+++++++++++++++++++++
ความจริงเรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันในสิ่งที่เราเรียกว่า
บัญญัติ10ประการ
กันก่อน
ว่าที่จริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมา มันไม่ได้บอกว่ามี10ข้อ และไม่ได้บอกด้วยว่าให้แบ่งเป็น10ข้อ ที่จริงพระบัญญัติประทานมาเป็นข้อความยาวเหยียด มีทั้งส่วนสำคัญและส่วนขยาย ดังนี้
มาดูบทพระคัมภีร์บทดังกล่าวกัน
เฉลยธรรมบัญญัติ5:5
ครั้งนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ระหว่างพระเจ้ากับท่านทั้งหลาย เพื่อจะประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย เพราะท่านทั้งหลายกลัวเพลิง จึงมิได้ขึ้นไปบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า
6“ 'เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ออกจากแดนทาส
7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ
11“ 'อย่าออกพระนามพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า อย่างไม่สมควร ด้วยผู้ที่กล่าวพระนามของพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษหามิได้
12“ 'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชา ไว้แก่เจ้า
13จงทำการงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
14แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโต(แปลว่า หยุด หยุดพัก (งาน)) แห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นอย่ากระทำงานสิ่ง ใดๆ คือเจ้าเอง หรือบุตราบุตรีของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้ใดๆของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
15จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้พาเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก เหตุฉะนี้พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
16“ 'จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของ เจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้า ของเจ้าประทานให้แก่เจ้า
17“ 'อย่าฆ่าคน
18“ 'อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
19“ 'อย่าลัก ทรัพย์
20“ 'อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
21“ 'อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน และอย่าอยากได้บ้านของเพื่อนคือไร่นา ทาส ทาสี วัว ลา หรือสิ่งใดๆซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน'
22“พระวจนะเหล่านี้พระเจ้า ได้ตรัสแก่ชุมนุมชนทั้งปวงของท่านที่ภูเขา ออกมาจากท่ามกลางเพลิงเมฆ และความมืดคลุ้มหนาทึบ ด้วยพระสุรเสียงอันดัง และมิได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใดอีก
[hr]
ส่วนที่ทำสีไว้ คือส่วนของบัญญัติทั้งหมด ซึ่งเอาเข้าจริง จะเรียกว่าบัญญัติหลายสิบประการเลยก็ได้นะครับ
ทีนี้เรามาดูบัญญัติแต่ละส่วน ผมขอเน้นส่วนของพระเจ้า ซึ่งแยกได้3คอนเซปหลักๆคือ
1-เรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียวตั้งแต่ข้อ7-10
2-เรื่องการระวังการออกพระนามพระเจ้าในข้อ11
3-เรื่องถือวันสะบาโตตั้งแต่ข้อ12-15
ผมขออ้างอิงกรณีวันสะบาโตก่อน เพราะเราคงจำได้ว่าพะรเยซูเจ้าพิพาทกับฟาริสีเรื่องนี้โดดเด่นหลายหนที่สุด เราจำได้ไหมครับว่าฟาริสีถืออเคร่งมากว่า ห้ามทำอะไรเลยที่จัดว่าเป็นงานในวันสะบาโตโดยเน้นอ้างที่ข้อ13-14 แต่หัวข้อของประเด็นนี้อยู่ที่ข้อ12 คือ"'จงถือวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์" ทีนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ยังไง ก็ด้วยตามที่บอกไว้ในข้อ13-14ว่าห้ามทำงานโน่นนี่ ส่วนข้อ15เป็นการบอกเหตุผลว่าทำไมควรถือวันนี้
นี่คือโครงสร้างของบทบัญญัติข้อนี้นะครับ คือมีหัวข้อ มีการอธิบายวิธีการ และมีเหตุผล
แต่ฟาริสีเน้นการปฎิบัติตามตัวอักษรจนเขาลืมเหตุผลแท้จริงว่าพระเจ้ากำหนดวันนี้ทำไม ซึ่งเราตอบได้เลยว่า
ไม่ใช่ว่าพระเจ้าต้องการให้ว่างงานวันนั้น แต่ที่จริงต้องการให้เราสละ1วันไปนมัสการพระเจ้าในวิหารหรือศาลาธรรม เจตนาที่ห้ามทำงานเพื่อให้ว่าง ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่อยากเห็นใครทำงาน ที่ขนาดแบกแคร่กลับบ้าน หรือรักษาคน ไล่ผีวันนั้นก็ไม่ได้
พระเยซูเจ้าที่น่ารักตอบพวกนั้นชัดเจน2เรื่องคือ 1วันสะบาโตควรทำดีหรือทำชั่ว และ2พระบิดาทำงานทุกวันแหละ (ไม่งั้นพืชคงไม่งอกวันสะบาโต ดวงอาทิตย์คงงดฉายแสงวันนั้น และฝนคงไม่ตกวันนั้นจริงไม๊)
นี่คือสาระสำคัญของบทบัญญัติข้อนี้ และนี่คือวิธีที่พระเยซูสอนให้เราตีความพระคัมภีร์ นั่นคือ ที่จริงพระเจ้าต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่ทำตามตัวอักษรแล้วพระเจ้าจะพอพระทัย
จำคำพูดของพระองค์ได้ไม๊ที่ว่า
(ลก 13:15)องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า ‘เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินน้ำในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควรที่จะถูกแก้จากพันธนาการนี้ในวันสับบาโตด้วยหรือ’
เห็นไม๊ครับ ว่าพระเยซูตีความพระคัมภีร์ด้วยเหตุผลของความรัก
+++++++++++++++++++++
เรากลับมาดูข้อแรก อันเป็นข้อที่พิพาทกันระหว่างนิกายเสมอมา
7“ 'อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกเหนือจากเรา
8“ 'อย่าทำรูปเคารพสำหรับตนเป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือซึ่งมีอยู่ที่แผ่นดินเบื้องล่าง หรือซึ่งมีอยู่ในน้ำใต้แผ่นดิน
9อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่า นั้นด้วยเราคือ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าหวงแหน ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชัง เรากระทั่งสามชั่วสี่ชั่วอายุ
10แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเราและปฏิบัติ ตามบัญญัติของเรากระทั่งพันชั่ว อายุ
เห็นไม๊ครับว่า โครงสร้างข้อนี้คือ
1-มีพระเจ้าสูงสุดแต่ผู้เดียวในข้อ7
2-โดยอย่านมัสการรูปเคารพในข้อ8-9
3-เพราะเหตุผลคือพระเจ้าหวงแหนเราไม่อยากให้เราไปนมัสการพระอื่นเป็นพระเจ้าในข้อ9 และยังพ่วงบทลงโทษและอวยพรไว้ในข้อ9-10
---ดังนั้นหลักใหญ่ใจความไม่ใช่เรื่องการมีรูปหรือไม่มีรูป แต่เป็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าสูงสุดแต่ผุ้เดียว
---เราคงจำได้ว่าหินบัญญัติแผ่นแรกถูกทุ่มแตกตั้งแต่ตอนโมเสสเห็นอิสราเอลนมัสการรูปวัวทอง ดังนั้น แน่ใจได้เลยว่าการห้ามทำรูปเคารพในที่นี้ พระเจ้าหมายถึงรูปเคารพในศาสนาอื่นหรือรูปเคารพของพระเจ้าที่ไม่มีจริงเช่นในกรณีวัวทองคำนั้น และหมายถึงรูปที่เอามานมัสการเทียบเท่าพระเจ้า เหมือนในศาสนาโบราณสมัยก่อนที่มีการบูชายัญต่อเทวรูปไม่ได้หมายถึงรูปของพระองค์หรือเหล่าช่าวสวรรค์เลย เพราะพระเจ้าเองทรงสั่งให้สร้างหีบพันธสัญญาที่มีรูปเครูป(เทวดาชั้นหนึ่งในสวรรค์)กางปีกอย่างชัดเจน
Exodus 25:18
พระโอวาทที่เราจะให้แก่เจ้าจงเก็บไว้ในหีบนั้น แล้วจงทำพระที่นั่งกรุณา(หรือ ฝา (หีบ)) ด้วยทองคำบริสุทธิ์ยาวสองศอกคืบ กว้างศอกคืบ
จงทำเครูบทองคำสองรูป โดยใช้ฝีค้อนทำตั้งไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาทั้งสองข้าง ทำเครูบไว้ที่ปลายพระที่นั่งกรุณาข้างละรูป ทำเครูบนั้น และให้ตอนปลายทั้งสองข้างติดเป็นเนื้อเดียวกับพระที่นั่งกรุณา ให้เครูบกางปีกออกไว้เบื้องบนปกพระที่นั่งกรุณา ไว้ด้วยปีก และให้หันหน้าเข้าหากัน ให้เครูบหันหน้ามาตรงพระที่นั่งกรุณา แล้วจงตั้งพระที่นั่งกรุณานั้นไว้บนหีบ จงบรรจุพระโอวาทซึ่งเราจะให้ไว้แก่เจ้าไว้ในหีบนั้น ณ ที่นั้น
เราจะอยู่ให้เจ้าเข้าเฝ้า และจะสนทนากับเจ้า จากเหนือพระที่นั่งกรุณาระหว่างกลางเครูบ ซึ่งตั้งอยู่บน หีบพระโอวาท เราจะสนทนากับเจ้าทุกเรื่อง
---นั่นชัดเจนว่า ทั้งโมเสส อาโรน รวมทั้งอิสราเอลทั้งหมด ก็ต้องก้มหน้านมัสการไปที่หีบที่มีรูปปั้นเทวดาทำด้วยทอง
แล้วถามว่า มันต่างกับวัวทองตรงไหน ต่างกันก็ตรงที่
1.การนมัสการวัวทองนั้นชัดแจ้งว่า นมัสการพระเท็จเทียม เป็นพระเจ้าอื่นที่สร้างขึ้นเอง จิตนาการขึ้นเองไม่มีจริง แล้วยกขึ้นแทนที่พระเจ้า
2.แต่การนมัสการพระเจ้าในจุดที่มีรูปปั้นเครูปนั้น แม้จะมีรูปปั้นเครูปกางปีกทนโท่เราก็รู้อยู่ดีวว่าเรากำลังคุยกับใคร และพระเจ้าของเราคือใคร พระเจ้าคือพระจิตที่ลงมาตรงจุดนั้นไม่ใช่ตัวรูปปั้นหรือตัวหีบนั้น เรารู้ดีว่าเครูบคือชาวสวรรค์ที่รับใช้พระเจ้า

(อิสราเอลเดินแห่หีบ แถมถวายกำยานให้ด้วย ทั้งที่หีบ เครูบ หรือแผ่นบัญญัติ โดยตัวมันเองก็ไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย)
---ดังนั้น แปลง่ายๆว่า ถ้าเราไหว้กางเขน หรือไหว้ไปทางรูปพระเยซู เราไม่ได้ไหว้วัสดุนั้น เรารู้ตัวว่าเราไหว้พระเยซูเจ้าผู้มีตัวตนจริงและเป็นพระเจ้า เหล่าเทวดานักบุญก็เช่นกัน ต่อให้เรายกมือไหว้รูปพวกท่าน ถามว่า"เราคิดว่าท่านเป็นพระเจ้าหรือเปล่า" ถ้าเรารู้แก่ใจว่าเราไหว้ท่านในฐานะไหนแล้วมันจะเป็นการผิดบัญญัติข้อ1นี้ได้ยังไง
ในเมื่อมันชัดเจนในเหตุผลว่า ที่พระเจ้าห้ามในสมัยนั้นเพราะไม่อยากให้เราไหว้พระเท็จเทียม(ซึ่งในสมัยนั้นคือลัทธิบูชาเทวรูปต่างๆที่สร้างจินตนาการเป็นเทวนิยายเอาเองไม่มีจริง) เพราะพระองค์หวงแหนเรา
ไม่ใช่เพราะพระองค์เกลียดงานศิลปะ จิตกรรม และปะติมากรรม
ดังนั้นการสร้างเทวรูปบูชาสมัยโบราณ คมันคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง กับการวาดรูปไอคอนในออโธอดอค หรือการมีรูปศักดิ์สิทธิ์ในคาทอลิค
ดังนั้น ถ้าต้องการเส้นแบ่งที่"รูปแบบการกระทำ" คุณจะหลงทางทันทีเหมือนกรณีไม่ทำงานอะไรเลยในวันสะบาโตในสมัยพระเยซู
แต่การแยกแยะนั้นอยู่ที่ว่า
-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่ารูปเป็นเพียงรูป และตัวจริงท่านเหล่านั้นอยู่ในสวรรค์แล้ว
-คนที่ไหว้นั้นรู้หรือไม่ว่าท่านเหล่านั้นอธิษฐานวอนขอพระเจ้าให้เราไม่ได้เป็นความขลังของรูปที่ส่งอำนาจออกมา แต่สิ่งที่ได้มาจากพระเจ้า ที่สดับฟังการอธิษฐานเผื่อเราของท่าน
ถ้าเขารู้สิ่งเหล่านี้ ต่อให้ถวายช่อดอกไม้แก่รูปพระ ก็ไม่ต่างอะไรกับการวางพวงมาลาตามอนุสาวรีย์วีรบุรุษ หรือการวางดอกไม้บนหลุมศพ ที่เราก็รู้อยู่แล้วว่าคนตายไม่ดม และนั่นเป็นเพียงศพไม่ใช่ว่าวิญญาณจะอยู่ตรงนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพที่มองเห็นได้ เราแยกแยะได้ว่านี่ไม่ใช่การนมัสการพระเจ้า แต่พอเราทำสิ่งเดียวกันกับวีรบุรุษและวีรสตรีทางศาสนาเราเอง เรากลับแยกแยะไม่ออกขึ้นมา มองว่าเป็นการนมัสการรูปเคารพได้อย่างไร
ดังนั้นถ้าเขาจะยกมือไหว้รูปนักบุญ ในฐานะที่ท่านเป็นบรรพบุรุษทางความเชื่อของเรา ที่เรายกย่อง เป็นวีรบุรุษวีรสตรีทางศาสนาของเรา สมมุติว่าท่านมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเราตอนนี้ ถามตัวเองว่าเราจะแสดงความเคารพท่านไหม แล้วมันเป็นการนมัสการพระเจ้าอื่นตรงไหน ถึงพูดว่า "เหมือนการนมัสการรูปเคารพ" นั่นอาจแปลว่าคนทำแยกแยะได้ว่าไหว้คนนี้ในฐานะไหน แต่คนที่มายืนมองกลับแยกแยะไม่ออก
ดังนั้น เราจงเข้าใจบทบัญญัติข้อนี้เหมือนกรณีบทบัญญัติวันสะบาโต
ว่าพระเจ้าตั้งมันขึ้นมาเหตุผลคืออะไร เพื่อให้เรานมัสการพระเจ้าแต่ผู้เดียว เพราะพระเจ้าหวงแหนเราใช่หรือไม่
ในกาลเวลาสมัยนั้นไม่เคยมีใครเห็นพระเจ้า เชื่อกันว่าใครมองพระเจ้าจะต้องตาย
ปฐก32-30
ยาโคบจึงเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล(แปลว่า พระพักตร์พระเจ้า) กล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่”
อพยพ 3:6:
แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า
---ดังนั้นการปั้นรูปหรือวาดรูปพระเจ้าจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระองค์
แต่เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงกลายเป็นพระเจ้าที่มองเห็นได้
ยน 14:7
ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราท่านก็รู้จักพระบิดาของเราด้วย
บัดนี้ ท่านก็รู้จักพระบิดา
และเห็นพระองค์แล้ว
ฟิลิปทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด เท่า
นี้ก็พอแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสว่า ”ฟิลิปเอ๋ย เราอยู่กับท่านมานานเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ”
‘
ผู้ที่เห็นเรา ก็เห็นพระบิดาด้วย ท่านพูดได้อย่างไรว่า “โปรดทำให้พวกเราได้เห็นพระบิดาเถิด”
---ดังนั้นพระเยซูเจ้าทำลายกำแพงที่กั้นเราให้เหินห่างจากพระเจ้าทั้งหมดไป และนี่คือทำไมชาวยิวจึงรับไม่ได้ เพราะเขาคิดว่ามันขัดกับพระธรรมเก่าว่าพระเจ้าต้องมองไม่เห็น มาเกิดเป็นลูกมนุษย์ก็ไม่ได้ ดังนั้นในสมัยก่อนเราไม่มีทางทำรูปหรือปั้นรูปของพระเจ้า แต่สมัยนี้เราวาดรูป และปั้นรูปของพระเยซูได้ และเราทำรูปผู้รับใช้ของพระองค์เหมือนสมัยก่อนที่ทำรูปพระเจ้าไม่ได้แต่ก็ยังทำรูปเทวดาเครูบได้
ดังนั้นคำว่าห้ามทำงานในบัญญัติเรื่องสะบาโต กลับถูกอธิบายโดยพระเยซูว่าทำความดีในวันนั้นไม่ได้ผิดบทบัญญัติข้อว่าจงรักษาวันสะบาดตให้บริสุทธิ์ เช่นกันการมีพระรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆในพระศาสนจักรรวมถึงการแสดงออกถึงความรักและการให้เกียรติโดยอาศัยรูปเป็นสื่อก็เป้นการกระทำเพื่อให้คนเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่ห่างเหินพระเจ้าออกไป ก็ไม่ได้ผิดบทบัญญติที่ว่าจงนมัสการพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า แต่อย่างใดเลย
การสร้างรูปพระเทียมเท็จไว้นมัสการทำให้เราห่างออกจากพระเจ้า ซึ่งตรงข้ามกับการมีรูปเทวดานักบุญ แม่พระ พระเยซู ซึ่งมีแต่จะทำให้ชาวบ้านทั้งหลายได้ใกล้ชิดและเข้าถึงพระเจ้าได้ง่ายขึ้น เหมือนการรักษาโรคหรือไล่ผีของพระเยซูในวันสะบาโต ที่ไม่ใช่ทำให้ห่างเหินพระเจ้า เหมือนการทำงานหาเงินเพลินจนลืมไปนมัสการ แต่ตรงข้ามเป็นสิ่งที่แสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่พระเจ้าพอพระทัยมากและกลับกลายเป็นการนำพระวาจาที่สอนในวันนั้นไปปฎิบัติ ยอดเยี่ยมกว่าฟังและนมัสการเสร็จแล้วกลับไปนอนที่บ้านเพื่อรักษวันสะบาโตซะอีก
ถึงตรงนี้แล้วเชื่อว่าคงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนะครับ
แล้วเชื่อว่าพระจิตเจ้า จะทำให้เราได้เข้าใจทุกอย่างตามที่พระเจ้าทรงต้องการ
ขอพระนามพระเจ้าได้รับการสรรเสริญ
อาแมน