สวดน้อยแค่ไหนก็สำคัญ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ม.ค. 06, 2006 5:45 pm
สวดน้อยแค่ไหนก็สำคัญ
โดย ลีนุส เฟอร์เรรา ก.ครุวรรณ ถอดความ
พระสงฆ์สูงอายุองค์หนึ่งไปร่วมการประชุมของสภาอภิบาลวัดแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงก็กำลังจะเริ่มสวดเปิดประชุมพอดี สมาชิกสภาอภิบาลฯ จึงกล่าวกับคุณพ่อว่า "คุณพ่อช่วยนำสวดเปิดประชุมสั้นๆ ให้หน่อยครับ" คุณพ่อตอบว่า "พ่อสวดสั้นๆ ไม่เป็น" ทุกคนหันไปทางคำตอบด้วยสีหน้าฉงนคล้ายกับจะกล่าวพร้อมกันว่า "อะไรกัน คุณพ่อสวดสั้นๆ ไม่เป็นหรือ" คุณพ่อยิ้มเมื่อแลเห็นพวกเขามีสีหน้าสับสนและพูดว่า "ไม่มีหรอก การสวดภาวนาสั้นๆ พ่อยินดีจะสวดกับพวกเรา แต่อย่าบอกให้พ่อสวดสั้นๆ"
เรามักจะคุ้นเคยกับการวัดสิ่งต่างๆ ตามขนาด ความสูง น้ำหนัก ฯลฯ ดังนั้น เราจึงมีแนวโน้มที่จะวัดแม้แต่เรื่องการสวดภาวนา เช่น สวดสั้นหรือสวดยาว ผู้เขียนเองก็สงสัยเหมือนกันว่า พระเจ้าใช้ไม้วัดประเภทใด จริงอยู่การสวดภาวนาของเราอาจใช้เวลาไม่นาน แต่ไม่มีการสวดภาวนาแบบนิดหน่อย
ขอยกตัวอย่างการสวดภาวนาของแม่บ้านคนหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังสาละวนทำอาหารในครัวจนไม่มีเวลาสวดสายประคำครบสาย เธออาจพูดกับตนเองว่า "ฉันจะพยายามสวดโดยใช้นิ้วนับไปจนกว่าจะครบสาย" เพราะเราทราบดีว่าการสวดสายประคำประกอบด้วยการสวดวันทามารีอา 10 ครั้ง ข้าแต่พระบิดา และสิริพึงมีอย่างละครั้ง และทำเช่นนี้ 5 ครั้งก็ครบ 1 สาย ถ้าเช่นนั้นเธอจะนับได้อย่างไรหากขณะนั้นเธอต้อง ใช้มือทั้งสองข้างนวดแป้งสาลีและก็คงไม่อาจใช้นิ้ว นับจำนวนบทสวดได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำก็คือวางสายประคำไว้ก่อน แล้วก็สวดบทภาวนาสั้นๆ เช่น บทวันทามารีอา ข้าแต่พระบิดา ราชินีแห่งสวรรค์ หรือสวดด้วยข้อความง่าย ๆ เช่น "ข้าแต่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ลูกเชื่อในพระองค์ ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกรักพระองค์!" เป็นต้น
คำภาวนาที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก แม้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่ยาว (ตามมาตรฐานของมนุษย์) ก็ตาม ขณะที่เธอกำลังซักหรือรีดผ้า กวาดพื้น หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เธอก็สามารถสนทนากับพระเป็นเจ้าได้ในลักษณะเดียวกับการพูดกับเพื่อนๆ เช่น กรรมกรคนหนึ่ง เพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากที่ได้ทำงานอย่างหนักมาทั้งวัน เขาก็อาจจะพูดกับพระเจ้าเพียงว่า "โปรดยกโทษลูกด้วย วันนี้ลูกเหนื่อยจนสวดไม่ไหวแล้วครับ".... นี่คือการสวดภาวนาที่มีคุณภาพมากยิ่งกว่าการคุกเข่าสวดสายประคำเสียอีก
อีกตัวอย่างหนึ่ง นักธุรกิจ หรือสตรีผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังทำงานอยู่กับผู้ร่วมงานที่ไม่ค่อยเป็นมิตร คิดหรือว่า เขาหรือเธอผู้นั้นจะคุกเข่าสวดภาวนาขอพระเจ้าประทานความอดทนให้หรือ...ไม่จำเป็นเลย เขาหรือเธอสามารถสวดภาวนาได้อย่างดี ขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่นั้น โดยยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า พูดกับพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความอดทนให้ลูกด้วยเถิด" นี่มิใช่การสวดนิดหน่อย จริงอยู่ว่าเป็นการสวดภาวนาที่สั้น แต่ก็มีคุณภาพทีเดียวสำหรับนักธุรกิจหรือสตรีผู้นั้น เพราะแม้จะเป็นการสวดที่ใช้คำพูดไม่กี่คำ แต่ก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ
วัยรุ่นในปัจจุบัน มีชีวิตอยู่ในโลกที่โลดแล่นไปมาอยู่ตลอดเวลา และคงไม่มีเวลาเฝ้าศีลในวัด แต่เขาหรือเธอก็สามารถสวดสั้นๆ ในใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เช่น เพื่อขอให้พระเจ้าช่วยเรื่องการสอบข้อเขียน การสอบสัมภาษณ์ เยาวชนวัยรุ่นอาจสวดขอให้มีพลังเอาชนะการประจญล่อลวง หรืออาจสวดขอบคุณพระเจ้า สำหรับความสุขที่ได้รับในวันนั้น หรือเรื่องอื่นใดก็ได้ เพราะการสนทนากับพระเจ้าเช่นนี้ คือคำภาวนาที่มีคุณค่าทั้งสิ้น
พระเจ้าทรงสดับฟังคำภาวนาทั้งหลายที่กล่าวมานี้ แม้จะเป็นคำภาวนาที่สั้นก็ตาม เพราะพระองค์ทรงทราบทุกสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเรา พระองค์ทรงหยั่งทราบความจริงใจ และการไม่เสแสร้งที่มาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ของเรา จากนั้นพระองค์ก็จะทรางเพิ่มพลังให้กับบทภาวนาของเราตามวิธีการของพระองค์ที่เราไม่อาจเข้าใจได้ เป็นความจริงที่บทสวดมาตรฐาน เช่น บทวันทามารีอา บทภาวนาในพิธีนพวาร หรือในวจนพิธีกรรมอื่นๆ ก็เป็นการสวดภาวนาที่ดี และมีคุณค่าเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยสักเพียงใด และยังมีสิ่งที่จะต้องทำ "กองเป็นภูเขา" ท่านก็สามารถใช้เศษเสี้ยวของเวลาที่มี พุ่งคำภาวนาตรงสู่ดวงพระทัยของพระเจ้าได้ สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ การสวดแบบ "รถด่วน" ความเร็วมิใช่เครื่องชี้บอกถึงพลังของการสวดภาวนา เพราะการสวดภาวนาที่ดีต้องเป็นการสวดอย่างช้า ๆ และสวดโดยใช้ความคิด เราจึงต้องมีความตั้งใจควบคู่กับสิ่งที่เรากำลังกล่าวอยู่เสมอ
(จาก...บทความแม่พระยุคใหม่)
ที่มา http://www.geocities.com/kularptip/christmas5.html
โดย ลีนุส เฟอร์เรรา ก.ครุวรรณ ถอดความ
พระสงฆ์สูงอายุองค์หนึ่งไปร่วมการประชุมของสภาอภิบาลวัดแห่งหนึ่ง เมื่อไปถึงก็กำลังจะเริ่มสวดเปิดประชุมพอดี สมาชิกสภาอภิบาลฯ จึงกล่าวกับคุณพ่อว่า "คุณพ่อช่วยนำสวดเปิดประชุมสั้นๆ ให้หน่อยครับ" คุณพ่อตอบว่า "พ่อสวดสั้นๆ ไม่เป็น" ทุกคนหันไปทางคำตอบด้วยสีหน้าฉงนคล้ายกับจะกล่าวพร้อมกันว่า "อะไรกัน คุณพ่อสวดสั้นๆ ไม่เป็นหรือ" คุณพ่อยิ้มเมื่อแลเห็นพวกเขามีสีหน้าสับสนและพูดว่า "ไม่มีหรอก การสวดภาวนาสั้นๆ พ่อยินดีจะสวดกับพวกเรา แต่อย่าบอกให้พ่อสวดสั้นๆ"
เรามักจะคุ้นเคยกับการวัดสิ่งต่างๆ ตามขนาด ความสูง น้ำหนัก ฯลฯ ดังนั้น เราจึงมีแนวโน้มที่จะวัดแม้แต่เรื่องการสวดภาวนา เช่น สวดสั้นหรือสวดยาว ผู้เขียนเองก็สงสัยเหมือนกันว่า พระเจ้าใช้ไม้วัดประเภทใด จริงอยู่การสวดภาวนาของเราอาจใช้เวลาไม่นาน แต่ไม่มีการสวดภาวนาแบบนิดหน่อย
ขอยกตัวอย่างการสวดภาวนาของแม่บ้านคนหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังสาละวนทำอาหารในครัวจนไม่มีเวลาสวดสายประคำครบสาย เธออาจพูดกับตนเองว่า "ฉันจะพยายามสวดโดยใช้นิ้วนับไปจนกว่าจะครบสาย" เพราะเราทราบดีว่าการสวดสายประคำประกอบด้วยการสวดวันทามารีอา 10 ครั้ง ข้าแต่พระบิดา และสิริพึงมีอย่างละครั้ง และทำเช่นนี้ 5 ครั้งก็ครบ 1 สาย ถ้าเช่นนั้นเธอจะนับได้อย่างไรหากขณะนั้นเธอต้อง ใช้มือทั้งสองข้างนวดแป้งสาลีและก็คงไม่อาจใช้นิ้ว นับจำนวนบทสวดได้ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำก็คือวางสายประคำไว้ก่อน แล้วก็สวดบทภาวนาสั้นๆ เช่น บทวันทามารีอา ข้าแต่พระบิดา ราชินีแห่งสวรรค์ หรือสวดด้วยข้อความง่าย ๆ เช่น "ข้าแต่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ลูกเชื่อในพระองค์ ข้าแต่พระเป็นเจ้า ลูกรักพระองค์!" เป็นต้น
คำภาวนาที่กล่าวมานี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก แม้จะเป็นถ้อยคำที่ไม่ยาว (ตามมาตรฐานของมนุษย์) ก็ตาม ขณะที่เธอกำลังซักหรือรีดผ้า กวาดพื้น หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก เธอก็สามารถสนทนากับพระเป็นเจ้าได้ในลักษณะเดียวกับการพูดกับเพื่อนๆ เช่น กรรมกรคนหนึ่ง เพิ่งกลับถึงบ้านหลังจากที่ได้ทำงานอย่างหนักมาทั้งวัน เขาก็อาจจะพูดกับพระเจ้าเพียงว่า "โปรดยกโทษลูกด้วย วันนี้ลูกเหนื่อยจนสวดไม่ไหวแล้วครับ".... นี่คือการสวดภาวนาที่มีคุณภาพมากยิ่งกว่าการคุกเข่าสวดสายประคำเสียอีก
อีกตัวอย่างหนึ่ง นักธุรกิจ หรือสตรีผู้หนึ่ง ขณะที่กำลังทำงานอยู่กับผู้ร่วมงานที่ไม่ค่อยเป็นมิตร คิดหรือว่า เขาหรือเธอผู้นั้นจะคุกเข่าสวดภาวนาขอพระเจ้าประทานความอดทนให้หรือ...ไม่จำเป็นเลย เขาหรือเธอสามารถสวดภาวนาได้อย่างดี ขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่นั้น โดยยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้า พูดกับพระองค์ว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานความอดทนให้ลูกด้วยเถิด" นี่มิใช่การสวดนิดหน่อย จริงอยู่ว่าเป็นการสวดภาวนาที่สั้น แต่ก็มีคุณภาพทีเดียวสำหรับนักธุรกิจหรือสตรีผู้นั้น เพราะแม้จะเป็นการสวดที่ใช้คำพูดไม่กี่คำ แต่ก็เป็นคำพูดที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตใจจริงๆ
วัยรุ่นในปัจจุบัน มีชีวิตอยู่ในโลกที่โลดแล่นไปมาอยู่ตลอดเวลา และคงไม่มีเวลาเฝ้าศีลในวัด แต่เขาหรือเธอก็สามารถสวดสั้นๆ ในใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เช่น เพื่อขอให้พระเจ้าช่วยเรื่องการสอบข้อเขียน การสอบสัมภาษณ์ เยาวชนวัยรุ่นอาจสวดขอให้มีพลังเอาชนะการประจญล่อลวง หรืออาจสวดขอบคุณพระเจ้า สำหรับความสุขที่ได้รับในวันนั้น หรือเรื่องอื่นใดก็ได้ เพราะการสนทนากับพระเจ้าเช่นนี้ คือคำภาวนาที่มีคุณค่าทั้งสิ้น
พระเจ้าทรงสดับฟังคำภาวนาทั้งหลายที่กล่าวมานี้ แม้จะเป็นคำภาวนาที่สั้นก็ตาม เพราะพระองค์ทรงทราบทุกสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจของเรา พระองค์ทรงหยั่งทราบความจริงใจ และการไม่เสแสร้งที่มาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ของเรา จากนั้นพระองค์ก็จะทรางเพิ่มพลังให้กับบทภาวนาของเราตามวิธีการของพระองค์ที่เราไม่อาจเข้าใจได้ เป็นความจริงที่บทสวดมาตรฐาน เช่น บทวันทามารีอา บทภาวนาในพิธีนพวาร หรือในวจนพิธีกรรมอื่นๆ ก็เป็นการสวดภาวนาที่ดี และมีคุณค่าเช่นกัน
ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะมีเวลาเพียงเล็กน้อยสักเพียงใด และยังมีสิ่งที่จะต้องทำ "กองเป็นภูเขา" ท่านก็สามารถใช้เศษเสี้ยวของเวลาที่มี พุ่งคำภาวนาตรงสู่ดวงพระทัยของพระเจ้าได้ สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ การสวดแบบ "รถด่วน" ความเร็วมิใช่เครื่องชี้บอกถึงพลังของการสวดภาวนา เพราะการสวดภาวนาที่ดีต้องเป็นการสวดอย่างช้า ๆ และสวดโดยใช้ความคิด เราจึงต้องมีความตั้งใจควบคู่กับสิ่งที่เรากำลังกล่าวอยู่เสมอ
(จาก...บทความแม่พระยุคใหม่)
ที่มา http://www.geocities.com/kularptip/christmas5.html