Belong to the Truth Jesus Christ

ในทุก ๆ ปี จะมีการจัดสัมมนาเพื่อศึกษาข้อความเชื่อของศาสนาคริสต์ร่วมกันของนักศึกษาศาสนศาสตร์ของสถาบันที่ผลิตผู้รับใช้พระเจ้าในการประกาศข่าวดี ในส่วนของคาทอลิกก็จะมีวิทยาลัยแสงธรรม ในส่วนของสภาคริสตจักรในประเทศไทยซึ่งเป็นเพรสไบทีเรียนก็จะมี คณะศาสนศาสตร์แมคกิลวาลีจากมหาวิทยาลัยพายัพ และโรงเรียนกรุงเทพคริสตศาสนศาสตร์ (BIT) และยังมีจากสถาบันศาสนศาสตร์ลูเธอแรนท์ กับโรงเรียนพระคริสตธรรมแบ๊ปติสต์อีกด้วย โดยได้จัดสัมมนานี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งในช่วงแรก ๆ นั้นได้จัดแบบ 1 วันจบ ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมการสัมมนาก็มีทั้งนักบวช อาจารย์ นักศึกษา และฆราวาสที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากมีความสนใจที่จะศึกษาข้อความเชื่อให้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น ใน 2 ครั้งล่าสุด จึงจึดแบบ 2 คืน 3 วัน และผู้เข้าร่วมการสัมมนาเกือบทั้งหมดจึงมาจาสถาบันที่กล่าวมาข้างต้น

ในปี 2006 นี้ ก็จะจัดสัมมนาฯ ในระหว่างวันที่ 13 - 15 มกราคม โดยหัวข้อที่จะศึกษาเกี่ยวกับข้อความเชื่อได้แก่
- พระคัมภีร์
- การปกครอง
- พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ และ พิธีนมัสการ
- พระนางพรหมจารีมารีย์
- แนวทางคริสตสัมพันธ์

ซึ่งในแต่ละหัวข้อจะมีผู้แทนในแต่ละฝ่ายคือคาทอิกและคริสเตียนมาให้ความรู้ และเปิดโอกาสให้ได้ซักถามข้อสงสัย

กฏที่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาต้องให้ความเคารพก็คือ " เรามาเพื่อศึกษาว่าพี่น้องของเรามีความเชื่ออย่างไร จะไม่มีการวิพากษ์วิจารย์ความเชื่อของผู้อื่นอย่างเด็ดขาด" ซึ่งจากการสัมมนาที่ผ่านมาผู้เข้าร่วมการสัมมนาก็ให้ความเคารพต่อกฏนี้อย่างดี

ผมจึงขอคำภาวนาเพื่อการสัมมนาในครั้งนี้ด้วย ให้บังเกิดผลดีต่อการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวและความเข้าใจกันระหว่างคริสตชนทุกนิกาย

Andreas of the Cross เขียน:

กฏที่ผู้เข้าร่วมการสัมมนาต้องให้ความเคารพก็คือ " เรามาเพื่อศึกษาว่าพี่น้องของเรามีความเชื่ออย่างไร จะไม่มีการวิพากษ์วิจารย์ความเชื่อของผู้อื่นอย่างเด็ดขาด" ซึ่งจากการสัมมนาที่ผ่านมาผู้เข้าร่วมการสัมมนาก็ให้ความเคารพต่อกฏนี้อย่างดี

เห็นด้วยอย่างยิ่งกับสโลแกนนี้ครับ แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง ปรับความเข้าใจกัน เพราะบ้านเรา คริสตังและคริสเตียนจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างแน่นอนในอนาคต เพื่อข่าวดีของพระคริสตเจ้า เสียดายตัวผมไม่อยู่เมืองไทย ไม่งั้นคงจะไปร่วมสัมมนาด้วย ไม่สิ ถึงอยู่เมืองไทย คงไม่มีโอกาสไป ด้วยเหตุผลบางประการ ขอทางบ้านและเจ้านายคงไม่ให้ เอาไว้กลับไปไทย หากได้เข้าบ้านเณร คงขอพ่ออธิการได้ หรือเป็นคนขับรถคุณโฮลี่(คิดว่าคุณโฮลี่คงอนุญาติให้ผมลางานได้) คงมีโอกาสได้ไปร่วมครับ จริงๆแล้วหากพระเลือกให้ผมได้เป็นเณร จนก้าวหน้าเป็นพระสงฆ์(หากพระเลือก) อยากทำงานร่วมกับนักเรียนพระคัมภีร์ของคริสเตียน และศิษยาพิบาลคริสเตียนจริงๆ เพราะไฟบางอย่าง ต้องศึกษาจากฝั่งคริสเตียน อีกทั้งสร้างความเข้าใจระหว่างนิกาย รวมทั้งทำงานร่วมกันเพื่อหาแนวทางสำหรับข่าวดีของพระเยชูเจ้าสำหรับบ้านเรา พวกเรา(คริสตัง คริสเตียน)ก็เป็นชนส่วนน้อยของประเทศและสังคมอยู่แล้ว มาร่วมมือกันดีกว่า ต่างฝ่ายก็มีจุดดีและจุดด้อยตามประสามนุษย์ที่อ่อนแอ แต่เราสามารถแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง และกำจัดจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายได้ ขอเพียงแก่เห็นแก่พระเยชูเจ้า และความเป็นพี่น้อง

ขอพระอวยพรทุกท่านครับผม

น้องเพชร จ๋า นี่เป็นข้อมูล ลับ ของภายในสถาบันนะคะ

เรายังไม่ได้อนุญาต ให้คนข้างนอก ที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยตรง เข้าร่วม

เพราะว่า ค่ายนี้ เป็นของ "เณรใหญ่ แสงธรรม " ( เณร ปี 4 และ ปี7 )

และฝ่ายโปรเตสแตนต์ นั้นคือ "นักศึกษาชั้นปีสุดท้าย"ของแต่ละหลักสูตร

ค่าย นี้ คาดหวังว่า จะ นำ ความความเข้าใจดียิ่งขึ้น แก่ เณรใหญ่แสงธรรม และนักศึกษาพระคริสต์ธรรม โปรเตสแตนต์ ตลอดทั้งคณาจารย์ แต่ละสถาบัน

ส่วนฆราวาส นั้นคือ ผู้ที่เกี่ยวข้อง กับ โครงการ นี้ มากกว่าค่ะ :D

:o :o :o ถ้าอนุญาตให้คนนอกเข้าไปคงจะยุ่งนิ เก่งๆกันทั้งน๊านนนนนนนนน

ฝาก Lectio Divina เดือนนี้ค่ะ เรื่องเอกภาพ....

http://uk.geocities.com/palangjai2004/lectio12.html

ก็เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจนะ ถึงแม้จะจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มเณรใหญ่ และนักศึกษาชั้นปีสุดท้าย ทำให้ได้รู้ว่าประดาผู้ที่จะเข้ามาเป้ฯผู้นำทางความคิด ได้ผ่านกระบวนขัดเกลาอย่างไรบ้าง

โดยเฉพาะ เรื่องการรับฟังกันอย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้ที่เข้าใจความแตกต่างและการประสานประโยชน์ กิจกรรมดี ๆอย่างนี้ น่าจะเอาเล่าสู่กันฟังได้นะ ไม่ถึงขนาดต้องเปิดให้ร่วมหรอก เพราะเข้าใจว่าก็มีข้อจำกัดและเหตุผลความจำเป้ฯอยู่ ไม่น่าเก็บไว้เงียบ ๆ เลย

กลับมาแล้วครับ

การสัมมนาก็สำเร็จไปได้อย่างน่าประทับใจครับ

โปรแตสแตนท์ก็เข้าใจคาทอลิกมากขึ้น และคาทอลิกก็เข้าใจโปรแตสแตนท์มากขึ้นเช่นกัน
เป็นต้นเรื่องพระนางพรหมจารีมารีย์ และพิธีบูชาขอบพระคุณ
สิ่งหนึ่งที่ผู้เข้าร่วมสัมมนารู้สึกเสียดายก็คือ พวกเรายังรับศีลมหาสนิทด้วยกันไม่ได้ คุณพ่อและเณรแสงธรรมคาทอลิกได้ร่วมพิธีนมัสการของโปรแตสแตนท์ แต่ช่วงพิธีมหาสนิทเราก็ต้องนั่งดูตาปริบ ๆ โปรแตสแตนท์ก็เช่นกัน เราก็ไม่อนุญาตให้เขามารับศีลมหาสนิท ซึ่งผมเชื่อว่าในหัวใจของทุก ๆ คนที่นั่นต่างก็อยากออกไปรับศีลมหาสนิทของอีกฝ่ายหนึ่งใจจะขาด เพราะหัวใจหลักของศีลมหาสนิทของทั้งสองนิกายก็คือ การประทับอยู่ของพระเยซูคริสตเจ้าท่ามกลางผู้ที่มีความเชื่อ ซึ่งจากที่ผมได้ร่วมในพิธีมหาสนิทของโปรแตสแตนท์ ผมก็เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ด้วยในที่นั่น

ส่วนเรื่องแม่พระ ผมก็รู้สึกประทับใจที่ศาสนจารย์โปรแตสแตนท์ก็มีความเคารพรักแม่พระด้วยเช่นกัน ทำให้ผมเองก็เห็นว่าโปรแตสแตนท์ก็ไม่ได้รังเกียจแม่ของพระเยซู และผมเชื่อว่าท่านจะทำให้นักศึกษาของท่านมีความเคารพรักพระแม่ด้วยเช่นกัน

ผมของเล่าเท่านี้ก่อนนะครับ เพราะเกรงว่าพี่พีพีจะมาห้ามอีก เพราะเป็นความลับของสถาบัน

ฮ่า ฮ่า ฮ่า แหมๆ พี่เพชร พูดถึงพี่พีพีแบบนั้น ทำให้ทุกคนรู้หมดดิ ว่า เจ๊เธอเป็นนางมารร้ายตัวจริง

พี่เพชรเขียนไปให้เจ๊ เซนเซอร์ ก่อนดิ หรือ เจ๊เธออยากเพิ่มเติมอะไร ก็ดี :'(