+:+: ขอปฏิญาณ 3 ข้อ ของนักบวชคาทอลิก +:+:
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 23, 2005 6:19 pm
*ok เรื่องข้อปฏิญาณ 3 ประการ
นักบวชในคริสตศาสนานั้นคือ ฆราวาสที่ต้องการปฏิบัติความเชื่อของตนให้เข้มข้นขึ้นตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสาร(พระธรรมใหม่) เขาจึงออกไปปฏิบัติตน ปลีกวิเวกตามภูเขาตามถิ่นกันดาร ทะเลทรายแถบอียิปต์ก่อน มีนักบุญที่เด่นคือแอนโทนีแห่งอียิปต์ (เพราะมีหลายแอนโทนี) จากนั้นก็ค่อยๆรวมเป็นกลุ่มเป็นคณะและมีกฏวินัยของตนขึ้นมา ต่อมาเมื่อแนวคิดเรื่องบวชนี้ขยายมาทางอิตาลีและฝรั่งเศสก็ได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอาราม มีนักบุญเบเนดิกเป็นผู้นำกลายเป็นคณะเบเนดิกติน จากนั้นก็พัฒนาเป็นคณะต่างๆอีกมากมายโดยมีเป้าหมายคือดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ตามที่พระวรสารแนะนำหรือตามพระวาจาพระเยซูเจ้าตรัสนั่นแหล่ะ แต่คำถามคือพระองค์ตรัสมากมายแล้วจะถืออะไรเป็นหลักล่ะ ก็ได้มีการสรุปย่อคำสอนของพระองค์โดยมองที่ชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นหลักก็สรุปได้สามประการหลักๆคือ
:) 1) พระเยซูเจ้านอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระบิดา ก็กลายมาเป็นข้อปฏิญาณความนอบน้อม
:D 2)พระเยซูเจ้าดำเนินชีวิตยากจนตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เลยกลายมาเป็นข้อปฏิญาณความยากจน และพระองค์เคยบอกว่าใครที่ยากจนฝ่ายจิตก็เป็นสุขก็เลยเพิ่มความยากจนฝ่ายจิตเข้าคือการตัดใจจากทรัพย์สินต่างๆทางโลกและไม่มีอะไรเป็นของตนแต่ทุกอย่างเป็นของกลาง อย่างที่ชาวคริสต์(บางกลุ่ม)ในยุคแรกกระทำ
;D 3)พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่าบางคนเป็นขัณฑี(ถือพรหมจรรย์)เพื่อเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ พระเยซูเจ้าเองก็ไม่มีภรรยา ก็เลยถือเอาข้อปฏิญาณความบริสุทธิ์เป็นศีลอีกข้อหนึ่งของนักบวช โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่าในสวรรค์นั้นไม่มีใครเป็นสามีหรือภรรยา แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกันผ่านทางความรักในพระเจ้า คำว่า บราเดอร์ หรือซิสเตอร์ก็มาจากความหมายนี้เอง
ข้อปฏิญาณทั้งสามนี้มีเป้าหมายที่เพื่อเป็นเหมือนพระคริสตเจ้านั่นเอง และนักบวชเชื่อว่าชีวิตบนโลกนี้ก็คือ การเตรียมตัวไปดำเนินชีวิตในสวรรค์กับพระเจ้าหลังความตาย ชีวิตของนักบวชนอกจากข้อปฏิญาณสามประการที่ถือแล้วยังต้องฝึกฝนคุณธรรมอื่นๆอีกด้วย เช่น ความรัก การซื่อสัตย์ในการภาวนา การพลีกรรม การตัดใจ ความสุภาพถ่อมตน ความยุติธรรม ความมีใจอ่อนโยน ฯลฯ
ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดคำถามว่านักบวชนั้นทำไมต้องหนีโลกและหนีปัญหา ในเมื่อพระให้เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์และปัญหาทำไมเราไม่ทำให้โลกเป็นสวรรค์ตั้งแต่ปัจจุบันล่ะ รอคอยสวรรค์หลังความตายทำไม? นอกจากนั้นเนื่องจากปัญหาสังคมมีทุกสมัย นักบวชบางคนจึงถือเอาการรับใช้เพื่อนพี่น้องเป็นหลักและดำเนินชีวิตรับใช้คนยากจนและกลายมาเป็นนักบวชคณะที่ทำกิจสงเคราะห์ต่างๆเพื่อเห็นแก่ความรักตามคำสอนของพระองค์นั่นเอง บางคณะเน้นเรื่องการเทศน์อบรมฟื้นฟูจิตใจตามคำสอนของพระเยซู คณะนักบวชในปัจจุบันจึงมีประเภทที่เน้นการรับใช้สังคมมากกว่าคณะที่เน้นการบำเพ็ญพรตภาวนาในเขตอาราม
ช่วงเวลาของการถือข้อปฏิญาณนั้นปัจจุบันนั้นจะให้ทดลองก่อน 3-5 ปีเรียกว่าปฏิญาณชั่วคราว จากนั้นถ้าเห็นว่ายังเป็นชีวิตที่เขาต้องการก็ทำการปฏิญาณตลอดชีพและมีสิทธิ์ในการเป็นสมาชิกกลุ่มหรือคณะนั้นๆเต็มที่ การปฏิญาณของนักบวชนั้นต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ หนึ่งในพิธีศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการของศาสนาคริสต์ แต่เป็นการสัญญาต่อหน้าประชาชนว่าจะดำเนินชีวิตตามข้อปฏิญาณของนักบวช แต่ถ้าเกิดผิดพลาดเขาผิดต่อข้อปฏิญาณเขาก็เข้าข่ายผิดคำสัญญา ซึ่งจะหนักหรือเบาก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหนักเขาก็ต้องหมดสภาพการเป็นนักบวชไปเช่นถ้าเขาผิดต่อข้อปฏิญาณพรหมจรรย์ไปมีคู่ครองเขาก็ต้องออกจากชีวิตนักบวชไปเป็นฆราวาสเหมือนคริสตชนทั่วไป (ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพรหมจรรย์นั้นลึกซึ้งและบางครั้งก็กลายเป็นซ่อนเร้นที่ถกเถียงและตีความกันมากมายในปัจจุบันซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ แต่ยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องพรหมจรรย์แน่ บางยุคก็มากบางสมัยก็น้อยจนคนไม่สังเกตุ ที่เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุไม่ตั้งใจ หรือบางคนไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นก็เลยกลายเป็นสิ่งทะเลาะเบาะแว้งกันและสุดท้ายก็ลืมเป้าหมายของนักบวชคือดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซูเจ้า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักบวชนั้นล้วนมาจากการลืมเป้าหมายและไม่เคร่งครัดในวินัย ไม่ใส่ใจกับการฝึกคุณธรรม สิ่งล่อใจมีมากทั้งภายในและภายนอกจนยากที่จะถือวินัยและที่สำคัญคือยึดติดกับอัตตาจนถอนตัวไม่ขึ้น มีแต่ตัวเองไม่มีพระเจ้าในหัวใจเลย)
:D :D ไม่รู้คำตอบที่ให้นี้พอจะทำให้เห็นภาพนักบวชคริสต์ในวงกว้างๆได้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้เขาเรียนกันเป็นปีกว่าจะเข้าใจถ่องแท้และอนุญาตให้ปฏิญาณตนเป็นนักบวช
นักบวชในคริสตศาสนานั้นคือ ฆราวาสที่ต้องการปฏิบัติความเชื่อของตนให้เข้มข้นขึ้นตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสาร(พระธรรมใหม่) เขาจึงออกไปปฏิบัติตน ปลีกวิเวกตามภูเขาตามถิ่นกันดาร ทะเลทรายแถบอียิปต์ก่อน มีนักบุญที่เด่นคือแอนโทนีแห่งอียิปต์ (เพราะมีหลายแอนโทนี) จากนั้นก็ค่อยๆรวมเป็นกลุ่มเป็นคณะและมีกฏวินัยของตนขึ้นมา ต่อมาเมื่อแนวคิดเรื่องบวชนี้ขยายมาทางอิตาลีและฝรั่งเศสก็ได้มีการพัฒนาขึ้นเป็นอาราม มีนักบุญเบเนดิกเป็นผู้นำกลายเป็นคณะเบเนดิกติน จากนั้นก็พัฒนาเป็นคณะต่างๆอีกมากมายโดยมีเป้าหมายคือดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ตามที่พระวรสารแนะนำหรือตามพระวาจาพระเยซูเจ้าตรัสนั่นแหล่ะ แต่คำถามคือพระองค์ตรัสมากมายแล้วจะถืออะไรเป็นหลักล่ะ ก็ได้มีการสรุปย่อคำสอนของพระองค์โดยมองที่ชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นหลักก็สรุปได้สามประการหลักๆคือ
:) 1) พระเยซูเจ้านอบน้อมต่อพระประสงค์ของพระบิดา ก็กลายมาเป็นข้อปฏิญาณความนอบน้อม
:D 2)พระเยซูเจ้าดำเนินชีวิตยากจนตั้งแต่เกิดจนตาย ก็เลยกลายมาเป็นข้อปฏิญาณความยากจน และพระองค์เคยบอกว่าใครที่ยากจนฝ่ายจิตก็เป็นสุขก็เลยเพิ่มความยากจนฝ่ายจิตเข้าคือการตัดใจจากทรัพย์สินต่างๆทางโลกและไม่มีอะไรเป็นของตนแต่ทุกอย่างเป็นของกลาง อย่างที่ชาวคริสต์(บางกลุ่ม)ในยุคแรกกระทำ
;D 3)พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่าบางคนเป็นขัณฑี(ถือพรหมจรรย์)เพื่อเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ พระเยซูเจ้าเองก็ไม่มีภรรยา ก็เลยถือเอาข้อปฏิญาณความบริสุทธิ์เป็นศีลอีกข้อหนึ่งของนักบวช โดยมีพื้นฐานความเชื่อว่าในสวรรค์นั้นไม่มีใครเป็นสามีหรือภรรยา แต่ทุกคนเป็นพี่น้องกันผ่านทางความรักในพระเจ้า คำว่า บราเดอร์ หรือซิสเตอร์ก็มาจากความหมายนี้เอง
ข้อปฏิญาณทั้งสามนี้มีเป้าหมายที่เพื่อเป็นเหมือนพระคริสตเจ้านั่นเอง และนักบวชเชื่อว่าชีวิตบนโลกนี้ก็คือ การเตรียมตัวไปดำเนินชีวิตในสวรรค์กับพระเจ้าหลังความตาย ชีวิตของนักบวชนอกจากข้อปฏิญาณสามประการที่ถือแล้วยังต้องฝึกฝนคุณธรรมอื่นๆอีกด้วย เช่น ความรัก การซื่อสัตย์ในการภาวนา การพลีกรรม การตัดใจ ความสุภาพถ่อมตน ความยุติธรรม ความมีใจอ่อนโยน ฯลฯ
ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดคำถามว่านักบวชนั้นทำไมต้องหนีโลกและหนีปัญหา ในเมื่อพระให้เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์และปัญหาทำไมเราไม่ทำให้โลกเป็นสวรรค์ตั้งแต่ปัจจุบันล่ะ รอคอยสวรรค์หลังความตายทำไม? นอกจากนั้นเนื่องจากปัญหาสังคมมีทุกสมัย นักบวชบางคนจึงถือเอาการรับใช้เพื่อนพี่น้องเป็นหลักและดำเนินชีวิตรับใช้คนยากจนและกลายมาเป็นนักบวชคณะที่ทำกิจสงเคราะห์ต่างๆเพื่อเห็นแก่ความรักตามคำสอนของพระองค์นั่นเอง บางคณะเน้นเรื่องการเทศน์อบรมฟื้นฟูจิตใจตามคำสอนของพระเยซู คณะนักบวชในปัจจุบันจึงมีประเภทที่เน้นการรับใช้สังคมมากกว่าคณะที่เน้นการบำเพ็ญพรตภาวนาในเขตอาราม
ช่วงเวลาของการถือข้อปฏิญาณนั้นปัจจุบันนั้นจะให้ทดลองก่อน 3-5 ปีเรียกว่าปฏิญาณชั่วคราว จากนั้นถ้าเห็นว่ายังเป็นชีวิตที่เขาต้องการก็ทำการปฏิญาณตลอดชีพและมีสิทธิ์ในการเป็นสมาชิกกลุ่มหรือคณะนั้นๆเต็มที่ การปฏิญาณของนักบวชนั้นต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ หนึ่งในพิธีศักดิ์สิทธิ์ 7 ประการของศาสนาคริสต์ แต่เป็นการสัญญาต่อหน้าประชาชนว่าจะดำเนินชีวิตตามข้อปฏิญาณของนักบวช แต่ถ้าเกิดผิดพลาดเขาผิดต่อข้อปฏิญาณเขาก็เข้าข่ายผิดคำสัญญา ซึ่งจะหนักหรือเบาก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหนักเขาก็ต้องหมดสภาพการเป็นนักบวชไปเช่นถ้าเขาผิดต่อข้อปฏิญาณพรหมจรรย์ไปมีคู่ครองเขาก็ต้องออกจากชีวิตนักบวชไปเป็นฆราวาสเหมือนคริสตชนทั่วไป (ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับพรหมจรรย์นั้นลึกซึ้งและบางครั้งก็กลายเป็นซ่อนเร้นที่ถกเถียงและตีความกันมากมายในปัจจุบันซึ่งจะไม่ขอกล่าวในที่นี้ แต่ยอมรับว่ามีปัญหาเรื่องพรหมจรรย์แน่ บางยุคก็มากบางสมัยก็น้อยจนคนไม่สังเกตุ ที่เกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุไม่ตั้งใจ หรือบางคนไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นก็เลยกลายเป็นสิ่งทะเลาะเบาะแว้งกันและสุดท้ายก็ลืมเป้าหมายของนักบวชคือดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเยซูเจ้า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักบวชนั้นล้วนมาจากการลืมเป้าหมายและไม่เคร่งครัดในวินัย ไม่ใส่ใจกับการฝึกคุณธรรม สิ่งล่อใจมีมากทั้งภายในและภายนอกจนยากที่จะถือวินัยและที่สำคัญคือยึดติดกับอัตตาจนถอนตัวไม่ขึ้น มีแต่ตัวเองไม่มีพระเจ้าในหัวใจเลย)
:D :D ไม่รู้คำตอบที่ให้นี้พอจะทำให้เห็นภาพนักบวชคริสต์ในวงกว้างๆได้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้เขาเรียนกันเป็นปีกว่าจะเข้าใจถ่องแท้และอนุญาตให้ปฏิญาณตนเป็นนักบวช