มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" คำกล่าวนี้ได้สะท้อนถึงความสำคัญที่เราจำเป็นต้องรู้จักศัตรูของเรา หากเราปรารถนาที่จะมีชัยชนะในสงคราม ในชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน เรารู้ว่าเรากำลังอยู่ในสงครามฝ่ายจิตวิญญาณ เราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ แต่เรากำลังต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วต่างๆ เหมือนกับที่บอกในพระธรรมเอเฟซัส 6:12 ว่า
"เพราะเรามิได้ต่อสู้กับพลังมนุษย์ แต่ต่อสู้กับเทพนิกรเจ้า และเทพนิกรอำนาจ ต่อสู้กับผู้ปกครองพิภพแห่งความมืดมนนี้ ต่อสู้กับบรรดาจิตแห่งความชั่วร้ายที่อยู่บนท้องฟ้า"
ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำความรู้จักกับศัตรูของเรา เพื่อที่เราจะได้รู้จักยุทธอุบายต่างๆของมันและระวังตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของศัตรูได้
ความงามอันก่อให้เกิดความทะนงตน

เมื่อเราพูดถึงผีมารซาตาน คนทั่วไปมักจะนึกถึงตัวประหลาดที่มีเขา 2 เขา หรือผีที่มีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วพระคัมภีร์บอกเราว่าซาตานนั้นเป็นทูตสวรรค์ชั้นสูง มีรูปร่างงดงาม ฉลาด เป็นทูตสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบ และพระเจ้าได้ทรงตั้งให้อยู่ท่ามกลางเครูป ดังที่ปรากฏในพระธรรมเอเสเคียล 28:12 - 15
"บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเปล่งเสียงบทคร่ำครวญเพื่อกษัตริย์เมืองไทระ และจงกล่าวแก่ท่านว่าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าเป็นตราแห่งความสมบูรณ์แบบเต็มด้วยสติปัญญาและมีความงามอย่างพร้อมสรรพ เจ้าอยู่ในเอเดนพระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า คือทับทิม บุษราคัมน้ำอ่อน เพชร เพทาย โกเมน และมณีโชติ ไพฑูรย์ มรกต และเบริล เพชรพลอยเหล่านี้ฝังในทองคำและลวดลายแกะสลักก็เป็นทองคำ สิ่งเหล่านั้นจัดเตรียมไว้ในวันที่สร้างเจ้าขึ้นมา เราตั้งเจ้าให้อยู่กับเครูบ ผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้ เจ้าอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า และเจ้าเดินอยู่ท่ามกลางศิลาเพลิง"
เป็นเหตุให้ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์

พระเจ้าไม่ได้สร้างซาตาน พระองค์สร้างแต่ทูตสวรรค์ ถ้าอย่างนั้นแล้วซาตานเกิดขึ้นได้อย่างไร? ซาตานเกิดขึ้นก็เนื่องจากความหยิ่งผยองของทูตสวรรค์ตนหนึ่งที่สมบูรณ์แบบ ที่คิดว่าตนเองรูปร่างงดงาม มีตำแหน่งสูงกว่าบรรดาทูตสวรรค์องค์อื่นๆ และฉลาดที่สุด ดังนั้นตนจึงสมควรที่จะได้รับการยกย่อง ได้รับการนมัสการแทนพระเจ้า
"จิตใจของเจ้าผยองขึ้นเพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำให้สติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลงเพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า เราเหวี่ยงเจ้าลงที่ดินแล้ว เราตีแผ่เจ้าต่อหน้ากษัตริย์ทั้งหลาย เพื่อตาของท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะเพลินอยู่ที่เจ้า"
เอเสเคียล 28:17
ความหยิ่งยโสนี้เป็นหนึ่งในความบาปที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง เหมือนกับที่บอกไว้ในพระธรรมสุภาษิต 6:16 - 19 ดังนี้
"มีหกสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงเกลียด มีเจ็ดซึ่งเป็นที่น่าเกลียดน่าชังสำหรับพระองค์ ตายโส ลิ้นมุสา และมือที่ทำโลหิตไร้ผิดให้ตก จิตใจที่คิดแผนงานโหดร้าย เท้าซึ่งรีบวิ่งไปสู่ความชั่ว พยานเท็จซึ่งหายใจออกเป็นคำมุสา และคนผู้หว่านความแตกร้าวท่ามกลางพวกพี่น้อง"
เพราะความหยิ่งผยองนี้เอง ซาตานจึงได้ถูกพระเจ้าขับไล่ออกจากสวรรค์ และถูกผลักให้ตกลงมายังโลกมนุษย์ ตกลงมายังปากแดนของคนตาย
"โอดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติตกต่ำน่ะ เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ที่อุดรไกล ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด แต่เจ้าถูกนำลงมาสู่แดนคนตาย ยังที่ลึกของปากแดน"
อิสยาห์ 14:12-15
แต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ มันถูกกำหนดให้สตรีผู้หนึ่งมาบดขยี้หัวมัน

สำหรับชื่อของซาตานนั้นมีอยู่หลายชื่อที่เรารู้จักดีก็คือ ลูซิเฟอร์ สำหรับชื่ออื่นๆก็ได้ปรากฏในพระธรรมหลายๆตอนเช่น ดาวประจำกลางวัน โอรสแห่งพระอรุณ (อิสยาห์ 14:12) กษัตริย์แห่งเมืองไทระ (เอเสเคียล 28:12) งู (ปฐมกาล 3) พระของยุคนี้ (2 โครินธ์ 4:4) เบเอลเซบูล (มัทธิว 12:24) พ่อของการมุสา (ยอห์น 8:44) พญานาค (วิวรณ์ 12:3) เป็นต้น
ซึ่งชื่อต่างๆข้างต้นนี้ได้สะท้อนถึงลักษณะของซาตานได้เป็นอย่างดี มารนั้นเป็นผู้ฆ่าคน ไม่ตั้งอยู่ในสัจจะ ไม่พูดความจริง
"ท่านมาจากปีศาจซึ่งเป็นบิดาของท่าน
ท่านต้องการทำตามความปรารถนาของบิดาของท่าน
บิดาของท่านเป็นฆาตกรมาตั้งแต่แรกเริ่ม
เขาไม่ยืนหยัดอยู่ในความจริง
เพราะความจริงไม่อยู่ในเขา
เมื่อเขาพูดเท็จ
เขาก็พูดตามธรรมชาติของเขา
เพราะเขาเป็นผู้พูดเท็จ และเป็นบิดาของการพูดเท็จ"
ยอห์น 8:44
การกบฏก็เป็นอีกลักษณะหนึ่งของมาร เหมือนกับที่มันได้กบฏต่อพระเจ้า และได้นำทูตสวรรค์หนึ่งในสามส่วนมาเป็นพวกของมันด้วย
"เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ กำลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครื่องหมายอีกประการหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาวหนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่กำลังจะคลอดบุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครองชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ของพระองค์ "
วิวรณ์ 12:1-5
ดังนั้นในฐานนะที่เราเป็นคริสเตียน เราจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้นำ เชื่อฟังหัวหน้า ผู้ปกครองบ้านเมือง แม้ว่าเราอาจจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดหรือนโยบายของเขาเหล่านั้นก็ตาม เพราะผู้นำเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า หากเราขัดขืน ไม่เชื่อฟังหรือไม่ให้ความร่วมมือ ก็เท่ากับว่าเรากบฏ และการกบฏก็คือบาปนั่นเอง
"ทุกคนจงนอบน้อมต่อผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีอำนาจใดที่ไม่มาจากพระเจ้า และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้น ผู้ที่ต่อต้านอำนาจก็ต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า และผู้ที่ต่อต้านก็จะถูกตัดสินลงโทษ "
โรม 13:1-2
พอพระเยซูกลับคืนชีพแล้ว เราก็ได้รับการไถ่ แต่มารมันยังไม่เลิกตื้อ

เรารู้ว่าที่ไม้กางเขนนั้น พระเยซูคริสต์ได้ทรงประกาศชัยชนะเหนือมารซาตาน โดยการฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม และเราผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เราก็มีชัยชนะเหมือมารซาตานด้วยเช่นกัน
"สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา"
1 โครินธ์ 15:57
แม้ว่ามารซาตานจะเป็นผู้แพ้ก็ตาม แต่มันไม่ปรารถนาที่จะพินาศเพียงผู้เดียว มันต้องการที่จะล่อลวงมนุษย์ให้พินาศไปกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สำหรับอุบายที่มันใช้ในการล่อลวงก็มีมากมาย วัตถุประสงค์ของอุบายต่างๆนั้นก็เพื่อทำให้ชีวิตเราออกห่างจากพระเจ้า ตัวอย่างของอุบายที่ซาตานใช้ก็เช่น การกล่าวโทษ โดยเฉพาะในยามที่เราพลาดพลั้งทำบาป มันจะพยายามกล่าวโทษเรา ทำให้เรารู้สึกผิดจนไม่อยากที่จะกลับเข้ามาหาพระเจ้าอีก หากเราหลงกลอุบายของมัน ชีวิตเราก็จะห่างจากพระเจ้าและมีแนวโน้มที่จะหลงไป อย่างไรก็ตามให้เรายึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ที่ว่าจะยกโทษบาปทั้งสิ้นให้เราเมื่อเราสารภาพของเราต่อพระองค์
"ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเราและจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น"
1 ยอห์น 1:9
บิดาแห่งการมุสา

นอกจากการกล่าวโทษแล้ว มารมักจะพูดในสิ่งที่เราอยากฟังหรืออยากจะทำ เหมือนกับที่มันล่อลวงเอวาโดยการโกหกว่าหากกินผลไม้ต้องห้ามแล้วจะไม่ตาย และยังเสริมอีกว่าถ้ากินแล้วจะกลายเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้จักความดีและความชั่ว เมื่อการโกหกบวกกับความจริงและสิ่งนั้นเป็นความอยากรู้อยากเห็นของเราหรือเป็นไปตามที่ใจเราต้องการ ผลสุดท้ายก็คือความบาปนั่นเอง
" ในบรรดาสัตว์ป่าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นงูฉลาดกว่าหมด มันถามหญิงนั้นว่า จริงหรือที่พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินผลจากต้นไม้ใดๆในสวนนี้ หญิงนั้นจึงตอบงูว่า ผลของต้นไม้ต่างๆในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่าอย่ากินหรือถูกต้องเลยมิฉะนั้นจะตาย งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า เจ้าจะไม่ตายจริงดอก เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่าเจ้ากินผลไม้นั้นวันใดตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นน่ากินและน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากินแล้วส่งให้สามีกินด้วยเขาก็กิน"
ปฐมกาล 3:1-6
อุบายอีกอย่างที่สำคัญก็คือความหยิ่ง ความหยิ่งผยองนี่เองที่ทำให้มารซาตานถูกขับไล่จากสวรรค์ ความหยิ่งจึงเป็นเครื่องมือแห่งความตายที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับครั้งที่มันได้ดลใจให้กษัตริย์ดาวิดนับจำนวนประชากรอิสราเอล ทำให้กษัตริย์ดาวิดคิดว่าการที่เขารบชนะ การที่อาณาจักรอิสราเอลได้ขยายออกไปก็เพราะกำลังทหารและความสามารถของเขา แต่แท้ที่จริงแล้วชัยชนะต่างๆนั้นล้วนแล้วแต่มาจากพระเจ้าทั้งสิ้น และเพราะความผยองครั้งนี้นี่เองเป็นเหตุให้คนอิสราเอลต้องตายถึงเจ็ดหมื่นคน
"ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอลและดลพระทัยให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล ดาวิดจึงตรัสกับโยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพว่า จงไปนับอิสราเอลตั้งแต่เมืองเบเออร์เชบาถึงเมืองดาน แล้วนำรายงานมาให้เราเพื่อจะได้ทราบจำนวนรวมของเขาทั้งหลาย แต่โยอาบทูลว่า ขอพระเจ้าทรงเพิ่มประชากรของพระองค์อีกร้อยเท่าของที่มีอยู่แล้ว ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท แต่ประชาชนนี้ทั้งสิ้นเป็นผู้รับใช้ของเจ้านายของข้าพระบาทมิใช่หรือ ไฉนเจ้านายของข้าพระบาทจึงรับสั่งเช่นนี้ ไฉนพระองค์จึงทรงนำกรรมชั่วมาสู่อิสราเอล แต่โยอาบขัดรับสั่งมิได้จึงจากไปและไปตลอดคนอิสราเอลทั้งสิ้นและกลับมายังเยรูซาเล็ม และโยอาบถวายจำนวนประชาชนที่นับได้แก่ดาวิดในอิสราเอลทั้งสิ้นมีหนึ่งล้านหนึ่งแสนคนที่ชักดาบ และในยูดาห์มีสี่แสนเจ็ดหมื่นคนที่ชักดาบ แต่ในการนับนั้นท่านมิได้รวมเลวีและเบนยามิน เพราะว่าพระบัญชาของพระราชาเป็นที่น่าเกลียดแก่โยอาบ แต่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในเรื่องนี้และพระองค์ทรงลงโทษอิสราเอล"
1 พงศวดาร 21:1 - 7
แม้ว่ากลอุบายของมารนั้นจะมีมากมาย แต่เราก็สามารถเอาชนะกลอุบายเหล่านั้นได้ เคล็ดลับอยู่ที่การมีชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า ภาวนาพระคำของพระองค์เป็นประจำ และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ ให้เราลองมาดูตัวอย่างจากพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์สามารถเอาชนะการทดลองของมารได้อย่างไร
อันนี้สำคัญมากทุกคนควรอ่าน

เมื่อครั้งที่มารได้มาผจญพระเยซูนั้น มารได้ทดสอบฤทธิ์อำนาจของพระองค์ มารได้บอกให้พระเยซูเสกก้อนหินให้เป็นขนมปัง แต่พระเยซูได้ตอบกลับโดยใช้พระวจนะจาก เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3 ว่า
"มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า"
แม้ว่าการเสกก้อนหินนั้นจะไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่พระเยซูจะไม่กล่าวหรือทำอะไรตามใจตนเอง นอกจากจะพูดและทำในสิ่งที่พระบิดาทรงบัญชาเท่านั้น
"เพราะเรามิได้พูดตามใจของเรา แต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามา ได้ทรงบัญชาว่าเราต้องพูดอะไร และพูดอย่างไร เรารู้ว่า พระบัญชาของพระองค์เป็นชีวิตนิรันดร ดังนั้น สิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดดังที่พระบิดาทรงบอกกับเรา"
ยอห์น 12:49-50
เมื่อพระเยซูทรงกระทำแต่ในสิ่งที่พระเจ้ากระทำ ดังนั้นเราก็ควรที่จะเลียนแบบพระเยซูเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการทดลองของมาร หลังจากนั้นมารได้ท้าทายสิทธิอำนาจในการเป็นพระบุตรของพระเจ้าของพระเยซู โดยการท้าให้กระโดดจากหลังคาพระวิหาร เป็นที่น่าสังเกตว่ามารนั้นก็รู้พระคัมภีร์ดี และฉลาดมากด้วย เพราะมารบอกว่าทุกสิ่งที่กล่าวในพระคัมภีร์นั้นเป็นความจริง และถ้าหากพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ทูตสวรรค์ก็จะต้องมารักษาพระองค์ให้ปลอดภัย หากเราไม่รู้จักพระคัมภีร์ดีพอ เราอาจจะหลงกลมันก็เป็นได้ เราจำเป็นต้องรู้และเข้าใจในพระคำของพระเจ้าเหมือนกับที่พระเยซูรู้และได้ตอบมันกลับไปว่าการทดสอบพระเจ้านั้นก็เท่ากับการขาดความเชื่อในพระเจ้า
"อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน" เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16
เราจะเห็นได้ว่ามารไม่เคยลดความพยายามในการทดลองเรา เหมือนกับที่ได้ทดลองพระเยซู ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้ง โดยในครั้งสุดท้ายนั้นได้ใช้อำนาจ ความมั่งคั่ง และเกียรติยศมาล่อลวงพระองค์ อย่างไรก็ตามการเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เพราะ
"โลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์" 1 ยอห์น 2:17
ความบาปและสิ่งไม่ดีต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นเป็นเพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก ถ้าอาดัมและเอวาเชื่อฟังเหมือนกับที่พระเยซูทรงเชื่อฟังพระบิดา โลกก็คงจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ เมื่อพระเยซูทรงตอบมารว่า
"จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่านและปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว" เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13
พร้อมกับขับไล่มัน มารซาตานจึงจากไป ถ้าหากพระเยซูไม่ขับไล่มันไป มันอาจจะทดลองพระองค์ต่อก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญก็คือการที่เราต้องต่อสู้กับมารเมื่อมันมาทดลองเรา เหมือนกับที่พระเยซูได้ทรงกระทำ และการต่อสู้ของเราจะทำให้เราได้รับชัยชนะเหมือนกับที่พระเยซูได้ชนะนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราอยู่ฝ่ายที่ชนะแล้ว และในพระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างชัดเจนว่าหากต่อสู้กับมาร มันก็จะหนีเราไป
"ท่านทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า จงต่อต้านปีศาจ แล้วมันจะหลบหนีไปจากท่าน" ยากอบ 4:7