พี่HOLY และผู้รู้อื่น "น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า" คืออะไร

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
boylife
โพสต์: 315
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 14, 2005 8:27 pm
ที่อยู่: Nakhonnayok

อังคาร ม.ค. 31, 2006 12:54 pm

พี่ปอ หรือคนอื่นที่รู้ ความหมายของ "น้ำพระทัย"ของพระเป็นเจ้า น้ำพระทัยคืออะไรคับ ทำไมต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระ ถ้าเราถูกรถชน เราเจ็บป่วย นั่นคือ น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าหรอคับ บางทีผมคงต้องให้พี่ HOLYเทบทวนคำสอนให้ซะแล้ว โตแล้วไม่ได้เรียนคำสอนเหมือนเด็กๆ สมัยก่อน :-[
จอมนางกระบี่เดี่ยว
โพสต์: 1159
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm

อังคาร ม.ค. 31, 2006 2:03 pm

โห เดี๋ยวเจ๊ฟิมก็เข้ามาสอน รอแป๊บนึงนะน้อง
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อังคาร ม.ค. 31, 2006 10:33 pm

boylife เขียน: พี่ปอ หรือคนอื่นที่รู้ ความหมายของ "น้ำพระทัย"ของพระเป็นเจ้า น้ำพระทัยคืออะไรคับ ทำไมต้องให้ทุกอย่างเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระ ถ้าเราถูกรถชน เราเจ็บป่วย นั่นคือ น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าหรอคับ บางทีผมคงต้องให้พี่ HOLYเทบทวนคำสอนให้ซะแล้ว โตแล้วไม่ได้เรียนคำสอนเหมือนเด็กๆ สมัยก่อน :-[
ไม่ค่อยมีความรู้ แต่ชอบตอบฮะ

น้ำพระทัย =God Will หรือพระประสงค์ หมายถึง สิ่ง ที่พระองค์มีต่อเราแต่ละคน

พระเจ้าทรงรู้จักเราแต่ละคน ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ในครรภ์มารดา ทักทอเราแต่ละคนขึ้นมาด้วยความรัก

เช่นน้ำพระทัย ต่อ พี่โฮลี่ ให้ ทำอาชีพ อิสระ และรับใช้พระในบทบาท ฆราวาส ร่วมรับใช้
ทรงประทาน พรพิเศษมากมาย เพื่อให้ใช้ในงานของพระองค์ โดยนำพรนั้น ไปรักษา หรืออวยพร
ผู้อื่น ทั้งหมดที่กล่าว พระเจ้ามีน้ำพระทัย หรือพระประสงค์ในชีวิตพี่โฮลี่ แบบที่เป็นอยู่

และหลายๆคนในที่นี่ คงทราบว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัยต่อตัวเองอย่างไร

การเจ็บป่วย อุบัติเหตุบางอย่าง น้ำพระทัยของพระเจ้า ในแง่ช่วยหยุดยั้งได้ หรือ ไม่ก็เป็นการเตือนสอน
ให้กลับมาหาพระองค์ เพราะเมื่อถึงคราวเจ็บป่วยเจ็บปวด ก็นึกถึงพระขึ้นมา

พระเจ้าทรงอวยพร กิจการงาน แล้วได้นำไปช่วยเหลือคนอื่นๆ คนลำบาก นั่นคือน้ำพระทัย

แต่เมื่อพระเจ้าทรงอวยพร มากมาย กลับหยิ่งคิดว่า เป็นของตัวเอง แล้วต้องเจ็บตัว คนสมน้ำหน้า
พระเจ้าเสียหาย นั่นเพราะความดื้อด้าน ดื้อดึง

คืดออกค่อยมาต่อ ถ้าอยากฟัง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 01, 2006 1:10 am

แปลกจริงๆเวลาคนเราพูดคำว่าน้ำพระทัย กลับชอบคิดไปในทางที่ไม่ดี

คำว่าน้ำพระทัยคือพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อเรานั่นเอง

ลองอ่านอันนี้ครับ


มธ 7:9
ท่านใดที่ลูกขออาหาร จะให้ก้อนหินหรือ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดี ๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานของดี ๆ แก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ot@
~@
โพสต์: 989
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:44 pm

พุธ ก.พ. 01, 2006 10:05 am

ควรปักหมุด :D

พี่ปอตอบได้ดีมากๆเลยงับ
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

พุธ ก.พ. 01, 2006 12:02 pm

*ok เรื่องน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้านั้นจะเข้าใจยากหน่อยสำหรับคนทั่วไปนะแต่พ่อจะพยายามตอบคือ



:) 1. ชีวิตคริสตชนนั้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเสมอ และเขาเชื่อว่าพระเจ้าประทานสิ่งต่างๆให้แก่เรานั้นล้วนเพื่อความดีงามของเราทั้งสิ้น เพราะพระเจ้าเหมือนพ่อแม่ที่รักลูกเสมอ อันนี้พระเยซูเจ้าเองก็ยืนยันและได้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์



;) 2. ชีวิตคนเรานั้นมักจะมีคำถามเสมอว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตนี้ นี่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งมาก เพราะคำว่า ดีนั้นแต่ละคนก็จะตีความและคาดหวังต่างกันออกไป เช่นบางคนจะบอกว่าชีวิตดีคือชีวิตที่สะดวกสบาย ร่ำรวยมีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ แต่หลายคนก็บอกว่าชีวิตเช่นนั้นไม่ดีเพราะทำให้เกิดความขี้เกียจไม่อยากทำอะไรและทำอะไรไม่เป็นต้องพึ่งคนอื่นเสมอ ชีวิตที่ดีนั้นคือมีสุขภาพดี มีพออยู่พอกิน รู้จักใช้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ ฯลฯ หรือคนชอบหวย ก็จะบอกว่าการถูกรางวัลนั้นดีเพราะจะมีเงินใช้ แต่อีกคนจะบอกว่าถูกรางวัลแล้วนอนไม่หลับ นอกจากกลัวจะมีคนมาขอให้รำคาญใจแล้วอาจจะกลัวคนมาปล้น เพราะงั้นการถูกรางวัลใช่จะดีเสมอไป สู้ทำมาหาเลี้ยงชีพตามอัตภาพดีกว่า สรุปแล้ว คำว่าดีนั้นตีความต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละคน



:D 3. นอกจากคนที่มองว่าความดีนั้นเป็นเรื่องของปัจเจคบุคคลแล้ว ยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่ไม่เห็นด้วย เพราะเขาถือว่า ความดีสากลที่เหมาะสำหรับทุกคนน่าจะมี แต่ความดีตัวนั้นมันอยู่ที่ไหนในเมื่อไม่ใช่อยู่ในตัวปัจเจคบุคคลหรืออยู่ในตัวคนเรา เขาก็ตอบว่า ความดีนั้นน่าจะอยู่นอกตัวคนเรา ดังนั้นความดีสากลจึงอยู่นอกตัวเรา แต่นอกตัวเรานั้นมันอยู่ที่ไหน เขาตอบว่า อยู่ในพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเจ้าเท่านั้นที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดและดีสากลให้กับมนุษย์ได้ เหตุนี้เองเขาจึงถือว่า อะไรก็ตามที่มาจากพระเจ้าย่อมดีที่สุดแม้บางครั้งมันอาจจะขัดกับความคาดหวังของคนๆนั้นก็ตาม เพราะถือว่าพระเจ้ามองเห็นได้ไกลกว่าตัวเราเองมากนัก ตัวอย่างเช่น คนที่กำลังมีความสุขกับอาชีพการทำงาน กำลังเจริญก้าวหน้า จู่ๆก็ค้นพบว่าในตัวเขานั้นมะเร็งกำลังกำเริบ เขาทำใจไม่ได้ ต้องรีบไปรักษา ต้องเสียเงินทอง ต้องเสียงาน ฯลฯ ถ้าหากคนที่ใจไม่แข็งพอก็จะมองว่า เขาซวย แต่คนที่มีสติก็จะมองไปว่า การที่เขาป่วยและต้องลาออกจากหน้าที่นั้นเขาได้มีเวลาให้ครอบครัว มีเวลาทบทวนความหมายของชีวิตซึ่งขณะที่ทำงานนั้นเขาทำไม่ได้ ฯลฯ นี่คือการมองแบบคนทั่วไปที่มองในด้านดี



;D 4. เอาล่ะทีนี้มาถึงคนอีกระดับหนึ่งคือคนที่มองทุกอย่างสัมพันธ์กับพระเจ้าล่ะ คนพวกนี้จะถือว่า ความดีนั้นมีอยู่ในพระเจ้า จะดีจะร้าย พระเจ้าต้องมาเกี่ยวข้องเสมอและอะไรก็ตามที่มาจากพระองค์แล้ว แม้แรกๆจะมองว่าไม่ดี แต่ถ้ามองลึกๆแล้วจะพบว่าดีที่สุดสำหรับเขา เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นทางที่ง่ายที่สุดคือ มอบตัวเองไว้ในความดูแลของพระเจ้า มอบน้ำใจตัวเองไว้ในพระเจ้า และถือว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตพระเจ้ารับทราบ เมื่อพระเจ้ารับทราบแล้วเขาก็ยอมรับและทำใจให้ยอมรับ ตรงนี้เองคือที่มาของคำว่า น้ำพระทัยพระเจ้า คือเขาถือว่าชีวิตของเขาวางไว้ให้พระเจ้าจัดการทุกอย่างแล้ว จะดีจะร้ายอย่างไรเขาก็ยอมรับ ถ้าสิ่งดีเกิดขึ้นกับตัวเขาตามคาดหวัง เขาก็ขอบคุณพระ ถ้าสิ่งร้ายเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เขาก็ถือว่าพระรู้เห็นแล้วและจะหาทางช่วยเขาอีกแรงด้วย คำว่าน้ำพระทัยพระเจ้านั้นพระเยซูเจ้าก็สอนเราด้วย พระองค์สอนเราให้สวดว่าให้น้ำพระทัยพระเจ้าสำเร็จไปในตัวเรา ในบทข้าแต่พระบิดานั่นเอง

สรุปในข้อนี้ คนที่จะเข้าถึงระดับนี้ได้ต้องมีพื้นฐานความเชื่อในพระเจ้าสูงถึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าพระเจ้าทรงทราบและรู้และปล่อยให้เกิดขึ้น เพื่อผลดีของเราเอง



:-* 5) คนอีกระดับที่สูงขึ้นมาขั้นสุดท้าย คือ คนที่ให้ชีวิตของเขาเป็นการแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าโดยตรง พวกนี้คือพวกนักพรต นักบวชและพวกที่มีชีวิตฝ่ายจิตที่สูงขึ้นมา

ปรัชญาของพวกนี้คืออะไร? พวกนี้เชื่อว่า แม้แต่ตัวเอง น้ำใจตัวเอง การตัดสินใจของตัวเองนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะมันมักจะมีพื้นฐานบนความลำเอียงและความเห็นแก่ตัว วิธีที่จะไม่เชื่อมั่นในตัวเองก็คือ ยกน้ำใจหรือเจตจำนงของตัวเองให้พระเจ้าจัดการแทน แต่พระเจ้าอยู่ไหนล่ะ? ก็อยู่ที่ผู้ใหญ่ อธิการ ฯลฯ นอกนั้น วิธีที่จะไม่คืนความตั้งใจหรือเบี้ยวต่อความตั้งใจนั้น เขาต้องทำการปฏิญาณสาบานตน เหตุนี้พวกนักบวชจึงมีพิธีปฏิญาณตนต่อหน้าผู้ใหญ่ ว่าเขาจะไม่เดินตามน้ำใจตัวเอง แต่ยกน้ำใจให้พระเจ้าผ่านทางผู้ใหญ่ของคณะ โดยคาดหวังว่าทุกสิ่งที่มาจากอธิการเจ้าคณะคือมาจากพระเจ้า และเมื่อมาจากพระเจ้าแล้ว เขายอมรับได้และถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว ศัตรูของคนพวกนี้คือ ตัวเขาเอง เขาถือว่าการตัดน้ำใจของตนเองและมอบให้พระเจ้านั้นคือวีรกรรมขั้นสูงสุดแล้ว เหมือนพระเยซูเจ้าบอกก่อนตรึงกางเขนกับพระบิดาของพระองค์ว่า ..ถ้าเป็นไปได้ก็ขอให้กาลิกซ์(ความทรมาน)นี้ผ่านไปเถิด...แต่ก็ขออย่าให้เป็นไปตามน้ำใจของลูกเลย แต่ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด.. และที่สุดน้ำพระทัยของพระบิดาคือ พระเยซูเจ้าต้องตายบนกางเขน... คนที่ไม่มีพื้นฐานความเชื่อจะมองว่า พระบิดาโหด ไร้ชีวิตจิตใจ ฯลฯ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว นอกจากพระเยซูเจ้าจะสามารถผ่านความตายกลับคืนชีพได้แล้ว มนุษย์ยังได้รับผลดีจากความตายของพระองค์ด้วย ดังนี้เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ในความเจ็บปวดก็ใช่จะเป็นการสาปแช่งเสมอไป (ตรงนี้เองที่ชาวคริสต์มองเรื่องความทุกข์ต่างจากชาวพุทธที่ต้องการหนีจากทุกข์)



*heh สรุป...คำว่าน้ำพระทัยพระเจ้าคือ สิ่งที่เราเชื่อว่าทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าล้วนดีต่อเราทั้งสิ้น แม้กระทั่งสิ่งที่มนุษย์ไม่ชอบ เช่น ความเจ็บปวด ความทรมาน ความยากจน ความเจ็บป่วย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราไม่ชอบ ถ้ามาจากพระเจ้าที่เขาเชื่อแล้ว เขาถือว่าดีที่สุดสำหรับเขา พูดอีกนัยหนึ่งคือ ดีที่สุดสำหรับเขานั้นต้องไม่ใช่มาจากตัวเองเป็นผู้ตัดสินแต่มาจากพระเจ้าตัดสิน คนพวกนี้ล่ะที่คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้านั้นมีความหมายลึกซึ้งยิ่ง



ปล. คนที่ไม่มีพื้นฐานชีวิตฝ่ายจิตสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้าก็จะกลายเป็นสิ่งที่รับไม่ได้แน่นอน แถมจะมองว่าเหลวไหลด้วย ดังนั้นพ่อจึงไม่แนะนำให้คนใช้คำว่า น้ำพระทัยพระเจ้าพร่ำเพรื่อ โดยที่ไม่มีพื้นฐานความเชื่อในพระเจ้า แต่ถ้าถามว่าแล้วพระเจ้ามีบทบาทในคนที่ไม่เชื่อพระองค์ด้วยหรือไม่ เช่น คนพุทธ คนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า คำถามนี้ตอบยาก แต่ส่วนตัวพ่อเชื่อว่าแม้ในคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าพระองค์ก็มีความรักให้เขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขานั้นเชื่อว่าพระเจ้าน่าจะทราบ แต่เจ้าตัวไม่ทราบก็เป็นได้ เช่นนี้เขาจึงจัดการกับปัญหาแบบไม่มีภาพลักษณ์ของพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องเลยได้ แต่สำหรับพ่อแล้ว พ่อคิดว่า มีพระเจ้ามาช่วยแก้ไขและช่วยอยู่ในใจนั้นมันอบอุ่นกว่าคนที่แก้ปัญหาเองไม่มีพระเจ้าคอยหนุนใจเยอะเลยล่ะ




;D ;D คุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.
แก้ไขล่าสุดโดย :+: seraphim :+: เมื่อ พุธ ก.พ. 01, 2006 12:06 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พุธ ก.พ. 01, 2006 1:22 pm

"จง ขอบพระคุณพระเป็นเจ้า

เพราะ พระองค์ พระทัยดี :D

ความรักของพระองค์ ดำรง นิจนิรันดร์" ;)
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ ก.พ. 04, 2006 2:13 pm

ดังนั้นเราต้องทำตามน้ำพระทัยพระองค์เสมอครับ
ตอบกลับโพส