สาระสำคัญ : การอ่านพระวาจาและภาวนา (Lectio Divina) จะนำพระศาสนจักรสู่การฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิต
วันที่ 14-18 กันยายน 2005 มีการประชุมนานาชาติที่กรุงโรม โดยผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์กว่า 400 คนซึ่งรวมถึง พระสังฆราชถึง 100 องค์ เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปี พระสังฆธรรมนูญเรื่องการเผยความจริงของพระเจ้า (Dei Verbum)
พระสังฆธรรมนูญเรื่องการเผยความจริงของพระเจ้า (Dei Verbum) ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาทรงทราบและเกี่ยวข้อง เมื่อ 40 ปีก่อน ขณะที่ยังทรงเป็นนักเทววิทยารุ่นหนุ่มพระองค์ประทับใจประโยคที่ว่า"พระศาสนจักรฟังพระวาจาของพระเจ้าด้วยความเคารพศรัทธา และประกาศด้วยความเชื่อ" (DV 1 ด้วยถ้อยคำนี้ พระสังคายนาได้เน้นหน้าที่หนึ่งของพระศาสนจักรที่สำคัญคือ พระศาสนจักรคือหมู่คณะที่ฟัง และประกาศพระวาจาของพระเจ้า
พระศาสนจักรไม่ได้อยู่ได้ด้วยตนเองแต่มีชีวิตอยู่ด้วยพระวรสาร และพระวรสารนี้คือบ่อเกิดและทิศทางที่ใหม่เสมอของพระศาสนจักรในขณะที่เดินทางในทุกยุคสมัย และประเด็นนี้คือสิ่งที่คริสตชนทุกคนต้องเข้าใจให้แจ่มชัด เพื่อปฏิรูป ประยุกต์ตนเองแต่ละคน หมายความว่า ทุกคนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าเสมอเท่านั้นที่จะเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้า
อันที่จริงต้องกล่าวว่า ทุกคนต้องไม่ประกาศสอนปรีชาญาณของตน แต่ต้องสอนคนอื่นด้วยปรีชาญาณของพระเจ้า ซึ่งแม้บ่อยครั้งจะดูเหมือนเป็นเรื่องโง่เขลาในความคิดตามประสาของโลก (เทียบ 1คร 1:23)
พระศาสนจักรทราบดีว่า พระคริสตเจ้าประทับอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหตุผลนี้ พระสังคายนาจึงเน้นว่า พระศาสนจักรให้ความเคารพพระคัมภีร์เสมอมาดังเช่นให้ความเคารพต่อพระกายของพระคริสตเจ้า (เทียบ DV 21)
เพระเหตุนี้เอง พระสังคายนาได้อ้างถึงท่านนักบุญเยโรม ที่สอนว่า "ใครไม่รู้จักพระคัมภีร์ก็ไม่รู้จักพระคริสตเจ้า" (เทียบ DV 25)
พระศาสนจักรและพระวาจาของพระเจ้านั้นไม่สามารถแยกจากกันได้โดยเด็ดขาดพระศาสนจักรมีชีวิตอาศัยพระวาจาของพระเจ้า และพระวาจาของพระเจ้าก็ดังก้องอยู่ในและผ่านทางพระศาสนจักร โดยอาศัยคำสอนและชีวิตของพระศาสนจักร (เทียบ DV 8)
นักบุญเปโตรจึงเตือนเราว่า การตีความพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่คนหนึ่งจะตีความส่วนตัวคนเดียวโดยไม่เกี่ยวข้องกับพระศาสนจักร "จงรู้เถิดว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการตีความถ้อยคำของบรรดาประกาศกในพระคัมภีร์มิใช่เรื่องส่วนบุคคล เพราะไม่ เคยมีถ้อยคำใดของบรรดาประกาศกที่มาจากเจตนารมณ์ของมนุษย์ แต่มนุษย์กล่าวถ้อยคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระจิตเจ้าทรงดลใจ" (2 ปต 1:20)
เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมานับจากพระสังคายนา ต้องขอบพระคุณต่อพระสังฆธรรมนูญเรื่องการเผย แสดงฯนี้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่พระวาจาของพระเจ้าได้รับพัฒนาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีก เพราะเหตุนี้เองที่ชีวิตของพระศาสนจักรได้รับการฟื้นฟู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการเทศน์ การสอนคำสอน เทววิทยาและชีวิตจิต และแม้แต่เรื่องคริสตศาสนสัมพันธ์ พระศาสนจักรจะต้องฟื้นฟูอย่างมั่นคง และทำให้สดชื่นขึ้นเสมอ และที่สำคัญพระวาจาของพระเจ้าซึ่งไม่มีคำว่าล้าสมัยหรือสิ้นสุดนั้นเองที่เป็นเครื่องมือแห่งพระหรรษทานที่ทำให้พระศาสนจักรบรรลุเป้าหมายนี้ อันที่จริงพระวาจาของพระเจ้านี้ โดยอาศัยพระจิตนำเราทุกคนไปสู่ความจริงทั้งครบ (เทียบ ยน16:13)
โดยความเข้าใจดังกล่าว ข้าพเจ้าขอเรียกร้องอย่างพิเศษอีกครั้งให้ใช้วิธีการอันเก่าแก่ของพระศาสนจักรคือ "Lectio divina" ซึ่งหมายถึงการอ่านพระวาจาของพระเจ้าอย่างขยันขันแข็งพร้อมด้วยการภาวนา เพื่อทำให้ผู้อ่านพระคัมภีร์ทุกคนได้สนทนากับพระเจ้าผู้ทรงตรัสอยู่อย่างลึกซึ้ง โดยการอ่านเขาฟังพระเจ้าและโดยการภาวนาเขาตอบพระเจ้าด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง และเชื่อฟัง (เทียบ "DV 25) ถ้าหาเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่อย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติเช่นนี้ก็จะเป็นศาสนกิจที่แพร่หลาย ในพระศาสนจักร ข้าพเจ้าเชื่อในเรื่องการอ่านและภาวนาอาศัยพระวาจา (Lectio divina) เช่นนี้ว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิใหม่แห่งชีวิตจิตของพระศาสนจักร
ถ้าเราต้องการหาจุดแข็งของการทำอภิบาลอาศัยพระวาจา "Lectio divina" นี้เองที่จะต้องเร่งรัดให้เกิดขึ้น และทำให้ เติบโต และขณะเดียวกันจำเป็นต้องอาศัยทฤษฎีใหม่เข้าช่วยที่ละเล็กทีละน้อยด้วย เราต้องไม่ลืมว่า พระวาจาของพระเจ้าคือ แสงสว่างนำทางทุกย่างก้าวของพระศาสนจักร (เทียบ สดด Psalm 119[118]:105)
http://www.catholic.or.th/archive/sarn/ ... arn11.html