+ เฝ้าศีลแบบ....ถ้ำมอง! ณ ต่างแดน +
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 06, 2006 1:26 am
เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเดินทางไกล คราวนี้ไปไกลหน่อยครับไปทำงานถึงที่สิงคโปร์โดยขึ้นเครื่องตอนบ่ายสองเมื่อวันจันทร์ที่ 3 โดยก่อนไปคราวนี้ผมก็ไม่รู้จะเจออะไรก็เลยนำน้ำเสกไปด้วย ;) แต่ไม่ได้เอากางเขนไป...เครื่องลงตอนประมาณ 6 โมงของเวลาสิงคโปร์(ประเทศไทยประมาณ 4 โมง 45) ก็ได้เข้าที่พักในโรงแรม ก็พบว่าโรงแรมดีทีเดียวไม่น่ากลัวเท่าไหร่ก็ขึ้นห้องพักแต่ด้วยความไม่ประมาทผมก็ไม่ลืมที่จะพรมห้องด้วยน้ำเสกเหมือนเคย แล้วก็ลงมาเดินเล่นแถวๆนั้นสักพักก็พบว่ามีโบสถ์คือโบสถ์ St.Pual & Peter อยู่ถัดไป 1 ช่วงตึกแถว และที่ติดๆกับโรงแรมก็เจออีกโบสถ์หนึ่งคือโบสถ์ Fatima แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปในโบสถ์เพราะคิดว่าอยู่ตั้ง 3 วัน เดี๋ยวค่อยหาเวลามานั่งเฝ้าศีลเงียบๆดีกว่า...แล้วก็เดินกลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวไปกินข้าวเย็น พอไปถึงร้านอาหารก็เริ่มสั่งอาหารกัน...ตอนนี้ผมก็พบว่าคนสิงคโปร์เวลาพูดภาษาอังกฤษนั้นฟังยากมากๆเพราะสำเนียงเขาจะออกไปในทางจีนๆปนแขกนิดๆ ทำให้เกิดอาการลำบากเวลาสั่งอาหาร พอกินเสร็จผมก็ไปละลายทรัพย์(ช๊อปแหลก)กับพวกพี่ๆเขา พอกลับมาถึงห้องพักก็เหนื่อยมากทำให้แผนที่ว่าจะไปเฝ้าศีลต้องอดไปหนึ่งวัน
วันที่สอง...เป็นวันที่ต้องทำงานจริงๆแล้ว เตรียมงานตั้งแต่ 6 โมง ไปที่ต่างๆในสิงคโปร 8 แห่ง เดินตลอดพูดตลอด เสร็จที่นึงก็ต้องไปอีกที่นึงทันทีไม่ได้พักเลย เวลาพักมีแค่ตอนขึ้นรถเท่านั้นก็ถือโอกาสหลับสักงีบแม่สัก 10 นาทีก็ยังดี(รถบ้านเค้าไม่ติดเหมือนบ้านเรา นั่งสักพักก็ถึงแล้ว)ก่อนนอนก็เลยสวดขอพละกำลังจากพระเยซูเจ้าแล้วก็งีบหลับไป.. ก็แปลกตรงที่ว่าตื่นมาทุกครั้งก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้พักผ่อนนานๆทำให้มีแรงขึ้นมาทุกครั้งที่ตื่นไม่เพลีย พอตกเย็นหลังกินข้าวอะไรเสร็จแล้ว ก็ต้องไปอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นที่สุดท้ายแล้ว.. พอเสร็จปุ๊บก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆก็กลับมาที่พักกันทุกคน..ตอนนี้ต่างคนต่างเพลียก็รีบอาบน้ำนอนกันหมด แต่สำหรับผมแล้วผมอยากไปเฝ้าศีล ก็เลยล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปโบสถ์(ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ) กะว่าโบสถ์ปิดก็ไม่เป็นไรนั่งเฝ้าศีลอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ พอไปถึงโบสถ์ก็พบว่าประตูรั้วโบสถ์ปิดแล้ว มีป้ายอันเบ้อเร่มว่า "don't jump over the fence!!" แปลว่า "ห้ามกระโดดข้ามประตูรั้ว!!" ผมก็คิดว่าจะเอายังไงดี นั่งข้างถนนเฝ้าศีลก็พอไหวนะแต่คนจะหาว่าบ้าเนี๊ยะสิ..ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นบันไดสำหรับช่างไฟที่เค้าติดไฟตามขอบรั้วโบสถ์พาดอยู่.. ผมก็คิดว่า"อื่ม.....เค้าห้ามกระโดดข้ามรั้ว แต่ไม่ได้ห้ามปีนข้ามรั้วนี่หว่า 555+" ผมก็เลยมองซ้าย-ขวา แล้วปีนข้ามรั้วโบสถ์ไปเฝ้าศีลซึ่งเป็นประสบการ์ณการเฝ้าศีลที่ตื่นเต้นและแหวกแนวที่สุดในชีวิต พอไปถึงหน้าโบสถ์ประตูโบสถ์ก็ปิดแล้วทำเอาผมเซ็งเล็กน้อย(มันก็แน่อยู่แล้วตอนนั้นเกือบจะตี 1 แล้ว)ผมก็ไม่รู้จะทำไง ก็เลยเคาะประตูโบสถ์ 3 ที แล้วกระซิบเบาๆที่ประตูโบสถ์ว่า "นี่ๆพระองค์ ปั้มมาเยี่ยมถึงสิงคโปรแล้วไม่คิดจะมาเปิดประตูให้หน่อยหรอครับ?".... เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ ผมก็เลยเฮ้อ...สงสัยจะไม่มาเปิดให้จริงๆซะละมั้งก็เลยนั่งหน้าโบสถ์สวดภาวนาและก็คุยเล่นกับพระองค์สักพักไม่ถึง 5 นาที ตาก็เหลือบไปเห็นแสงสีแดงตรงประตู..ก็พบว่าประตูมันมีรูปเบ้อเร่อ แล้วเมื่อมองลอดรูเข้าไปก็จะเจอตู้ศีลอยู่ตรงระดับสายตาเป๊ะๆเลย ตอนนั้นขนลุกวูบเลยไม่มีคำพูดอะไรจะพูดได้นอกจากขอบคุณพระองค์ "ขอบคุณครับ :)" แต่มานึกอีกทีก็ขำตัวเองยังไงไม่รู้หยั่งกับถ้ำมองเลย555+ ปีนรั้วเข้ามาแอบดูพระเยซูเจ้าในตู้ศีลมหาสนิทผ่านรูกลมๆบรรยากาศการเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าวันนั้นเลยเป็นไปอย่างสนุกสนานแบบแปลกๆ และก็มีความสุขแบบแปลกๆด้วย และแล้วก็ถึงเวลาอันควรที่ผมต้องเข้านอนแล้วเพราะพี่ๆที่โรงแรมวิทยุมาหาผมก้เลยต้องกลับออกมา แต่ขาออกทุลักทุเลหน่อยเพราะบันไดที่ปีนเข้ามามันอยู่ด้านนอกทำให้เสียเวลาไปมากกับการปีนรั้วออกไปทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าสงสัยพระเยซูเจ้าคงยังไม่อยากให้ไป ::) ผมเลยสัญญากับพระองค์ว่าจะมาเฝ้าศีลบ่อยๆไม่ให้พระองค์เหงาหรอกน่า แล้วก็ใช้เวลาพอสมควรถึงจะปีนออกมาได้ พอถึงที่พักก็เจอกับเสียงบ่นๆของทีมงานเพราะหาตัวผมไม่เจอแต่ก็ขำๆ ก็เลยเข้านอนไปจบวันที่2
วันที่ 3 เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ทำงานที่สิงคโปรแล้ว เหลือสถานที่ที่ต้องไปอีกแค่ที่เดียว.....พอไปทำงานเสร็จก็ได้เวลาช๊อปแหลก(อีกที)แล้วก็กลับที่พักแพ็คของ ก่อนนั่งรถมาที่สนามบินผมก็ไม่ลืมแวะไปร่ำลาพระเยซูเจ้าพร้อมกับกล่าวว่า "เจอกันที่กรุงเทพ นะครับ ;)" แล้วก็ขอให้พระองค์คุ้มครองการเดินทางกลับกรุงเทพ แล้วก็มาถึงสนามบินตอน 3 ทุ่มเครื่องออกตอน 4 ทุ่ม มาถึงสนามบินดอนเมืองตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ก็แยกย้ายกันกลับคุณแม่มารับผมกลับบ้าน พอถึงบ้านเสร็จผมก็ไม่รอช้ารีบมาแบ่งปันประสบการ์ณการเฝ้าศีลที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตผมเลยครับ ;)
พระเจ้าสถิตย์เราเสมอ จงวางใจในพระเมตตาของพระองค์ เพราะพระองค์สมควรได้รับความรักและความวางใจ
วันที่สอง...เป็นวันที่ต้องทำงานจริงๆแล้ว เตรียมงานตั้งแต่ 6 โมง ไปที่ต่างๆในสิงคโปร 8 แห่ง เดินตลอดพูดตลอด เสร็จที่นึงก็ต้องไปอีกที่นึงทันทีไม่ได้พักเลย เวลาพักมีแค่ตอนขึ้นรถเท่านั้นก็ถือโอกาสหลับสักงีบแม่สัก 10 นาทีก็ยังดี(รถบ้านเค้าไม่ติดเหมือนบ้านเรา นั่งสักพักก็ถึงแล้ว)ก่อนนอนก็เลยสวดขอพละกำลังจากพระเยซูเจ้าแล้วก็งีบหลับไป.. ก็แปลกตรงที่ว่าตื่นมาทุกครั้งก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้พักผ่อนนานๆทำให้มีแรงขึ้นมาทุกครั้งที่ตื่นไม่เพลีย พอตกเย็นหลังกินข้าวอะไรเสร็จแล้ว ก็ต้องไปอีกที่หนึ่งซึ่งเป็นที่สุดท้ายแล้ว.. พอเสร็จปุ๊บก็เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าๆก็กลับมาที่พักกันทุกคน..ตอนนี้ต่างคนต่างเพลียก็รีบอาบน้ำนอนกันหมด แต่สำหรับผมแล้วผมอยากไปเฝ้าศีล ก็เลยล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปโบสถ์(ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ) กะว่าโบสถ์ปิดก็ไม่เป็นไรนั่งเฝ้าศีลอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ พอไปถึงโบสถ์ก็พบว่าประตูรั้วโบสถ์ปิดแล้ว มีป้ายอันเบ้อเร่มว่า "don't jump over the fence!!" แปลว่า "ห้ามกระโดดข้ามประตูรั้ว!!" ผมก็คิดว่าจะเอายังไงดี นั่งข้างถนนเฝ้าศีลก็พอไหวนะแต่คนจะหาว่าบ้าเนี๊ยะสิ..ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นบันไดสำหรับช่างไฟที่เค้าติดไฟตามขอบรั้วโบสถ์พาดอยู่.. ผมก็คิดว่า"อื่ม.....เค้าห้ามกระโดดข้ามรั้ว แต่ไม่ได้ห้ามปีนข้ามรั้วนี่หว่า 555+" ผมก็เลยมองซ้าย-ขวา แล้วปีนข้ามรั้วโบสถ์ไปเฝ้าศีลซึ่งเป็นประสบการ์ณการเฝ้าศีลที่ตื่นเต้นและแหวกแนวที่สุดในชีวิต พอไปถึงหน้าโบสถ์ประตูโบสถ์ก็ปิดแล้วทำเอาผมเซ็งเล็กน้อย(มันก็แน่อยู่แล้วตอนนั้นเกือบจะตี 1 แล้ว)ผมก็ไม่รู้จะทำไง ก็เลยเคาะประตูโบสถ์ 3 ที แล้วกระซิบเบาๆที่ประตูโบสถ์ว่า "นี่ๆพระองค์ ปั้มมาเยี่ยมถึงสิงคโปรแล้วไม่คิดจะมาเปิดประตูให้หน่อยหรอครับ?".... เงียบ... ไม่มีเสียงตอบ ผมก็เลยเฮ้อ...สงสัยจะไม่มาเปิดให้จริงๆซะละมั้งก็เลยนั่งหน้าโบสถ์สวดภาวนาและก็คุยเล่นกับพระองค์สักพักไม่ถึง 5 นาที ตาก็เหลือบไปเห็นแสงสีแดงตรงประตู..ก็พบว่าประตูมันมีรูปเบ้อเร่อ แล้วเมื่อมองลอดรูเข้าไปก็จะเจอตู้ศีลอยู่ตรงระดับสายตาเป๊ะๆเลย ตอนนั้นขนลุกวูบเลยไม่มีคำพูดอะไรจะพูดได้นอกจากขอบคุณพระองค์ "ขอบคุณครับ :)" แต่มานึกอีกทีก็ขำตัวเองยังไงไม่รู้หยั่งกับถ้ำมองเลย555+ ปีนรั้วเข้ามาแอบดูพระเยซูเจ้าในตู้ศีลมหาสนิทผ่านรูกลมๆบรรยากาศการเข้าเฝ้าพระเยซูเจ้าวันนั้นเลยเป็นไปอย่างสนุกสนานแบบแปลกๆ และก็มีความสุขแบบแปลกๆด้วย และแล้วก็ถึงเวลาอันควรที่ผมต้องเข้านอนแล้วเพราะพี่ๆที่โรงแรมวิทยุมาหาผมก้เลยต้องกลับออกมา แต่ขาออกทุลักทุเลหน่อยเพราะบันไดที่ปีนเข้ามามันอยู่ด้านนอกทำให้เสียเวลาไปมากกับการปีนรั้วออกไปทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าสงสัยพระเยซูเจ้าคงยังไม่อยากให้ไป ::) ผมเลยสัญญากับพระองค์ว่าจะมาเฝ้าศีลบ่อยๆไม่ให้พระองค์เหงาหรอกน่า แล้วก็ใช้เวลาพอสมควรถึงจะปีนออกมาได้ พอถึงที่พักก็เจอกับเสียงบ่นๆของทีมงานเพราะหาตัวผมไม่เจอแต่ก็ขำๆ ก็เลยเข้านอนไปจบวันที่2
วันที่ 3 เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ทำงานที่สิงคโปรแล้ว เหลือสถานที่ที่ต้องไปอีกแค่ที่เดียว.....พอไปทำงานเสร็จก็ได้เวลาช๊อปแหลก(อีกที)แล้วก็กลับที่พักแพ็คของ ก่อนนั่งรถมาที่สนามบินผมก็ไม่ลืมแวะไปร่ำลาพระเยซูเจ้าพร้อมกับกล่าวว่า "เจอกันที่กรุงเทพ นะครับ ;)" แล้วก็ขอให้พระองค์คุ้มครองการเดินทางกลับกรุงเทพ แล้วก็มาถึงสนามบินตอน 3 ทุ่มเครื่องออกตอน 4 ทุ่ม มาถึงสนามบินดอนเมืองตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ก็แยกย้ายกันกลับคุณแม่มารับผมกลับบ้าน พอถึงบ้านเสร็จผมก็ไม่รอช้ารีบมาแบ่งปันประสบการ์ณการเฝ้าศีลที่น่าประทับใจที่สุดในชีวิตผมเลยครับ ;)
พระเจ้าสถิตย์เราเสมอ จงวางใจในพระเมตตาของพระองค์ เพราะพระองค์สมควรได้รับความรักและความวางใจ