาหาสัตบุรุษที่ถูกถูกรับขึ้นไปในวาระสุดยุคสุดท้าย และคริสตชนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานี้จะได้ประสบกับการทนทุกข์นี้จริงๆ (ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก ข้อ 675-676)
ตัวอย่างเช่น ใน มาระโก 13:24-27 พระเยซูทรงสอนว่า “ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว … ประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา … ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรร … จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า”
+ “ในวันเหล่านั้นเมื่อทุกขเวทนาผ่านไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เมื่อนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อนั้น พระองค์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า” - มาระโก 13:24-27 การเสด็จมาของบุตรแห่งมนุษย์
ในทำนองเดียวกัน วิวรณ์ 7:9-13 กล่าวถึง “ประชาชนมากมายเหลือคณานับ … ยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์ … พระพักตร์ลูกแกะ … สวมเสื้อขาว” พวกเราพบว่า คนเหล่านี้ “มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขา … ในพระโลหิตของลูกแกะ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกเขาได้ประสบกับความทุกข์ยากก่อน และบัดนี้อยู่ในสวรรค์ ดังนั้นความทุกข์ยากจึงต้องเกิดขึ้นก่อนการรับขึ้นไป
+ ข้าพเจ้าตอบว่า “นายขอรับ ท่านก็รู้อยู่แล้ว” เขาจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้คือผู้ที่มาจากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูกแกะ - วิวรณ์ 7:14 รางวัลของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
สุดท้าย 2 เธสะโลนิกา 2:1-12 กล่าวว่า “เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา … อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านในทางใดทางหนึ่งเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่การกบฏ (การทนทุกข์) จะมาก่อน และมนุษย์แห่งความชั่วร้าย (ผู้ต่อต้านพระคริสต์ - Antichrist) จะถูกเปิดเผย”
+ พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเรื่องการชุมนุมของเราเพื่อพบกับพระองค์นั้น เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวั่นไหวหรือตกใจไม่ว่าเพราะคำพยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะคำพูด หรือจดหมายที่อ้างว่ามาจากเรา ประหนึ่งว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอกลวงท่านโดยวิธีใดเลย
วันนั้นจะยังมาไม่ถึง จนกว่าจะเกิดการกบฏ และมนุษย์ชั่วร้ายจะปรากฏตัวมารับความพินาศ มนุษย์ชั่วร้ายผู้นี้จะยกย่องตนเองและต่อต้านทุกสิ่งที่มนุษย์นมัสการและเรียกเป็นพระเจ้า เพื่อตนจะได้นั่งในพระวิหารของพระเจ้าและชี้ให้เห็นว่าตนคือพระเจ้า ท่านจำได้หรือไม่ว่า ข้าพเจ้าเคยบอกเรื่องเหล่านี้ให้ฟังแล้วเมื่ออยู่กับท่าน และบัดนี้ท่านก็รู้ว่าอะไรขัดขวางมนุษย์ชั่วร้ายนี้ไว้จนกว่าเขาจะปรากฏตัวตามเวลาที่กำหนด ความชั่วร้ายกำลังทำงานอยู่แล้วอย่างซ่อนเร้น และจะปรากฏชัดแจ้งก็ต่อเมื่อผู้ขัดขวางถูกขจัดออกไป แล้วมนุษย์ชั่วร้ายนั้นก็จะปรากฏอย่างเปิดเผย และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายเขาด้วยลมจากพระโอษฐ์ และจะทรงบดขยี้เขาให้สูญไปเดชะการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระองค์
การมาของมนุษย์ชั่วร้ายจะเกิดขึ้นด้วยฤทธิ์อำนาจของซาตานที่แสดงออกเป็นการอัศจรรย์ เป็นเครื่องหมาย และเป็นปาฏิหาริย์อันหลอกลวงชนิดต่างๆ มนุษย์ชั่วร้ายนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมชั่วช้าทุกอย่างทำร้ายผู้ที่จะต้องพินาศ เพราะพวกเขาปฏิเสธไม่รักความจริงที่ทำให้รอดพ้น พระเจ้าจึงทรงส่งพลังความหลงผิดมาให้ เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อความเท็จ ดังนั้น ทุกคนที่ไม่ยอมเชื่อความจริง แต่พึงพอใจความชั่วร้ายจะถูกตัดสินลงโทษ - 2 เธสะโลนิกา 2:1-12 เหตุการณ์ที่จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จมา
นี้คือ ผู้ต่อต้านพระคริสต์ ที่ปลดปล่อย “การกบฏ (Rebellion)” นี้ และการเบียดเบียนอันเป็นผลพวงจากการทนทุกข์ ดังนั้น นักบุญเปาโลจึงย้ำอีกครั้งว่า การทนทุกข์จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระเยซู และการที่สัตบุรุษทุกคนจะถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ในยุคสุดท้าย
ข้อพระคัมภีร์หลายข้อที่มักใช้เพื่อพยายามพิสูจน์การถูกรับขึ้นไปอย่างลับๆ ในช่วงประวัติศาสตร์นี้ ได้แก่ 1 เธสะโลนิกา 4:13-17 : “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ … เสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้า เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”
ในทำนองเดียวกัน ยอห์น 14:3 มักถูกอ้างถึงว่า “และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย”
+ และเมื่อเราไป และเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย - ยอห์น 14:3
แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้ ทั้ง 2 ข้อนำเสนอคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับการถูกรับขึ้นไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ได้พูดถึงการถูกรับขึ้นไปอย่างลับๆ ก่อนเกิดการทนทุกข์ ในช่วงประวัติศาสตร์ การปกครองหนึ่งพันปีของพระเยซู หรือความแปลกใหม่ทางคำสอนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ "แนวคิดการถูกรับขึ้นไป" เลย
1 โครินธ์ 15:51-55 เป็นอีกหนึ่งข้อพระคัมภีร์ที่ได้รับความนิยมเกี่ยวกับ “การถูกรับขึ้นไป” ที่ว่า “เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และร่างกายที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย ... ‘ความตายถูกชัยชนะกลืน’”
+ โปรดฟังเถิด ข้าพเจ้ามีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งจะบอกท่าน เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะร่างกายที่เน่าเปื่อยได้นี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และร่างกายที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย
เมื่อร่างกายที่เน่าเปื่อยนี้จะสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และเมื่อร่างกายที่ต้องตายนี้จะสวมใส่ความไม่รู้จักตายแล้ว ก็จะเป็นจริงตามคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ความตายถูกชัยชนะกลืน ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน ความตายเอ๋ย พิษของเจ้าอยู่ไหน” - 1 โครินธ์ 15:51-55 สภาพร่างกายของผู้กลับคืนชีพ / บทเพลงฉลองชัย
แต่ข้อนี้ก็ไม่ได้พูดถึงคำสอนดั้งเดิมของคริสตชนเกี่ยวกับการเสด็จกลับมาครั้งสุดท้ายของพระเยซูเลย อันที่จริงแล้ว ข้อนี้ค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับพวกที่เชื่อในการถูกรับขึ้นไป เพราะทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน “เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย” (1 โครินธ์ 15:52) ข้อนี้ไม่ได้พูดถึงการเสด็จมาอย่างลับๆของพระเยซูในช่วงกลางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ ณ ยุคสุดท้ายของประวัติศาสตร์
+ ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง - 1 โครินธ์ 15:52 สภาพร่างกายของผู้กลับคืนชีพ
นอกจากนี้ ข้อนี้ยังระบุว่า ความตายจะถูก “ชัยชนะกลืน” ณ จุดนี้ ความตายจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงก็ต่อเมื่อพระเยซูเสด็จกลับมาและพิพากษาครั้งสุดท้ายเท่านั้น ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น ดังนั้น อีกครั้ง นี่ไม่สามารถพูดถึงการถูกรับขึ้นไปก่อนการทนทุกข์ในช่วงกลางประวัติศาสตร์อย่างที่พวกที่เชื่อในการถูกรับขึ้นไปอ้างได้
สุดท้ายนี้ ลองพิจารณา มัทธิว 24:38-42 พระเยซูทรงไตร่ตรองถึงการเสด็จมาครั้งสุดท้ายของพระองค์ว่า “เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย … คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร”
+ ในสมัยก่อนน้ำวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึกระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งน้ำวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร - มัทธิว 24:38-42 จงมีความระมัดระวังและเตรียมพร้อม
เมื่อมองแบบผิวเผิน ดูเหมือนว่า นี่จะสนับสนุนการถูกรับขึ้นไปก่อนช่วงการทนทุกข์ โดยมีผู้คนที่ “ไม่ถูกรับขึ้นไป” แต่ในข้อพระคัมภีร์คู่ขนานใน ลูกา 17:34-37 บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูว่า คนที่ “ถูกรับไป” จะถูกรับไป “ที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน”
+ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่กำลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูลถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน” - ลูกา 17:34-37 วันของบุตรแห่งมนุษย์
ซากศพที่มีบรรดาแร้ง? นั่นไม่ใช่สวรรค์นะ
ท้ายที่สุดแล้ว คำสอนที่ไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์และมักขัดต่อหลักคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับการถูกรับขึ้นไปควรจะถูกไม่ถูกรับขึ้นไป
ปล. หากมีการแปลผิดพลาดประการใด หรือข้อมูลผิดพลาด แอดมินก็ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#คริสต์ #คาทอลิก #คริสต์ศรัทธา #นิกายคาทอลิก #พระศาสนจักรคาทอลิก #พระศาสนจักร #การถูกรับขึ้นไป #ไม่ถูกรับขึ้นไป #ผู้ต่อต้านพระคริสต์ #การทนทุกข์ #การเบียดเบียนคริสตชน #กลียุค #ยุคพันปี #ยุคสุดท้าย #คริสตชน #คริสตัง #คริสเตียน #พระเยซู #พระอาณาจักร #พระเจ้า #พระคัมภีร์ #catholic #rapture #LeftBehind #antichrist #tribulation
CR. : คริสต์ศรัทธา
https://www.facebook.com/share/p/1BX1p6 ... tid=wwXIfr