+ ประสบการ์ณกับวิญญาณครั้งแรกในชีวิตผม +
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 23, 2006 3:23 am
ช่วง 4 วันที่ผ่านมาผมมีงานต้องไปทำที่เชียงใหม่โดยที่เดินทางตั้งแต่วันที่ 18 ตอนเย็น ก่อนไปผมก็ได้จัดเตรียมกระเป๋าเก้บของทุกอย่างแต่ครั้งนี้แปลกประหลาดกว่าครั้งอื่นคือมีแรงบันดาลใจอะไรไม่รู้ ที่ทำให้ผมต้องนำไม้กางเขนที่บรรจุเหรียญของนักบุญเบเนดิกต์(ที่ใช้ในพิธีไล่ผี) และน้ำเสกไปด้วย เพราะปรกติแล้วผมไม่เคยหิ้วไปไหนเลย จะหิ้วไปก็แค่สายประคำเท่านั้น
การเดินทางเริ่มต้นที่สถานีรถไฟสามเสน พอขึ้นรถไฟมาแล้วผมก็สวดขอให้พระเยซูเจ้าไปทำงานกับผมในครั้งนี้ด้วยและผมอุ่นใจมากเมื่อรับรู้ได้ว่าพระองค์ประทับอยู่กับผม ณ ที่นั่นจริงๆ เมื่อรถไฟวิ่งมาได้สัก 2 ชั่วโมงแอร์ก็ดับโดยที่ดับเฉพาะโบกี้ของผมโบกี้เดียว และไฟก็ดับด้วย นั่นหมายถึงโบกี้ของผมนั้นมีแค่พัดลม(เครื่องยนต์ก็ดับ)ทำให้บรรยากาศตอนนั้นอบอ้าวและร้อนมากๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ว่านอนไม่หลับก็เลยออกไปยืนตากลมตรงข้อต่อระหว่างโบกี้แล้วก็เงยหน้าไปบนท้องฟ้าเห็ยดวงดาวมากมายที่ไม่สามารถมองไม่เห็นได้ในกรุงเทพ ทำให้ผมนึกถึงผู้ที่สร้างดวงดาวเหล่านั้นขึ้นมาและก็สวดภาวนาอยุ่ในใจมีความสุขมากทีเดียว พอง่วงก็เดินเข้ามาในโบกี้(ที่ร้อนอบอ้าว)แล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่แล้วผมและทีมงานทุกๆคนเพลียมากเพราะเสียเหงื่อไปทั้งตัวอีกทั้งรถไฟดีเลย์ไป 3 ช.ม เพราะอย่างที่บอกโบกี้ของผมไฟดับทำให้เครื่องยนตของ 2 โบกี้ที่เหลือต้องทำงานหนักทำให้ต้องจอดพักเพื่อเอาหัวรถจักรมาลากเป็นระยะๆ พอมาถึงก็มีทีมงานที่เป็น staff ที่มาถึงก่อนมารอรับไปที่พัก โดยที่พวกเราทุกคนได้ไปพักที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็ขึ้นรถไฟ ในระหว่างเดินทางนั้นก็มีทีมงานคนนึงที่มาพักอยู่ก่อนหน้านั้นเล่าขึ้นมาว่า
"เนี๊ยะก่อนเข้าอะ ไหว้เจ้าที่ก่อนนะ เพราะเจอมาหลายคนแล้ว"
ผมก็คิดในใจ (เอาแล้วไง เรื่องผีๆสางๆอีกแล้ว- -) พี่เขาเล่าว่าโดนไปหลายคนแล้วเช่น
1. นอนๆอยู่ก็มีเสียงคนคุยกันหน้าห้องแต่พอเปิดไปแล้วก็ไม่มีใคร
2.พี่ที่อยู่ฝ่ายเครื่องเสียงทดสอบอัดเสียง แล้วมีเสียงผู้หญิงหัวเราะแทรกเข้ามา
3.เวลาอาบน้ำ ก็มีเหมือนห้องข้างๆมาอาบด้วยแต่พอเดินผ่านหันไปดูกลับพบว่าพื้นห้องน้ำแห้งสนิท
ฯลฯ
ซึ่งทำให้ผมขนลุกทันที แต่ไม่ใช่ขนลุกเพราะกลัว แต่ขนลุกเพราะนึกได้ว่ามีการดลใจบางอย่างที่ทำให้ต้องเอาน้ำเสกและไม้กางเขนของนักบุญเบเนดิกต์มา ทั้งๆที่ไม่เคยพกไปไหนมาไหนมาก่อน ทำให้ผมวางใจว่าตอนนี้ผมอยู่ภายใต้การปกป้องของพระเป็นเจ้าแน่นอน แต่ในใจนึงประสามนุษย์ที่กลัวผีมากๆอย่างผมก็กลัวแทบดิ้นตาย เมื่อถึงที่พักเราก็ขนของขึ้นไปโดยที่พักนั้นเป็นหอพักของนักศึกษาซึ่งเราก็ได้ขนของขึ้นไปชั้น 4 ซึ่งเป็นที่พักของเรา ระหว่างเดินอยู่ตรงทางเดินนั้นก็มีเสียงดัง แป๊ะ! ซึ่งดังมาก ทำให้มงานที่กำลังขนของต้องหันมาดูว่าเสียงอะไรเพราะทางเดินแคบมากๆและเพดานก็ไม่สูง ทำให้พบกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยตามธรรมชาติ คือมีรองเท้าแตะเก่าๆข้างเดียวข้างหนึ่งตกมาจากไหนไม่รู้มาอยู่ข้างหน้าของน้องคนนึงที่กำลังขนของเดินขึ้นมา ทำให้ทีมงานทุกคนรวมทั้งผมอึ้ง..ขนลุก..พูดไม่ออกไปตามๆกัน โดยเฉพาะน้องคนนั้นที่โดนรองเท้าแตะตกใส่ข้างหน้าถึงกับร้องให้เลยเพราะรองเท้านั้นร่วงผ่านหน้าน้องเค้าลงมาเลยแต่พอแหงนขึ้นไปดูทำให้เห็นว่ามันก็คือเพดานตันทั่วไปนี่เอง พอถึงห้องพักทุกคนก็รีบจัดข้าวของเข้าที่ ส่วนผมไม่รอช้าเลยรีบหยิบไม้กางเขนและน้ำเสกขึ้นมา พรมทั่วห้อง จนทำให้ทีมงานที่เห็นอดแซวไม่ได้ แล้วก็สวด ผมสวดว่า
"ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดทรงทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องพวกลูก ขอให้พระองค์ทรงบันดาลให้ห้องนี้ศักดิสิทธ์" พอเสร็จก็ลงไปกินข้าวกันข้างล่าง แล้วก็เริ่มทำงานกันพอตกเย็นก็กลับมาอาบน้ำนอนปกติ พอตื่นมาก็เป็น
เช้าของวันที่ 2
เริ่มเช้ามาอย่างสบายๆ ก็ลงมากินข้างพร้อมพี่ๆน้องๆ staff ไม่ทันไรเรื่องสยองขวัญก็เริ่มขึ้น พี่ที่พักอยู่ห้องข้างๆก็เริ่มขึ้นว่า "เมื่อคืนใครมร่งเดินอยู่ได้วะ เสียงดังchipหาย ห้องกรูทุกคนนอนไม่เต็มอิ่มกันหมดเลย" ........เกิดความเงียบขึ้น จากนั้นทำให้รู้ว่าทุกห้องในชั้นนั้นได้ยินเสียงคนเดินกันหมดทุกห้องแต่ก็อาจจะเป็นคนเดินไปเข้าห้องน้ำจริงๆก็ได้(เพราะเป็นหอพัก มีห้องน้ำรวมห้องเดียว) แต่สิ่งเกิดขึ้นคือมีห้องผมห้องเดียวที่ไม่เจออะไรเลย เมื่อทุกคนรู้ว่าห้องผมไม่เจออะไรก็เลยบอกว่าแสดงว่าห้องผมใครสักคนหนึ่งมีพระดี ก็มทีพี่ที่แซวผมพูดขึ้นว่า
"จะเจอได้ไงก็ น้องปั้มเค้าเอาไม้กางเขนอันเบ่อเร่อ กับน้ำมนต์มาด้วย"
พอพูดจบก็มีพี่คนนึงพูดขึ้นมาว่า
"เป็รคนคริสต์ก็ใช่ว่าจะไม่โดนนะ เพื่อนพี่อะโดนมาแล้ว" ซึ่งจากการที่ผมถามเขาเป็นการส่วนตัวก็พบว่าเพื่อนพี่เค้าคนนี้ได้พูดจาลบหลู่ จาบจ้วงควมเชื่อคนอื่น และท้าทาย ทำให้ผมพอจะเข้าใจเหตุผล และไม่ได้ลดความใว้วางใจในพระเป็นเจ้าของผมลง ต่อจากนั้นเราก็ออกไปทำงานกันตามปกติ และงานวันนี้เลิกดึกเพราะว่าเราต้องไปทำงานกับที่ถนนคนเดินและไนท์บาร์ซ่าด้วย พอกลับมาทุกคนก็เหนื่อยขึ้นห้องนอนกันหมด แต่สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างอนามัยนิดนึงอยากอาบน้ำแต่กลัว ก็นั่งทำใจสักพักก็ไปอาบน้ำ(คนเดียว) ยอมรับว่ากลัวมากแตก็นึกถึงพระองค์ตลอดก็เลือกห้องตรงกลางที่สว่างที่สุดก้เข้าไปอาบน้ำ อาบไปกลัวไปสักพักสิ่งที่ทำให้ผมหัวใจเกือบหยุดเต้นคือ ประตูห้องน้ำเกิดอาการสั่นอย่างรุ่นแรง เป็นอาการสั่นแบบที่ไม่ใช่มีคนมาเขย่า แต่สั่นก็คือสั่นเลยเหมือนมือถือสั่นยังไงยังงั้น ผมก็อธิบายไม่ค่อยจะถูก แต่มันสั่นแบบเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่นแบบนี้ มันสั่นเหมือนไม่มีน๊อตยึดมันใว้ ด้วยการตกใจที่สุดในชีวิตทำให้ผมอุทานขึ้นมาในใจ "ในนามของพระตรีเอกภาพ!" จากนั้นประตูก็หยุดกึก... ผมขนลุกและตกใจกลัวสุดขีด กระทั่งตอนพิมพ์อยู่ตอนี้ก็ยังเสียววูบ.... ผมท่องเพียงแต่ว่า "ขอพระองค์ทรงปกป้อง คุณแม่(หมายถึงคุณแม่มารีย์)ปั้มกลัวๆๆ" ซ้ำเป็นสิบๆรอบก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดประตู แล้วไม่ทันไรประตูก็เกิดอาการสั่นแบบบ้าคลั่งขึ้นอีกรอบ ซึ่งคราวนี้แทนที่จะตกใจอย่างเดียวผมเกิดความรู้สึกรำคาณด้วย(คล้ายๆกับผมจะคิดด้วยว่า "จะอะไรกันนักหนาเนี๊ยะ!") ทำให้มือผมลากรูปกางเขนลงไปบนประตูนั้น แล้วอาการสั่นก็หยุดลงแต่คราวนี้หยุดเลย... ผมรอสักพักให้แน่ใจว่ามันจะไม่สั่นอีก(ซึ่งจะรอทำไมก็ไม่รู้ ?) ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตุแล้วแจ๋นออกจากห้องน้ำเข้าห้องนอนทันที เมื่อกลับมาห้องพักผมก็รีบแต่งตัวและสวดๆจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และหลังจากวันนั้นอีก 2 วันที่เหลือก็ไม่มีใครเจออะไรแปลกๆอีกเลย
จบแล้วครับสำหรับเหตุการ์ณของผมถึงตอนนี้ ผมก็ยังคงกลัวผีเหมือนเดิม แต่ผมใว้วางใจพระเป็นเจ้ามากกว่าเดิม รักพระองค์มากกว่าเดิม และเชื่อในประโยคที่ว่า "ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้" มากกว่าเดิม ผมไม่รู้ว่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไร และผมจะไม่ตั้งคำถามเพื่อถามพระเป็นเจ้า เพราะผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมนั่นคือพระองค์อนุญาติ และพระองค์ไม่เคยประทานสิ่งที่เป็นผลร้ายให้แก่ลูก "ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ" สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกทุกๆคนว่า
"พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ และขอให้ทุกคนมองเหตุการ์ณต่างๆในชีวิตว่ามีพระพรอะไรซ่อนอยู่ มากกว่าจะมาตั้งคำถามเพราะคำถามและข้อสงสัยนั้นไม่มีประโยชน์และนำไปสู่ความไม่ใว้วางใจ และความตาย "
การเดินทางเริ่มต้นที่สถานีรถไฟสามเสน พอขึ้นรถไฟมาแล้วผมก็สวดขอให้พระเยซูเจ้าไปทำงานกับผมในครั้งนี้ด้วยและผมอุ่นใจมากเมื่อรับรู้ได้ว่าพระองค์ประทับอยู่กับผม ณ ที่นั่นจริงๆ เมื่อรถไฟวิ่งมาได้สัก 2 ชั่วโมงแอร์ก็ดับโดยที่ดับเฉพาะโบกี้ของผมโบกี้เดียว และไฟก็ดับด้วย นั่นหมายถึงโบกี้ของผมนั้นมีแค่พัดลม(เครื่องยนต์ก็ดับ)ทำให้บรรยากาศตอนนั้นอบอ้าวและร้อนมากๆ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ว่านอนไม่หลับก็เลยออกไปยืนตากลมตรงข้อต่อระหว่างโบกี้แล้วก็เงยหน้าไปบนท้องฟ้าเห็ยดวงดาวมากมายที่ไม่สามารถมองไม่เห็นได้ในกรุงเทพ ทำให้ผมนึกถึงผู้ที่สร้างดวงดาวเหล่านั้นขึ้นมาและก็สวดภาวนาอยุ่ในใจมีความสุขมากทีเดียว พอง่วงก็เดินเข้ามาในโบกี้(ที่ร้อนอบอ้าว)แล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ที่สถานีรถไฟเชียงใหม่แล้วผมและทีมงานทุกๆคนเพลียมากเพราะเสียเหงื่อไปทั้งตัวอีกทั้งรถไฟดีเลย์ไป 3 ช.ม เพราะอย่างที่บอกโบกี้ของผมไฟดับทำให้เครื่องยนตของ 2 โบกี้ที่เหลือต้องทำงานหนักทำให้ต้องจอดพักเพื่อเอาหัวรถจักรมาลากเป็นระยะๆ พอมาถึงก็มีทีมงานที่เป็น staff ที่มาถึงก่อนมารอรับไปที่พัก โดยที่พวกเราทุกคนได้ไปพักที่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ก็ขึ้นรถไฟ ในระหว่างเดินทางนั้นก็มีทีมงานคนนึงที่มาพักอยู่ก่อนหน้านั้นเล่าขึ้นมาว่า
"เนี๊ยะก่อนเข้าอะ ไหว้เจ้าที่ก่อนนะ เพราะเจอมาหลายคนแล้ว"
ผมก็คิดในใจ (เอาแล้วไง เรื่องผีๆสางๆอีกแล้ว- -) พี่เขาเล่าว่าโดนไปหลายคนแล้วเช่น
1. นอนๆอยู่ก็มีเสียงคนคุยกันหน้าห้องแต่พอเปิดไปแล้วก็ไม่มีใคร
2.พี่ที่อยู่ฝ่ายเครื่องเสียงทดสอบอัดเสียง แล้วมีเสียงผู้หญิงหัวเราะแทรกเข้ามา
3.เวลาอาบน้ำ ก็มีเหมือนห้องข้างๆมาอาบด้วยแต่พอเดินผ่านหันไปดูกลับพบว่าพื้นห้องน้ำแห้งสนิท
ฯลฯ
ซึ่งทำให้ผมขนลุกทันที แต่ไม่ใช่ขนลุกเพราะกลัว แต่ขนลุกเพราะนึกได้ว่ามีการดลใจบางอย่างที่ทำให้ต้องเอาน้ำเสกและไม้กางเขนของนักบุญเบเนดิกต์มา ทั้งๆที่ไม่เคยพกไปไหนมาไหนมาก่อน ทำให้ผมวางใจว่าตอนนี้ผมอยู่ภายใต้การปกป้องของพระเป็นเจ้าแน่นอน แต่ในใจนึงประสามนุษย์ที่กลัวผีมากๆอย่างผมก็กลัวแทบดิ้นตาย เมื่อถึงที่พักเราก็ขนของขึ้นไปโดยที่พักนั้นเป็นหอพักของนักศึกษาซึ่งเราก็ได้ขนของขึ้นไปชั้น 4 ซึ่งเป็นที่พักของเรา ระหว่างเดินอยู่ตรงทางเดินนั้นก็มีเสียงดัง แป๊ะ! ซึ่งดังมาก ทำให้มงานที่กำลังขนของต้องหันมาดูว่าเสียงอะไรเพราะทางเดินแคบมากๆและเพดานก็ไม่สูง ทำให้พบกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยตามธรรมชาติ คือมีรองเท้าแตะเก่าๆข้างเดียวข้างหนึ่งตกมาจากไหนไม่รู้มาอยู่ข้างหน้าของน้องคนนึงที่กำลังขนของเดินขึ้นมา ทำให้ทีมงานทุกคนรวมทั้งผมอึ้ง..ขนลุก..พูดไม่ออกไปตามๆกัน โดยเฉพาะน้องคนนั้นที่โดนรองเท้าแตะตกใส่ข้างหน้าถึงกับร้องให้เลยเพราะรองเท้านั้นร่วงผ่านหน้าน้องเค้าลงมาเลยแต่พอแหงนขึ้นไปดูทำให้เห็นว่ามันก็คือเพดานตันทั่วไปนี่เอง พอถึงห้องพักทุกคนก็รีบจัดข้าวของเข้าที่ ส่วนผมไม่รอช้าเลยรีบหยิบไม้กางเขนและน้ำเสกขึ้นมา พรมทั่วห้อง จนทำให้ทีมงานที่เห็นอดแซวไม่ได้ แล้วก็สวด ผมสวดว่า
"ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดทรงทูตสวรรค์ของพระองค์มาปกป้องพวกลูก ขอให้พระองค์ทรงบันดาลให้ห้องนี้ศักดิสิทธ์" พอเสร็จก็ลงไปกินข้าวกันข้างล่าง แล้วก็เริ่มทำงานกันพอตกเย็นก็กลับมาอาบน้ำนอนปกติ พอตื่นมาก็เป็น
เช้าของวันที่ 2
เริ่มเช้ามาอย่างสบายๆ ก็ลงมากินข้างพร้อมพี่ๆน้องๆ staff ไม่ทันไรเรื่องสยองขวัญก็เริ่มขึ้น พี่ที่พักอยู่ห้องข้างๆก็เริ่มขึ้นว่า "เมื่อคืนใครมร่งเดินอยู่ได้วะ เสียงดังchipหาย ห้องกรูทุกคนนอนไม่เต็มอิ่มกันหมดเลย" ........เกิดความเงียบขึ้น จากนั้นทำให้รู้ว่าทุกห้องในชั้นนั้นได้ยินเสียงคนเดินกันหมดทุกห้องแต่ก็อาจจะเป็นคนเดินไปเข้าห้องน้ำจริงๆก็ได้(เพราะเป็นหอพัก มีห้องน้ำรวมห้องเดียว) แต่สิ่งเกิดขึ้นคือมีห้องผมห้องเดียวที่ไม่เจออะไรเลย เมื่อทุกคนรู้ว่าห้องผมไม่เจออะไรก็เลยบอกว่าแสดงว่าห้องผมใครสักคนหนึ่งมีพระดี ก็มทีพี่ที่แซวผมพูดขึ้นว่า
"จะเจอได้ไงก็ น้องปั้มเค้าเอาไม้กางเขนอันเบ่อเร่อ กับน้ำมนต์มาด้วย"
พอพูดจบก็มีพี่คนนึงพูดขึ้นมาว่า
"เป็รคนคริสต์ก็ใช่ว่าจะไม่โดนนะ เพื่อนพี่อะโดนมาแล้ว" ซึ่งจากการที่ผมถามเขาเป็นการส่วนตัวก็พบว่าเพื่อนพี่เค้าคนนี้ได้พูดจาลบหลู่ จาบจ้วงควมเชื่อคนอื่น และท้าทาย ทำให้ผมพอจะเข้าใจเหตุผล และไม่ได้ลดความใว้วางใจในพระเป็นเจ้าของผมลง ต่อจากนั้นเราก็ออกไปทำงานกันตามปกติ และงานวันนี้เลิกดึกเพราะว่าเราต้องไปทำงานกับที่ถนนคนเดินและไนท์บาร์ซ่าด้วย พอกลับมาทุกคนก็เหนื่อยขึ้นห้องนอนกันหมด แต่สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างอนามัยนิดนึงอยากอาบน้ำแต่กลัว ก็นั่งทำใจสักพักก็ไปอาบน้ำ(คนเดียว) ยอมรับว่ากลัวมากแตก็นึกถึงพระองค์ตลอดก็เลือกห้องตรงกลางที่สว่างที่สุดก้เข้าไปอาบน้ำ อาบไปกลัวไปสักพักสิ่งที่ทำให้ผมหัวใจเกือบหยุดเต้นคือ ประตูห้องน้ำเกิดอาการสั่นอย่างรุ่นแรง เป็นอาการสั่นแบบที่ไม่ใช่มีคนมาเขย่า แต่สั่นก็คือสั่นเลยเหมือนมือถือสั่นยังไงยังงั้น ผมก็อธิบายไม่ค่อยจะถูก แต่มันสั่นแบบเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่นแบบนี้ มันสั่นเหมือนไม่มีน๊อตยึดมันใว้ ด้วยการตกใจที่สุดในชีวิตทำให้ผมอุทานขึ้นมาในใจ "ในนามของพระตรีเอกภาพ!" จากนั้นประตูก็หยุดกึก... ผมขนลุกและตกใจกลัวสุดขีด กระทั่งตอนพิมพ์อยู่ตอนี้ก็ยังเสียววูบ.... ผมท่องเพียงแต่ว่า "ขอพระองค์ทรงปกป้อง คุณแม่(หมายถึงคุณแม่มารีย์)ปั้มกลัวๆๆ" ซ้ำเป็นสิบๆรอบก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดประตู แล้วไม่ทันไรประตูก็เกิดอาการสั่นแบบบ้าคลั่งขึ้นอีกรอบ ซึ่งคราวนี้แทนที่จะตกใจอย่างเดียวผมเกิดความรู้สึกรำคาณด้วย(คล้ายๆกับผมจะคิดด้วยว่า "จะอะไรกันนักหนาเนี๊ยะ!") ทำให้มือผมลากรูปกางเขนลงไปบนประตูนั้น แล้วอาการสั่นก็หยุดลงแต่คราวนี้หยุดเลย... ผมรอสักพักให้แน่ใจว่ามันจะไม่สั่นอีก(ซึ่งจะรอทำไมก็ไม่รู้ ?) ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตุแล้วแจ๋นออกจากห้องน้ำเข้าห้องนอนทันที เมื่อกลับมาห้องพักผมก็รีบแต่งตัวและสวดๆจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง และหลังจากวันนั้นอีก 2 วันที่เหลือก็ไม่มีใครเจออะไรแปลกๆอีกเลย
จบแล้วครับสำหรับเหตุการ์ณของผมถึงตอนนี้ ผมก็ยังคงกลัวผีเหมือนเดิม แต่ผมใว้วางใจพระเป็นเจ้ามากกว่าเดิม รักพระองค์มากกว่าเดิม และเชื่อในประโยคที่ว่า "ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้" มากกว่าเดิม ผมไม่รู้ว่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเรียกว่าอะไร และผมจะไม่ตั้งคำถามเพื่อถามพระเป็นเจ้า เพราะผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นกับผมนั่นคือพระองค์อนุญาติ และพระองค์ไม่เคยประทานสิ่งที่เป็นผลร้ายให้แก่ลูก "ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ" สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกทุกๆคนว่า
"พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ และขอให้ทุกคนมองเหตุการ์ณต่างๆในชีวิตว่ามีพระพรอะไรซ่อนอยู่ มากกว่าจะมาตั้งคำถามเพราะคำถามและข้อสงสัยนั้นไม่มีประโยชน์และนำไปสู่ความไม่ใว้วางใจ และความตาย "