หน้า 1 จากทั้งหมด 3
ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 06, 2006 4:16 am
โดย Holy
ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2549 19:46 น.
Fact + Fiction = Faction สูตรสำเร็จงานเขียนสุดฉาวแห่งยุค
สิ่งพิเศษสำหรับผลงานอย่าง The Da Vinci Code ที่ทำให้มันเป็นงานเขียนที่เกี่ยวกับศาสนาที่โด่งดังที่สุดตลอดกาลก็คือ การพยายามที่จะบอกกับผู้อ่านว่า "เกือบทุกเรื่องที่ปู่ยาตายายของเราสอนๆ กันมาเกี่ยวกับพระคริสต์นั้นเป็นเรื่องเท็จ!"
ด้วยยอดขายถึง 46 ล้านเล่ม ได้ทำให้ "ดาวินชี โคด" กลายเป็นเรื่องปวดหัวของเหล่าบรรดานักสอนศาสนาและนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ผู้ซึ่งกังวลต่อการสั่นคลอนในศรัทธาที่เกิดจากอิทธิพลของหนังสือแค่เล่มเดียว ที่ถูกหมายหัวให้เป็นแกะดำของวงการคริสตศาสนาในปัจจุบัน
และเมื่อ "ดาวินชี โคด" ฉบับภาพยนตร์ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวรอบโลกในระหว่างวันที่ 17-19 พ.ค. ใกล้เข้ามาเท่าไหร่ สัญญาณแห่งความขัดแย้งก็ดูจะคุกรุ่นมากขึ้นทุกที ผู้ศรัทธาทั่วโลกต่างทยอยนำเสนอข้อมูลที่วิพากษ์ต่อแนวคิดของหนังสือดังกล่าวกันจำนวนมหาศาล ทั้งออกหนังสือ จัดสัมมนา และสร้างเว็บไซต์
นอกจากนี้ โอปุส เดอี กลุ่มลัทธิอนุรักษ์นิยมฝ่ายคาทอลิกออกมาเรียกร้องให้ทางค่ายโซนีต้นสังกัดของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ออกมาปฏิเสธการสนับสนุนภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งสำนักวาติกันที่นำโดย มองซีเญอแองเจโล อามาโต ผู้ทรงอำนาจลำดับที่สองรองจากพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ออกมาทำการคว่ำบาตรต่อภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
...การหลั่งไหลของความคิดเห็น
บาร์ท เออร์แมน ศาสตราจารย์คณะศาสนศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย University of North Carolina at Chapel Hill กล่าวว่าปรากฏการณ์ตื่นตัวด้านศาสนาที่เกิดจาก "ดาวินชี โคด" ครั้งนี้เปรียบได้กับความตื่นตระหนกเมื่อศตวรรษที่ 19 เมื่อมีการปล่อยข่าวลือว่าพระเยซูจะฟื้นพระชนม์ชีพในปี 1844 เลยทีเดียว โดยเออร์แมนย้ำว่าผลกระทบที่หนังสือมีต่อแนวคิดด้านศาสนาของผู้คนในทุกวันนี้ "เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยในช่วงชีวิตของเรา"
ตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือตัวแทนสถาบันสอนศาสนาที่ Asbury Theological Seminary อย่างเบน วิทเธอร์ริงตัน ที่ 3 ที่วิพากษ์แนวคิดต่างๆ ของแดน บราวน์ด้วยผลงาน "The Gospel Code" ของเขา ได้รับการติดต่อให้ไปบรรยายถึงประเทศสิงคโปร์ ตุรกี และอีก 30 เมืองทั่วสหรัฐฯ รวมทั้งได้ให้สัมภาษณ์ในการออกอากาศไปแล้วถึง 55 ครั้ง
การวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อ "ดาวินชี โคด" ไม่ได้มีแค่จากนักสอนศาสนาอย่างวิทเธอร์ริงตัน หรือผู้นำแห่งโรมัน คาทอลิกอย่าง พระคาร์ดินัลฟรานซิส จอร์จ แห่งสังฆมณฑลชิคาโกเท่านั้น ที่กล่าวหาว่าบราวน์ได้จู่โจมโลกแห่งคาทอลิกทั้งมวลด้วยข้อมูลทางประวัติศาสตร์บ้าๆ บอๆ ของเขา
เพราะแม้แต่ผู้ที่น่าจะมีแนวคิดที่เคร่งน้อยกว่าอย่างแฮโรลด์ แอททริดจ์ คณบดีจากคณะเทววิทยาของมหาวิทยาลัย Yale ก็วิจารณ์งานสุดลือลั่นของบราวน์ชิ้นนี้ว่า ตีความโลกของคริสเตียนในยุคแรกได้ "ผิดๆ เพี้ยนๆ อย่างร้ายกาจ" ส่วนศาสตราจารย์ด้านศาสนศาสตร์อย่างเออร์แมนก็ยืนยันว่างานของบราวน์มี "ข้อผิดพลาด" ทั้งด้านข้อเท็จจริงและส่วนของนิยายอย่างนับไม่ถ้วน จนตัวเขาเองยังสงสัยว่า "ทำไมเขาถึงต้องบิดเบือนมันถึงขนาดนั้นด้วย"
...ข้อเท็จจริงอันถูกต้องทุกประการ
ปัญหาที่ทำให้ "ดาวินชี โคด" ถูกมองว่าเป็นมากกว่านิยายทั่วไป นั้นก็เพราะวิธีการเกริ่นนำของบราวน์ที่ใช้ในงานเขียนของเขา ที่มักจะเริ่มด้วย "ข้อเท็จจริง" และอ้างด้วยว่าข้อมูลทั้งหมดที่เขานำมาใช้นั้น "ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น"
แดน บราวน์ได้กล่าวไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า "มันเป็นหนังสือที่ว่าด้วยแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าคุณไม่รักก็จะเกลียดมันไปเลย แต่การที่มันสามารถทำให้พวกเรามานั่งถกกันอยู่นี้ นั่นแหล่ะคือเหตุผลหลักที่ผมสร้างมันขึ้นมา"
ในการเดินสายให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนเมื่อปี 2003 (ช่วงหลังนี้แดน บราวน์ลดการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อลงอย่างมาก) นั้นแดน บราวน์ได้กล่าวในรายการของ National Public Radio ว่าตัวละครและการกระทำทั้งหมดในเรื่องนี้นั้นเป็นการแต่งขึ้นจากจินตนาการล้วนๆ ส่วนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ข้อมูลที่ไม่เคยถูกเปิดเผย ตลอดจนพิธีกรรมต่างๆ ในเรื่อง ต่างบรรยายตามข้อเท็จจริงทั้งสิ้น เช่นเดียวกับบทสัมภาษณ์ต่อ CNN ที่เขากล่าวว่า "ข้อมูลทั้งหมดคือเรื่องจริง"
...ความเป็นเทวภาพของพระคริสต์
คำอ้างของแดน บราวน์ : พระเยซูในสายตาของบรรดาสาวกของพระองค์คือองค์ศาสดาซึ่งเป็นมนุษย์ จนกระทั่งปี 325 เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินได้ "เปลี่ยนพระองค์ให้เป็นดังเทพเจ้า(deity)" ด้วยการจัดตั้งสภาสงฆ์แห่งไนซีอา (Council of Nicaea) เพื่อร่วมกันลงชื่อยืนยันสถานะ "พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า" ด้วยการโหวตที่เฉียดฉิว
คำอ้างของนักวิจารณ์ : ลาร์รี เฮอร์ตาโด จากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กแห่งสก็อตแลนด์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแนวคิดเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับความเป็นเทวภาพของพระเยซูในช่วงศตวรรษแรก กล่าวว่าข้อมูลทุกอย่างที่บราวน์ยกมาอ้างเพื่อยืนยันแนวคิดของเขานั้นไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่อย่างใด
โดยเขาและผู้เลื่อมใสอีกหลายคนได้ยึดมั่นในข้อความจากจดหมายของนักบุญพอลที่กล่าวว่า "แม้พระเยซูจะเคยอยู่ในรูปลักษณ์ของเทพเจ้า แต่ก็มิอาจมีพลานุภาพเทียบเท่ากับพระเจ้าได้ และจึงกลายเป็นมนุษย์ในที่สุด" (Philippians 2:6)
นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายต่างยืนยันว่าการที่บิช็อปถูกเรียกตัวมาที่เมืองไนซีอาโดยจักรพรรดิคอนสแตนตินในครั้งนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่อย่างใด พวกเขาต่างถกเถียงกันถึงเรื่องวิธีการที่พระเยซูดำรงสถานะทั้งในการเป็นมนุษย์และเทวภาพได้อย่างไร และการรับรองสถานะใหม่ครั้งนั้นก็จบลงด้วยการที่ฝ่ายที่เห็นว่าพระเยซูมีความเป็นเทวภาพชนะไปอย่างขาดลอย ไม่ใช่การโหวตที่จบลงอย่างเฉียดฉิวอย่างที่บราวน์อ้างแม้แต่น้อย
...เกี่ยวกับพันธสัญญาใหม่
คำอ้างของแดน บราวน์ : มีคัมภีร์กว่า 80 เล่มที่ได้รับการยอมรับให้เป็นพันธสัญญาใหม่ (New Testament) แต่จักรพรรดิคอนสแตนตินเลือกออกมาแค่ 4 เล่ม โดยกีดกันคัมภีร์ที่กล่าวถึงพระเยซูอย่างมนุษย์ธรรมดา และส่งเสริมคัมภีร์เล่มที่กล่าวถึงพระเยซูราวกับเป็นเทพเจ้า หลังจากนั้นคัมภีร์เล่มที่เหลือก็กลายเป็นสิ่งผิดกฏหมาย และถูกรวบรวมเพื่อทำการเผาทำลายในที่สุด ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ลิขิตเดดซี (Dead Sea Scrolls) และลิขิตค็อปติกแห่งเมืองนัก ฮัมมาดี (Nag Hammadi manuscript) คือบันทึกทางศริสตศาสนาแรกเริ่มที่แท้จริง ไม่ใช้คัมภีร์ทั้ง 4 แต่อย่างใด
คำอ้างของนักวิจารณ์ : ชาวคริสต์ในช่วงศตวรรษแรกต่างให้ความศรัทธาต่อคัมภีร์ทั้ง 4 เล่มของนักบุญมัทธิว มะระโก ลูกา และยอห์น ส่วนจดหมายของนักบุญพอลได้รับความศรัทธาต่อมาในศตวรรษที่ 2 ส่วนคัมภีร์อีก 27 เล่มนั้นไม่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจนกระทั่งสิ้นสุดยุคสมัยของจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งตัวจักรพรรดิคอนสแตนตินเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเหล่านั้นเลย
โดยงานที่นอกเหนือจากคัมภีร์ทั้ง 4 ก็ยังได้รับการยอมรับในฐานะเป็นคัมภีร์ทางศาสนาอยู่ แม้มันจะขาดคุณสมบัติในการบรรยายถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญของการเป็นพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นที่ยอมรับในฐานะที่ระลึกความทรงจำและศรัทธาจากบรรดาสาวกของพระเยซูและอนุชนรุ่นต่อๆ มา
เหตุผลหลักที่คัมภีร์เหล่านั้นไม่ได้ถูกรับเลือก ก็เพราะการที่คัมภีร์ไม่อธิบายถึงพระเยซูในฐานะของมนุษย์ปุถุชนนั้นเอง ซึ่งตรงข้ามกับที่แดน บราวน์บรรยายไว้ในหนังสืออย่างสิ้นเชิง
เช่นในบันทึกของคัมภีร์นอสติก (Gnostic gospels) ซึ่งตั้งใจที่จะบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับญาณหยั่งรู้อันลึกลับของพระเยซู โดยกล่าวว่าผู้บรรลุแล้วย่อมสามารถหลุดพ้นจากโลกแห่งวัตถุ (material world) ซึ่งพวกเขาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ต่ำทราม รวมทั้งไม่ยอมรับแนวคิดเรื่องพระเจ้าสร้างโลกของศาสนายิวและพันธสัญญาเก่าอีกด้วย
ส่วนข้อหาในการเผาทำลายคัมภีร์ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งนอกรีต (heretical) นั้น ผู้เชี่ยวชาญอย่างเออร์แมนแย้งว่ามีหลักฐานที่ยืนยันถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่น้อยมาก และชี้ว่าการที่คัมภีร์ที่ไม่ได้รับการยอมรับค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลาก็เพราะว่าผู้คนเลิกใช้มันนั่นเอง และไม่มีใครอยากจะนำมาทำสำเนาใหม่ด้วยการคัดลอกด้วยมือ ในยุคที่การพิมพ์ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้นอีกหลายศตวรรษ
ลิขิตเดดซี (Dead Sea Scrolls) อันที่จริงแล้ว เป็นเอกสารของศาสนายิว ไม่ใช่ผลงานทางศริสตศาสนาแต่อย่างใด ส่วนลิขิตค็อปติกแห่งเมืองนัก ฮัมมาดี (Nag Hammadi manuscript) นั้นก็เป็นผลงานที่เกิดขึ้นหลังจากยุคของพันธสัญญาใหม่ทั้ง 4 เล่มเนิ่นนานทีเดียว
...สถานะทางการสมรสของพระเยซู
คำอ้างของแดน บราวน์ : พระเยซูซึ่งเป็นชาวยิวจำเป็นต้องสมรส เนื่องจากสภาพสังคมยุคนั้นแทบจะห้ามชายยิวครองตัวเป็นโสด พระเยซูซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์เดวิด จึงได้สมรสกับแมรี แม็กดาลีนซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์เบนจามิน และธิดาของทั้งสองพระองค์ต่างสืบสายพระโลหิตต่อมาในประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้น
คำอ้างของนักวิจารณ์ : โจเซฟัส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 1 ยืนยันว่าชาวยิวล้วนแต่มีคู่ครองทั้งสิ้น เว้นแต่ผู้ทรงศีลอย่างพระเยซูเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องมีคู่สมรส และผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันว่าตำนานเรื่องแมรี แม็กดาลีนนั้น เกิดขึ้นในสมัยยุคกลางนี่เอง
ใน "ดาวินชี โคด" แดน บราวน์ได้อ้างถึงคัมภีร์ของฟิลลิป ซึ่งเป็นประจักษ์พยานในการสมรสของพระเยซู แต่ข้อความที่ระบุใจความสำคัญดังกล่าวกลับมีรอยขาดวิ่นอยู่มากทีเดียว
" แมรี แม็กดาลีน.......ต่อเธอมากกว่า.......สาวกคนอื่นๆ .......จูบเธอ.......บน......."
พระเยซูจูบเธอที่ริมฝีปาก? บนแก้มหรือฝ่ามือ? อย่างไรก็ดีผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าตามแนวคิดหลักของคัมภีร์นอสติกแล้ว ความสัมพันธ์ครั้งนี้น่าจะเป็นแบบพลาโตนิก(platonic) หรือการแสดงออกซึ่งความรักที่ปราศจากอารมณ์เพศ หรือการแสดงออกทางจิตวิญญาณ(spiritual) มากกว่า
เจมส์ เอ็ม. โรบินสัน ผู้เชี่ยวชาญจากบัณฑิตวิทยาลัย Claremont Graduate University แห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย ชี้ว่าการที่ผู้คนหันมาให้ความสนใจต่อเรื่องแมรี แม็กดาลีนในปัจจุบันนั้น "ก็เพราะต้องการขุดคุ้ยเรื่องราวในชีวิตทางเพศของทั้งสอง มากกว่าจะสนใจตัวตนและที่มาของแมรี แม็กดาลีนและพระเยซูอย่างแท้จริง"
...มาตรวัดแห่งศรัทธา
วิทเธอร์ริงตันกล่าวว่า เหตุที่ "ดาวินชี โคด" ได้รับความสนใจเช่นทุกวันนี้ "เกิดจากการที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถามต่อเรื่องราวในไบเบิล และทำใจออกห่างจากคำตอบเดิมๆ ที่พวกเขาคุ้นชินนั่นเอง"
อย่างไรก็ดี เขาและอีกหลายคนเห็นว่านี้อาจจะเป็นโอกาสอันดีที่จะเรียกคืนศรัทธาที่มีต่อคริสตศาสนา โดยใช้ความอื้อฉาวของ "ดาวินชี โคด" เป็นตัวจุดชนวน ซึ่งแอททริดจ์ได้เสนอแนะว่า
"ถ้าผู้คนหลงใหลในคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อย่างมากแล้วล่ะก็ มันยังมีผลงานนอกเหนือจาก 'ดาวินชี โคด' อีกนับพันๆ ชิ้นเลยทีเดียว"
ปีเตอร์ สมิธ ผู้พิพากษาอังกฤษผู้ที่ช่วยบราวน์ในการยืนยันสิทธิ์ในหนังสือของเขา จากการฟ้องร้องข้อหาขโมยแนวคิดในงานเขียนเมื่อเดือนที่ผ่านมานั้น ได้ให้ข้อสรุปเกี่ยวกับตัวตนของหนังสือเล่มนี้อย่างดีทีเดียว
"แค่การที่นักเขียนได้บรรยายถึงเหตุการณ์นั้นว่าเป็นเรื่องจริง ไม่จำเป็นว่ามันจะเป็นเรื่องจริงเสมอไป มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วที่การนำความจริง (fact) และนิยาย (fiction) มาผสมรวมกันเพื่อให้เกิดรูปแบบของ faction (งานเขียนที่ผสมระหว่างเรื่องจริงและเรื่องแต่งเข้าไว้ด้วยกัน) และสิ่งที่ผู้คนคิดว่าเป็นเรื่องจริงของตัวหนังสือและภาพยนตร์ได้จูงใจต่อนักอ่านและผู้ชมไปในที่สุด และอันตรายของมันก็คือการที่ผู้คนเริ่มสนใจในงาน faction กันมากขึ้นและเริ่มยอมรับมันว่าเป็นข้อเท็จจริงกันหมดแล้ว"
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 06, 2006 4:17 am
โดย Holy
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 06, 2006 4:41 am
โดย NKL
เมื่อ นายแดง โดยฉะแหลก
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 07, 2006 7:23 am
โดย Mass
แดนบราวน์ เขาเขียนเพราะว่า มันคือ อาชีพ...มันคือนิยาย ไม่ใช่สารคดี หรือวิชาการ เราอ่านเพื่อความบรรเทิงเท่านั้นนี่ครับ.....ความเชื่อในพระเป็นเจ้าของพวกเรา มันหายไปกันหมดเลยรึครับ แคอ่านหนังสือนิยายเรื่องเดียวเอง....แม้ว่านิยายนั้นเนื้อเรื่องอาจจะอ่านเเล้วไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่.....แต่...คุณให้อภัย แดน บราวน์เขาได้มั้ยละ..........เห็นแต่สวด ข้าแต่พระบิดา...แทบทุกวัน.....กับเรื่องแค่นี้...สำหรับผม...อ่านแล้วก็ไม่ได้ทำลาย ความเชื่อหรือเกิดข้อสงสัยอะไรเลยนี่นา.....แบบทดสอบง่ายๆของความเชื่อ ผมว่าทุกคนน่าจะผ่านสบายน๊ะครับ ;D
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 07, 2006 2:22 pm
โดย -Rei-
Mass เขียน:
ความเชื่อในพระเป็นเจ้าของพวกเรา มันหายไปกันหมดเลยรึครับ แคอ่านหนังสือนิยายเรื่องเดียวเอง....แม้ว่านิยายนั้นเนื้อเรื่องอาจจะอ่านเเล้วไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่.....แต่...คุณให้อภัย แดน บราวน์เขาได้มั้ยละ..........เห็นแต่สวด ข้าแต่พระบิดา...แทบทุกวัน.....กับเรื่องแค่นี้...สำหรับผม...อ่านแล้วก็ไม่ได้ทำลาย ความเชื่อหรือเกิดข้อสงสัยอะไรเลยนี่นา.....แบบทดสอบง่ายๆของความเชื่อ ผมว่าทุกคนน่าจะผ่านสบายน๊ะครับ ;D
หนังสือของหมอนี่ สั่นคลอนความเชื่อของเราไม่ได้หรอก
แต่มันทำให้เพื่อนๆต่างศาสนา มองศาสดาของเราในทางไม่ดี
และทำให้ผู้เชื่อใหม่สะดุดและหลงทางได้งับ
นั่นคือประเด็นที่เรายอมไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเราโกรธเค้าที่เค้าเขียนไม่ตรงกับความคิดเห็นของเราหรอกค่ะ
ถ้ามีคนมาชี้หน้าด่าเรา เราให้อภัยได้อยู่แล้ว
แต่ถ้ามีคนที่ทำให้ผู้เล็กน้อยสักคนหนึ่งหลงไปจากทางของความเป็นจริง
คุณจะทนอยู่เฉยๆ โดยไม่เข้าไปช่วยชี้แจงอะไรเลยเหรอคะ
ปล่อยให้เค้าหลงไป ตกนรกไปต่อหน้าต่อตา ทำได้จริงๆน่ะ
ทั้งๆที่เรามีภารกิจในการนำคนมาสู่พระคริสต์น่ะเหรอคะ
เราว่าที่พี่ Holy และหลายๆท่านพยายามจะโพสเรื่องนี้ในบอร์ด
ก็เพื่อเป็นข้อมูลให้พวกเรานำไปชี้แจง เวลาที่มีคนมาถามค่ะ
ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราหมดศรัทธราเนื่องจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
หรือเพราะว่าพวกเราโกรธแค้นผู้แต่งเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใดนะคะ
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 07, 2006 8:24 pm
โดย Jeab Agape
แต่บางทีคนที่มีความเชื่อน้อย ก็หวั่นไหวและหลงเหมือนกัน น.เปาโลบอกให้เรารับภาระซึ่งกันและกัน
และเมื่อ ท่านเปาโล พูดถึงเสรีภาพ ว่าเรามีเสรีภาพ ทำอะไรได้มากมาย แต่ถ้าเสรีภาพนั้นทำให้ผู้เชื่อน้อยสะดุด ท่านเปาโลจะไม่ทำ เพื่อเห็นแก่ผู้เชื่อน้อย
เมื่อพูดถึงเรื่อง ดาวินชี่ โคตร นี่น่ะ คนที่มีความเชื่อมั่นคง เข้มแข็ง ก็ไม่เป็นไร แต่ที่คริสตชน หรือพี่โฮลี่ พยายาม เสาะหา แหล่ง อธิบาย หรือลงแรงมาเกือบ สองปี เสียเงินไปก็เยอะ ก็เพราะต้องการปกป้องผู้ที่ยังเชื่ออ่อนแอ พร้อมจะหวั่นไหว
แม้แต่เรารู้ว่าเป็นเทพนิยาย ซึ่งอัครทูตเปาโล ก็กำชับศิษย์รัก ทิโมธี ให้ระวัง และเอาจริงเอาจังในการสอนความจริง เพราะมีคนจำพวกหนึ่ง ชอบอ่านนวนิยาย หรือเทพนิยาย เพราะรู้สึกสบายใจ การงานนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากปฏิปักษ์ของพระเจ้า เราผู้ที่โต (เกือบโต ) เป็นผู้ใหญ่ ต้องช่วยผู้ที่ขาดความเชื่อความเข้าใจ หรือผู้ที่ยังเป็นทารกในความเชื่อ ฮะ
ขอพระเจ้าทรงอวยพร 8)
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 07, 2006 10:01 pm
โดย Holy
2ทธ 4:1-5
ข้าพเจ้าขอกำชับท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และเฉพาะพระพักตร์ของพระคริสตเยซูผู้จะทรงพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย โดยอ้างถึงการแสดงพระองค์และพระอาณาจักรของพระองค์ จงประกาศพระวาจา จงพร้อมสรรพทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว จงตักเตือน จงให้กำลังใจ โดยพร่ำสอนด้วยความพากเพียรอย่างเต็มที่ จะถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ต้องการฟังคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาครูจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง พวกเขาจะไม่ยอมฟังความจริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย ส่วนท่านจงหนักแน่นมั่นคงในทุกกรณี จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำงานของผู้ประกาศข่าวดี จงปฏิบัติศาสนบริการให้สำเร็จ
1ทธ 1:3-7 การขจัดผู้สอนผิด
ขณะที่ออกเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนีย ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอยู่ในเมือง เอเฟซัสต่อไป เพื่อกำชับบางคนมิให้สอนผิด และให้เลิกสนใจเรื่องเทพนิยายและการลำดับวงศ์ตระกูลที่ไม่รู้จบ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะช่วยให้เข้าใจแผนการที่พระเจ้าทรงแสดงให้เรารู้เพราะความเชื่อ จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าแนะนำดังนี้ก็คือความรักที่มาจากใจบริสุทธิ์ มาจากมโนธรรมที่ถูกต้องและมาจากความเชื่อแท้จริง บางคนหลงทางไปจากจุดประสงค์นี้ จึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องไร้สาระ เพราะต้องการทำตนเป็นครูสอนธรรมบัญญัติ ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดและสิ่งที่ตนยืนยันอย่างมั่นใจ
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 08, 2006 12:07 pm
โดย Elbaric
อย่าหลงไปเชื่อก็พอเจ้าค่ะ .. เนื้อหาบิดเบือนอย่างแท้จริง คล้ายพวก นอสติก เลยอ่ะค่ะ
แต่ แดน บราวน์ก็บอกว่า เป็นนิยายที่แต่งเพื่อควาบันเทิง (แต่ก็รู้สึกไม่พอใจเหมือนกันค่ะ)
ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ..
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 08, 2006 3:20 pm
โดย Nihil
เห็นในต่างประเทศ ประเด็นที่ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่นิยายก็มาจากคำพูดจั่วไว้ตอนท้ายของแดน บราวน์ที่ว่า
"After you finished reading this, you learn a tons."
คำพูดนี้ทำให้ดูเหมือนว่าแหล่งข้อมูลอ้างอิงเป็นความจริง เป็นเรื่องน่ารู้ และ ทำให้หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่นิยาย
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 08, 2006 3:40 pm
โดย Maria Magdalena
เขาก้อเขียน อารายก้อได้ที่ทำให้นิยายมันขายได้ละน่า *swt
โฉมหน้าคุณแดน น้ำตาล
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 08, 2006 6:42 pm
โดย Elbaric
แต่ความจริงแล้ว ก็อย่างที่รู้ มีทั้งคนไม่พอใจ และ พอใจกันน่ะค่ะ
เพราะฉะนั้น ให้เขาแต่งหนังสือดีๆ ไม่บิดเบือน แต่แดน บราวน์ก็ชอบแต่งประมาณนี้นิ่ :o
(เพิ่งซื้อรหัสลับรัสปูตินมา) อิอิ~
สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 09, 2006 6:43 pm
โดย Holy
สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 พฤษภาคม 2549 16:32 น.
แม้จะสร้างความสนใจแก่ผู้ชมในวงกว้าง จนกลายเป็นกระแสสังคมไปทั่วโลก แต่เซอร์เอียน แม็คเคลเลน ผู้รับเป็นเซอร์ลีห์ ทีบบิง ใน The Da Vinci Code ภาพยนตร์สุดฉาวแห่งปี ออกมาทำในสิ่งที่นักแสดงส่วนใหญ่ไม่ทำ ด้วยการกล่าวว่า The Lord of the Rings ที่เขาเคยร่วมแสดงนั้น ได้สร้างปรากฏการณ์ทางภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่กว่าหนังเรื่องล่าสุดของเขาถึง 100 เท่าทีเดียว
เซอร์เอียน แม็คเคลเลน ซึ่งเคยรับบทเป็นแกนดัล์ฟใน The Lord of the Rings ได้ออกมาอธิบายเหตุผลในการลดเครดิตภาพยนตร์ที่เขาฝากผลงานเรื่องล่าสุดนี้ว่า
"ความสนใจที่ผู้คนมีต่องานของโทลคีนนั้นต่างออกไป สำหรับบางคนแล้วมันเหมือนกับการถ่ายทำคัมภีร์ไบเบิลเลยทีเดียว เพราะมันไม่ใช่หนังสือที่ทำให้ผู้อ่านตื่นเต้นเท่านั้น เพราะหลังจากอ่านไปแล้ว 20 ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกเช่นเดิม จึงทำให้พวกเขาสนใจต่อตัวภาพยนตร์อย่างมาก จนสงสัยว่าหนังที่ออกมาจะเป็นไปตามจินตนาการของพวกเขาหรือของปีเตอร์ แจ๊คสัน(ผู้กำกับ)กันแน่"
"กับงานอย่าง "ดาวินชี โคด" ผมส่งสัยว่าจะมีใครอ่านมันเกินรอบหนึ่งหรือเปล่า เพราะมันไม่ใช่หนังสือที่คุณคิดจะหยิบขึ้นมาอ่านอีกรอบ ตอนอ่านคุณก็ทำความเข้าใจกับมันไปเรื่อยๆ แล้วคุณก็พบจุดคลี่คลาย เหมือนกับการเล่นปริศนาอักษรไขว้นั่นแหละ เมื่อคุณทำมันเสร็จ คุณจะลบมันแล้วกลับมาทำใหม่เชียวหรือ เป็นผมๆ ไม่ทำน่ะ แต่อย่างว่าแหล่ะ สุดท้ายมันก็ได้เป็นความสนใจของผู้คนไปในที่สุด" ท่านเซอร์กล่าวอย่างมีนัยยะ
เดือนพฤษถาคมนี้ถือเป็นเดือนที่ทำให้ท่านเซอร์เอียนวุ่ยวายมากทีเดียว เพราะนอกจากจะมีงานเปิดตัวเรื่อง The Da Vinci Code ในวันที่ 19 แล้ว อีกสัปดาห์ถัดมาก็ถึงกำหนดเปิดตัว X-Men: The Last Stand ที่เขากลับมารับบทแม็กนิโตอีกครั้ง ถือได้ว่างานชุกทีเดียวสำหรับชายที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัย 67 ในวันที่ 25 พ.ค.ที่จะถึงนี้ และตลอด 40 ปีในวงการแสดง นี่อาจจะเป็นช่วง 10 ปีสุดท้ายที่เขาจะโลดแล่นอยู่ในวงการมายาก็เป็นได้
"ถ้าเกิดว่าวันพรุ่งนี้ผมตื่นขึ้นมาแล้วไม่สามารถทำงานในวงการแสดงได้อีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลด้านสุขภาพหรือภารกิจอื่นใดที่ขัดขวางผมจากงานแสดง ผมก็สามารถยุติมันได้ด้วยความยินดี ผมคิดว่าผมมีเวลาให้กับการแสดงเหลืออยู่อีก 10 ปีเท่านั้น ถึงตอนนั้นผมว่าผมยังสามารถจิบอะไรได้นิดหน่อยบนเครื่องบินแล้วยังจำทางเดินได้โดยไม่หกคะเมนลงมา ผมใส่ใจเรื่องแบบนี้น่ะ"
นอกจากนี้ แม็คเคลเลนยังออกมายอมรับว่าตอนที่เขาเข้ามารับบทใน "ดาวินชี โคด" นั้น เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ของแดน บราวน์เลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาเริ่มตั้งต้นอ่าน เขาก็รู้สึกประหลาดใจที่รหัสลับต่างๆ เช่นในงานเขียนภาพโมนาลิซาของดาวินชี ที่สามารถแต่งให้เชื่อมโยงกับความเป็นจริงได้อย่างอัศจรรย์
"ความรู้สึกตอนที่ผมได้อ่านมันจะประมาณว่า "ใช่ นั่นเลย ขอเดาน่ะ อะฮ่า ถูกจริงด้วย" จึงทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมผู้คนจึงมีปฏิกริยาต่อมันมากมายถึงเพียงนี้ แต่ผมคิดส่วนคนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านจะชื่นชอบมันในฐานะหนังสือที่เล่าเรื่องได้ดีเล่มหนึ่ง ซึ่งตัวหนังก็จะออกมาแบบนั้นเช่นกัน"
ท่าทีที่คริศตจักรมีต่อ "ดาวินชี โคด" นั้นราบเรียบมานาน จนมาประทุเมื่อการฉายของฉบับภาพยนตร์ใกล้จะเปิดตัวในอีกไม่กี่วันนี้ ในฐานะนักแสดงในเรื่องดังกล่าว เซอร์เอียนมีความเห็นต่อความขัดแย้งทางความคิดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า
"ผมคิดว่าข้อมูลใน "ดาวินชี โคด" อาจจะเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่มันอาจจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็เป็นได้ บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มาจากการที่แดน บราวน์ไปแตะต้องกับหลักมั่นและขุมพลังอำนาจที่โลกของคาทอลิกยึดมั่นมาช้านาน แล้วองค์กรอย่างนี้ก็มีสิ่งปกปิดมากมายที่ไม่พร้อมจะถูกตั้งคำถามจากโลกภายนอก และมันก็เป็นความจริงที่ว่าโลกของคาทอลิกนั้นไม่เปิดสำหรับการตั้งคำถามหรือการโต้แย้งใดๆ "
"ส่วนตัวผมแล้วผมยินดีที่จะเชื่อว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดใน "ดาวินชี โคด" เป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นครับ"
http://www.manager.co.th/Entertainment/ ... 0000061007
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 09, 2006 7:05 pm
โดย NKL
ท่านเซอร์พูดถูก!
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 09, 2006 9:27 pm
โดย Holy
สิงคโปร์ห้ามเด็กดูหนังดัง ดาวินชี โค้ด
[ 17:21 น. ]
สำนักงานพัฒนาสื่อสารมวลชน หรือ เอ็มดีเอ ของสิงคโปร์ ออกแถลงการณ์วันนี้ ระบุว่าคณะกรรมการเซนเซอร์ของสำนักงานพิจารณาเนื้อหาภาพยนตร์ชื่อดัง เดอะ ดาวินชี โค้ด อนุญาตให้ฉายในสิงคโปร์ได้ตามกำหนดการวันที่ 18 พฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตาม การจัดฉายภาพยนตร์ดังกล่าว จะต้องจัดฉายในเรตเอ็นซี 16 ห้ามเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีเข้าชม เนื่องจากคณะกรรมการเซนเซอร์มีความเห็นว่า ภาพยนตร์เดอะ ดาวินชี โค้ด เป็นภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน เพราะยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการแยกแยะระหว่างความจริงกับเรื่องที่แต่งขึ้น
เดอะ ดาวินชี โค้ด เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายเบสต์เซลเลอร์ของแดน บราวน์ เสนอข้อสันนิษฐานว่า พระเยซูสมรสกับแมรี แมกดาลีน และสืบทอดทายาทตราบจนปัจจุบัน
ในอดีตสิงคโปร์ใช้หลักเกณฑ์จัดอายุผู้ชมกับภาพยนตร์ดังหลายเรื่อง รวมทั้งภาพยนตร์เดอะ แพสชัน ออฟ เดอะ ไครสต์ ของผู้กำกับเมล กิบสัน และโบรกแบ็ก เมาเทน ของผู้กำกับอั้งลี่
สำนักข่าวเนชั่น
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 09, 2006 10:54 pm
โดย Jeab Agape
เพราะสิงคโปร์มีคริสตชนกว่า ๒๐% จึงมีอำนาจต่อรอง และเรื่อง เรทของภาพยนตร์
เขาเข้มงวดจริงๆ .............อย่างเจี๊ยบเนี่ย ถ้าอยู่สิงคโปร์ ดูหนัง Rate R ไม่ได้
แต่เมืองไทย ดูหลาย xxxx รัฐ ยังทำอะไรไม่ได้ เหอ เหอ เหอ 8) *no1
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 10, 2006 9:28 am
โดย Jezebel
Jeab Agape เขียน:
เพราะสิงคโปร์มีคริสตชนกว่า ๒๐% จึงมีอำนาจต่อรอง และเรื่อง เรทของภาพยนตร์
เขาเข้มงวดจริงๆ .............อย่างเจี๊ยบเนี่ย ถ้าอยู่สิงคโปร์ ดูหนัง Rate R ไม่ได้
แต่เมืองไทย ดูหลาย xxxx รัฐ ยังทำอะไรไม่ได้ เหอ เหอ เหอ 8) *no1
ต๊ายยยยยย น้องเจี๊ยบดูหนังพรรค์นั้นด้วยเหรอคะ เรทอาร์น่ะ >:(
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 10, 2006 10:11 am
โดย Batholomew
สิงคโปร์ทำดีมากครับ
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 10, 2006 12:59 pm
โดย St.paul
ผมว่าคริสตชนบ้านเราที่มีปริมาณ300000กว่าๆก็น่าจะทำอย่างสิงคโปร์ได้ง่ายนิดเดียวนะครับคือไม่ต้องไปดูมันเลยเดี๋ยวก็จบเองครับเป็นไปได้แนะนำเพื่อนฝูงวงกว้างให้ไม่ไปดูได้จะดีมากครับเพราะหลายคนอาจไม่รู้สิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ
ทำให้อาจโดนโจมตีได้ครับ
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 10, 2006 2:24 pm
โดย :+: seraphim :+:
Jezebel เขียน:
Jeab Agape เขียน:
เพราะสิงคโปร์มีคริสตชนกว่า ๒๐% จึงมีอำนาจต่อรอง และเรื่อง เรทของภาพยนตร์
เขาเข้มงวดจริงๆ .............อย่างเจี๊ยบเนี่ย ถ้าอยู่สิงคโปร์ ดูหนัง Rate R ไม่ได้
แต่เมืองไทย ดูหลาย xxxx รัฐ ยังทำอะไรไม่ได้ เหอ เหอ เหอ 8) *no1
ต๊ายยยยยย น้องเจี๊ยบดูหนังพรรค์นั้นด้วยเหรอคะ เรทอาร์น่ะ >:(
::)
น้องเจี๊ยบเขาติ๊ต่างอ่ะคะเจ๊
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 11, 2006 1:31 am
โดย Nihil
สะใจ สะใจ สะใจ ;D
นับถือสิงคโปร์ที่เด็ดขาดเลย เมืองไทยน่าเอาอย่างมั่ง *no.1
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 11, 2006 2:38 pm
โดย KaL 's Z
ที่อินเดีย คริสตชน เค้าก็ออกมาต่อต้านค่ะ
ท่าทางหนังเรื่องนี้ จะไปไม่รอด นะ
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 12:34 am
โดย Donovan
สวัสดีครับ
เข้ามา ณ ที่นี้ด้วยความบังเอิญ
เกี่ยวกับความเชื่อของศาสนานี้ ผมเองยอมรับมา มีอคติ หลายๆ อย่าง แต่ขอบอกไว้ก่อนว่า ไม่ได้จะเข้ามาพูดจาให้ร้ายหรือดูหมิ่น เพียงมันมีข้อกังขา หลาย ต่อ หลายอย่าง ที่ไม่สามารถให้คำตอบได้
ผมชอบความเห็นของคุณ Mass ที่ว่า แค่นิยายเรื่องเดียว ไม่น่าจะสั่นคลอนได้ เป็นไปได้มั้ยว่า การเชื่อถือ ดังกล่าว ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้ต้องเชื่อ แบบคล้ายๆ กับว่า หลับหูหลับตาเชื่อ(ศรัทธา) แต่หากย้อนคิด จะพบ กับช่องว่างมากมาย ที่จะนำไปสู่คำถามแบบไม่รู้จบ
โดยส่วนตัวเป็นคนขี้สงสัย ผมเคยถามคำถามกับรุ่นน้องคนนึง ขณะที่เรียนมหาวิทยาลัย คำตอบแต่ละอัน จะนำไปสู่คำถามอันใหม่ จนเพื่อนผมต้องสะกิดให้ผมหยุด เพราะน้องเค้าเองก็ไม่สามารถตอบอะไรได้กระจ่าง ให้ไปถามคนอื่นแทน
หลายๆ ความเชื่อ หรือแนวคิดแนวปฏบัติหลายๆ อย่างมักจะมี คำว่า จงเชื่อในเรา ประกอบอยู่ด้วยเสมอ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่ปฏิบัติ จะเป็นผลดีอย่างไร จุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียว คือ ไปอยู่ในที่ที่เรา(พระเจ้า) จัดให้
เอาง่ายๆ การเผยแพร่ศาสนาของศาสนานี้ เป็นไปแบบ ต้องเผยแพร่ให้ได้ สร้างแรงจูงใจมากมาย เหมือนการโฆษณาชวนเชื่อในทางการตลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ไม่ได้ให้ความกระจ่าง มีแต่เพียงต้องศรัทธาและรักในพระเจ้าเท่านั้น
พระเจ้า สามารถตอบสนองต่อคำขอของคนทั่วโลกได้ในเวลาเดียวกัน กะรนั้นหรือ หากป่วยไข้ หรือไม่มีจะกิน พระเจ้าช่วยได้หรือ ความทุกข์มากมายบนโลก ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ศรัทธาต่อท่าน ท่านทนเห็นคนที่เค้าศรัทธาท่านเป็นทุก๘์ได้หรือ
Re:สะอึก "เซอร์เอียน" ยก "เดอะลอร์ด" ดีกว่า "ดาวินชี โคด" 100 เท่า!
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 1:53 am
โดย fizzy vippie
เห็นด้วยกะท่านเซอร์อยู่แล้น ... อิ อิ อิ
ตาแดน บราวน์ น่ะเหรอจะมาเทียบรัศมี
นักเขียนรุ่นซุปเปอร์อย่าง โทลเกี้ยน
รอให้ไปตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังะยากจ้า
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 4:43 am
โดย Holy
คุณจะกลับมาอ่านหรือเปล่า ก็ไม่รู้นะครับ
แต่ถ้ายังไงเสียก็จะตอบไว้ให้
จะเห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า ที่คุณบอกว่ามีอคตินั้น ก็มีจริงๆซะด้วยสิ เพราะคุณเหมารวม และมองศาสนาคริสต์อย่างผิวเผินมากและด่วนตัดสิน ซึ่งก็ไม่ว่ากันและจะตอบครับว่า ทำไม
ข้อที่1
คุณบอกว่าคุณถามรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย แล้วเขาตอบอะไรคุณไม่ได้ คุณจึงสรุปว่าศาสนานี้มีแต่คำถาม ไม่มีคำตอบ
---ผมถามคุณนิดนึงว่า ถ้าเดินสุ่มถามคนพุทธ แค่ให้ท่องศีล5ให้ครบนี่ คุณคิดว่าจะมีตอบได้สักกี่เปอร์เซนต์ครับ ดังนั้น การถามบุคคลทั่วไป แล้วเขาตอบในคำถามลึกๆไม่ได้(ไม่ทราบว่าคุณถามอะไร) แล้วสรุปเอาว่าทั้งศาสนาไม่มีคำตอบให้คุณแบบนี้ อันนี้เรียกว่ามีอคติจริงๆด้วยสิ เห็นด้วยกับคุณครับ
สมัยผมอยู่มหาวิทยาลัย หลายๆคนที่นี่คงทราบว่า ผมเรียนวิชาศาสนศาสตร์(เรียนศาสนาทุกศาสนา) และปรัชญาด้วย หลังจากเรียนจบ ผมก็เคยเข้าไปลองภูมิถึงในชมรมพุทธศาสนา ซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ไม่ใช่เด็กกว่า และเป็นคนที่น่าจะมีความรู้ทางศาสนาตนดีกว่าคนที่นับถือทั่วๆไป นอกจากเขาจะตอบคำถามผมไม่ได้ทั้งหมดแล้ว เขาได้โกรธผม และมิตรภาพก็ถูกทำลายไปเรียบร้อยครับเวลาเดินสวนกันเขาไม่มองหน้าผมเลย คุณทราบไหมครับว่าในวิชาปรัชญามีนักปราชญ์ที่สามารถพิสูจน์การมีอยู่จริงของพระเจ้าด้วยหลักเหตุผลได้ และหลักเดียวกันนี้ ทำลายทฤษฎีเวียนว่ายตายเกิดด้วย
คุณเคยนึกเอะใจไหมครับว่าทำไม นักปรัชญาทุกคน และนักศาสนศาสตร์ทุกคน ที่เรียนถึงวิชาศาสนาพุทธ และปรัชญาพุทธ แล้ว ความเป็นปัญญาชนของเขาน่าจะพาเขาเปลี่ยนศาสนากันหมด ถ้าหากพุทธศาสนามีแต่เหตุผล และศาสนาอื่นมีแต่เชื่ออย่างงมงายจริงๆ อย่างที่เรามักเจอทัศนคตินี้จากคนพุทธในไทยจำนวนไม่น้อย แต่กลับไม่เป็นแบบนั้น ทำไม?เพราะในความเป็นจริงทุกศาสนามีส่วนของเหตุผล และมีส่วนของศรัทธาที่ไม่สามารถตอบได้ทุกศาสนา และในเชิงปรัชญา มีนักปราชญ์ของทุกศาสนา(โดยเฉพาะ5ศาสนาใหญ่ของโลก)ที่สามารถอธิบายหลักการทางศาสนาของตนอย่างมีเหตุผลทุกศาสนาเช่นกัน เพียงแต่ว่าศาสนาไหนเน้นสิ่งไหนเป็นหลัก
ดังนั้นอย่าเหมารวมว่าศาสนานี้สอนให้เชื่อโดยไม่มีเหตุผล เพียงเพราะถามเด็กคนหนึ่งแล้วเขาตอบไม่ได้ เพราะสมัยนั้นผมก็ไม่ได้เหมาว่าศาสนาพุทธไร้เหตุผลเพียงเพราะผมถามนักศึกษาสังกัดชมรมพุทธศาสนาแล้วเขาตอบไม่ได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้คือ การโต้เถียงเอาชนะคะคานกันในเรื่องศาสนา คุณอาจโต้วาทีชนะได้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้ใครเปลี่ยนศาสนา หรือยอมรับความคิดคุณหรอก กลับมีแต่เพิ่มความเกลียดชังและอคติ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้น ผมเลิกการกระทำเหล่านั้นเด็ดขาด นอกจากจะมีคนมาขอลองของจริงๆ หรืออยากจะเตือนสติคนบางคนที่หยิ่งจองหองในภูมิรู้ตัวเองแล้วดูถูกคนอื่น แต่ผมไม่เริ่มทำกับใครก่อนอีกเลยตั้งแต่นั้น
ข้อที่2 จงเชื่อในเรา
พระเยซูเจ้าสอนแบบนี้นะครับ
ยน 10:37
ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา
ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย
แต่ถ้าเราทำ
แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา
อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด
แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า
พระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา
พระเยซูเจ้าคือศาสดาที่โดดเด่นในแง่ การพิสูจน์โดยการกระทำ ครับ
ผมถามง่ายๆว่า ถ้าคุณเชื่อว่านิพพานมีจริง โดยที่คุณยังพิสูจน์ไม่ได้เลย ว่ามันเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และพระพุทธเจ้าก็ทำให้คุณเห็นมันไม่ได้ แต่คุณเชื่อคำสอนนี้ เพราะคำสอนอื่นและพฤติกรรมของพระพุทธเจ้า ไม่น่าจะโกหกคุณ ถูกไหม พระเยซูเช่นกัน ตลอดชีวิตในโลกของพระองค์ไม่เคยสุขสบาย จุดจบโดยการตายบนกางเขน และแม้แต่บนกางเขน ก็ยังทรงยืนยันเรื่องพระเจ้า และความรักทรงยกโทษให้คนที่ฆ่าพระองค์ตามหลักที่พระองค์สอนเอง ทุกอย่างที่พระองค์สอนทรงทำได้หมด พิสูจน์แม้ในวาระสุดท้าย ดังนั้น ถามว่าจะทรงโกหกทำไม ในเมื่อถ้ายอมๆกลับคำไปซะก็จบ ไม่ต้องถูกฆ่า ไม่ต้องตาย แต่ตลอดชีวิตพระองค์ทรงทำแต่กิจการดี มีแต่ความรักให้ทุกคน คนๆนี้จะโกหกเราเพื่อประโยชน์อะไรกัน พระองค์ไม่ใช่คนที่หลอกมีสาวกเยอะๆแล้วเรียกเงินบริจาคจนร่ำรวย จากนั้นก็เสวยสุข ดังที่เรามักเห็นเจ้าลัทธิจอมปลอม หรือพวกอาศัยสาสนาหากินสมัยนี้เป็นกัน
นี่คือสิ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า พระองค์ตรัสแต่ความจริง และคุณทราบไหมครับว่า อัครสาวกทั้ง11คนที่เหลือ ไม่มีใครได้ดีร่ำรวยใหญ่โต 10คนถูกฆ่าตาย 1คนถูกเนรเทศไปอยู่เกาะ แต่ทุกคนแลกชีวิตกับคำสอนที่ว่าพระเยซูคือพระเจ้า ถ้าเขาทำเพื่อผลประโยชน์ใดๆแล้วก็ดูจะเป็นทุกขลาภมากกว่า เพราะคนเราถ้าจะโกหก ต้องโกหกให้ตัวเองรอด ไม่ใช่โกหก ให้ตัวเองตาย สาวกทั้ง11คน ยอมถูกเบียดเบียน และถูกฆ่า เพราะมีบันทึก เขาพบพระเยซูกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆและมาพบพวกเขา และยังทรงแสดงพระองค์ต่อบรรดาศิษย์กว่า500คน สิ่งนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือกิจการอัครสาวกที่เขียนขึ้นราว30ปีหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์ โดยแพทย์ ชื่อลูกา และการอ้างอิงที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในบันทึกนั้นถูกต้องตามประวัติศาสตร์ทั้งหมด ทำให้เราไม่แปลกใจ ถ้ามีใครยอมแลกชีวิตกับความเชื่อนี้ เพราะเขาเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้เขารู้ว่าชีวิตเรามันไม่ได้มีแค่โลกนี้
ดังนั้น การที่พระเยซูสอนให้เชื่อเพราะในความเป็นจริง ความเชื่อมาก่อนการกระทำครับ แม้ในศาสนาพุทธเอง ถ้าคุณนั่งสมาธิแบบไม่เชื่อ และฟังพระธรรมแบบจับผิด คุณคิดว่าจะบรรลุนิพพานไหม และคนที่เชื่อว่าทำตามหลักพระพุทธเจ้าแล้วจะพบนิพพาน เคยมีใครเห็นหรือพิสูจน์นิพพานมาก่อนไหม ดังนั้น ทุกคนเขาก็เชื่อก่อนปฎิบัติทั้งนั้น
ดังนั้นความเชื่อ จึงเป็นรากฐานของการกระทำ พระเยซูสอนเราให้รักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดจิตใจ รักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง คิดตามหลักเหตุผลก็รู้แล้วว่า การรักกันและกันมีแต่ทำให้เกิดสันติสุข ซึ่งไม่ใช่บอกไม่ได้ว่าทำแล้วมีผลดีอะไร แต่คนที่เขาพบความจริงและสันติสุขในจิตใจจากคำสอนของพระเยซูมีมากมาย
คนที่พิสุจน์ว่าคำสอนของพระเยซูจรรโลงโลก มีจริงพิสูจน์แล้วจริง ในยุคสมัยนี้ คือแม่ชีเทเรซ่า แห่งกัลกัตตา นักบุญเดินดินที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่คณะของคุณแม่ดูแลคนเจ็บป่วยนับล้าน คุณแม่ปรนิบัติ และมอบความรักแก่ขอทาน คนที่ถูกทอดทิ้ง คนวรรณะจัณฑาล ที่ชาวอินเดียรังเกียจที่จะแตะต้อง เพราะเห็นว่า "พวกเขาคือพระเยซูเจ้าที่จำแลงพระกายลงมาเป็นคนต่ำต้อย" เพราะในไบเบิ้ล พระเยซุสอนชัดว่า การกระทำสิ่งใดๆกับผู้ใดที่เทียบเท่ากับการกระทำต่อพระองค์ คือการทำต่อคนต่ำต้อยและไร้ค่าที่สุดในสังคมของท่าน ไม่ใช้ทำกับพระหรือกับศาสนาด้วย ซึ่งแม่ชีเทเรซ่าพิสูจน์แล้วว่าคำสอนนี้ทำได้จริง และบังเกิดผลดีอย่างมหัศจรรย์จริงๆ
ปัญหาคือคนส่วนมากชอบถกเถียงเรื่องหลักศาสนา แต่มีคนน้อยมากที่เอาหลักศาสนาไปปฎิบัติจริงๆ
การพูดและคิดเฉยๆ ไม่ทำให้เรารู้ได้หรอกครับว่าหลักศาสนาที่สอนนั้นดีอน่างไร นอกจากปฎิบัติจริง
ข้อที่3 การเผยแพร่ศาสนาของศาสนานี้ เป็นไปแบบ ต้องเผยแพร่ให้ได้ สร้างแรงจูงใจมากมาย เหมือนการโฆษณาชวนเชื่อในทางการตลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ผมถามให้คุณคิดดูเล่นๆนะ ตอนนี้มีคริสตชนในไทย5แสนคน ถ้าคริสตชนทุกคนทำแบบที่คุณว่าจริงๆ เอาแค่1ปี 1คนให้หาสมาชิกให้ได้คนละ1คน ปีแรกจะมีคนกลายเป็นคริสต์1ล้าน ปีที่2จะเป็น 2ล้าน ปีที่3จะเป็น 4ล้าน และปีที่4 จะเป็น8ล้าน ปีที่5คือ16ล้าน ปีที่6 เป้น32ล้าน และเพียงแค่7ปี คนไทยจะกลายเป็นคริสต์ทั้งประเทศ แล้วในความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าครับ
ถามตัวเองดู
คนคริสต์ส่วนใหญ่เขาประกาศศาสนาแบบนั้น หรือส่วนน้อยที่ทำครับ
คุณทราบไหมครับว่าคริสตศาสนาสายหลักๆนั้นมีกี่นิกาย และทราบไหมว่ามีนิกายนำเข้า และนิกายตั้งเองอีกกี่นิกาย ในต่างประเทศถ้าไม่นับ3นิกายหลักคือ คาทอลิค โปรแตสแตนท์ ออโธดอค มีเกือบพันลัทธิย่อยนะครับ
และนิกายย่อยในไทยที่มีการหาศาสนิกเร็วที่สุดไม่ใช่ปีละ1คน แต่มีคนรับเชื่อใหม่แทบจะทุกสัปดาห์นะครับ
ถึงตรงนี้พอจะเห็นความจริงบ้างหรือยังครับ
การหาคนมาเข้าศาสนาอย่างบ้าคลั่งที่คุณไม่ชอบนั้นไม่ได้มาจากคริสต์สายหลักๆเลย เพราะการหาคนเข้ามาเชื่อนั้นมี2เหตุผลครับ
1.เหตุผลเพราะอยากเผยแพร่สิ่งที่ดีจริงๆ
2.เหตุผลแอบแฝงเพราะต้องทำยอดจะด้วยเพื่อเงินบริจาค หรือชิงดีชิงเด่นก็ตาม
ดังนั้น ในเหตุผลแรก ซึ่งเป็นเหตุผลพื้นฐานของทุกศาสนาแม้แต่ศาสนาพุทธเองในการชวนคนมารู้จักศาสนาตนนั้น ไม่มีใครเขาต้องเอาเป็นเอาตายขนาดนั้นหรอกครับ เพราะสิ่งที่ดีและเราปรารถนาดีจะให้ใครด้วยใจจริง เราย่อมไม่ต้องการบังคับ และการได้โดยการหลอกมาหรือบังคับมา มันก็ผิดหลักคุณธรรมพื้นฐานอยู่แล้ว
แต่การหาอย่างเอาเป็นเอาตายแถมขอร้องแกมบังคับยังกะทำยอดขายตรงให้ได้เป้าเพื่อเลื่อนขั้น นั้น มันก็เดาได้ไม่ยากว่าเพราะอะไร และคุณลองถามคนที่มีพฤติกรรมแบบนั้นดูง่ายๆได้ว่า
1.ผู้นำคริสตจักรตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิหรือเปล่า(บางลัทธิบอกว่าผู้นำเป็นพระเยซูกลับมาเกิด)
2.เน้นการบริจาคเงินหรือเปล่า
3.การตีความหลักธรรมคำสอนผิดหลักคุณธรรมพื้นฐานหรือเปล่า(เรื่องทางเพศ เรื่องไม่ให้เคารพพ่อแม่ ฯลฯ)
4.บอกว่าโบสถ์ตัวเองสอนถูกคนเดียวคนอื่นผิดหมดหรือเปล่า(เขาคงไม่อยากให้คุณย้ายไปที่อื่นแน่ๆ)
ผมขอไม่พูดว่าคือกลุ่มไหน ให้กระทบกระทั่งใคร เพราะใครมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ หรือสมาชิกถูกหลอกใช้จากเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือไม่ ก็รู้กันอยู่แก่ใจ ต่อหน้าพระเจ้า ก็ไปแก้ตัวเอาเอง
ดังนั้นผมไม่มีอะไรจะพูด ถ้าคุณจะเหมารวมว่าคนที่นับถือพระเยซูทุกคนเป็นคริสต์ แล้วมีคนทำอย่างนั้นจริง จะสรุปว่า พวกคริสต์ชอบทำ ก็คงห้ามไม่ได้ แต่ถ้าคุณจะแยกแยะได้ว่าคนที่ทำอะไรเกินเลยในเรื่องการประกาศศาสนาจนเป็นที่สะดุดของคนอื่น คือคนส่วนน้อย และเป็นคนบางคน ไม่ใช่นโยบายของนิกายใหญ่ๆ ก้จะช่วยให้คุณเข้าใจได้ว่า ความเป็นจริงคืออะไร
ข้อที่4 พระเจ้า สามารถตอบสนองต่อคำขอของคนทั่วโลกได้ในเวลาเดียวกัน กะรนั้นหรือ หากป่วยไข้ หรือไม่มีจะกิน พระเจ้าช่วยได้หรือ ความทุกข์มากมายบนโลก ที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่ศรัทธาต่อท่าน ท่านทนเห็นคนที่เค้าศรัทธาท่านเป็นทุก๘์ได้หรือ
พระเยซูพระบุตรพระเจ้ายังเป็นทุกข์ถึงตายนะครับ ถ้าการที่คุณทุกข์เพราะเสียสละและทำความดีไม่มีใครเสียใจหรอกครับ
1ปต 3:13-17 คริสตชนต้องวางตนอย่างไรเมื่อถูกเบียดเบียน
ใครจะทำร้ายท่านได้ถ้าท่านมุ่งมั่นในความดี ถ้าท่านจะต้องทนทุกข์ทั้ง ๆ ที่ทำความดีแล้ว ก็จงเป็นสุขเถิด อย่ากลัวเขา อย่าวุ่นวายใจเลย แต่จงนมัสการ องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระคริสตเจ้าในจิตใจของท่าน จงพร้อมเสมอที่จะให้คำอธิบายแก่ทุกคนที่ต้องการรู้เหตุผลแห่งความหวังของท่าน จงอธิบายด้วยความอ่อนโยนและด้วยความเคารพอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อเมื่อท่านถูกใส่ร้าย ผู้ที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านตามคำสอนของพระคริสตเจ้า ก็จะต้องประสบความอับอาย หากเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า การทนทุกข์เพราะทำความดีนั้น ย่อมดีกว่าการทนทุกข์เพราะทำความชั่ว
---ศาสนาคริสต์สอนเราว่า ความสุขความทุกข์ มีอยู่เสมอในธรรมชาติมนุษย์ แต่เราจะเผชิญหน้าความทุกข์ด้วยจิตใจแบบไหนต่างหาก จิตใจที่หดหู่กล่าวโทษดินฟ้า ด่าทอพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ให้อะไรคุณเลยนอกจากเพิ่มทุกข์ให้สาหัสขึ้น หรือจะเผชิญหน้ามันด้วยอดทน กล้าหาญ และมีกำลังใจที่จะฟันฝ่า และรู้ว่ามีคนที่รักเราคอยช่วยเราอยู่ข้างๆ ศาสนาอื่นนั้น ผมไม่ทราบ แต่ในคริสตศาสนา เราสอนว่าคริสตชน จะเผชิญความทุกข์โดยมีความรักของพระเจ้าอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจครับ
รม 8:31-39 บทเพลงสรรเสริญความรักของพระเจ้า
แล้วเราจะพูดอะไรอีกในเรื่องนี้ ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา ใครจะสู้เราได้ พระองค์มิได้ทรงหวงแหนพระบุตรของพระองค์ แต่ทรงมอบพระบุตรเพื่อเราทุกคน แล้วพระองค์จะไม่ประทานทุกสิ่งให้เราพร้อมกับองค์พระบุตรหรือ ใครเล่าจะฟ้องร้องผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้แล้วได้ พระเจ้าประทานความชอบธรรม ใครเล่าจะตัดสินลงโทษ พระคริสตเยซูสิ้นพระชนม์ ทั้งยังทรงกลับคืนพระชนมชีพ ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ทรงวอนขอแทนเราอีกด้วย ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้ ความทุกข์ลำเค็ญหรือ ความคับแค้นใจหรือ การเบียดเบียนข่มเหงหรือ การขาดอาหารและเครื่องนุ่งห่มหรือ ภยันตรายและคมดาบหรือ ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 7:38 am
โดย Jezebel
ปัญหาคือคนส่วนมากชอบถกเถียงเรื่องหลักศาสนา แต่มีคนน้อยมากที่เอาหลักศาสนาไปปฎิบัติจริงๆ
ตรงนี้อิฉันเห็นด้วยกับพี่ท่านอินฟินิตี้เปอร์เซนต์ค่ะ เห็นด้วยเป็นที่ซู้ดดด
การพูดและคิดเฉยๆ ไม่ทำให้เรารู้ได้หรอกครับว่าหลักศาสนาที่สอนนั้นดีอน่างไร นอกจากปฎิบัติจริง
จริงแท้อย่างที่พี่ท่านว่าไว้ค่ะ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทั้งหลายคะ
พระเยซูเจ้าสอนว่า ถ้าท่านรักกันและกัน คนอื่นจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา ฉะนั้น เราอย่าเป็นศาสนิกชนแต่เพียงคำพูด แต่เราต้อง
รักและรู้จักที่จะให้อภัยกันและกันด้วยจิตใจของเราอย่างแท้จริงค่ะ
ข้อชวนคิด
ท่านรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองหรือไม่คะ ท่านรักผู้อื่นแต่เพียงปาก หรือ รักผู้อื่นด้วยจิตใจของท่านอย่างแท้จริงคะ
เมื่อมีคนทำให้ท่านผิดพ้องหมองใจ ท่านพร้อมที่จะให้อภัยเขาเหล่านั้นด้วยใจกว้างหรือไม่คะ ท่านให้อภัยเขาเหล่านั้นแต่เพียงปาก หรือ ท่านให้อภัยและไม่จดจำความผิดของเขาเหล่านั้นอย่างแท้จริงคะ
ที่สุด ในความเห็นส่วนตัวของอิฉัน เราอย่าได้กังวลใจไปเลยค่ะว่าใครจะมองเราอย่างไร ให้เรานิ่งเงียบเหมือนพระแม่มารีอา ใช้ความรักและการให้อภัยเป็นธงชัย คนเขาก็จะรู้จักและเข้าใจศาสนาอย่างเข้าอกเข้าใจมากยิ่งขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปทะเลาะทุ่มเถียงกับใครหรือแม้แต่โกรธเกลียดใครเมื่อเขาไม่เข้าใจศาสนา หรือมีความเข้าใจที่ผิดๆต่อศาสนา หรือแม้แต่มองศาสนาด้วยอคติ
ถ้าเราเชื่อพระเยซูเจ้าจริงๆ ก็ให้เรารักและอภัยกันและกันสิคะ แค่นี้คนเขาก็จะรู้แล้วว่าเราเป็นศิษย์ของพระองค์ และที่สำคัญเขาทั้งหลายจะเห็นและมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าคริสตชนที่แท้จริงนั้นเป็นคนอย่างไรค่ะ
เพียงเพราะศาสนาสอนไว้ เราจึง"ยอม"ปฏิบัติตามด้วยการรักและให้อภัยกันและกันแต่เพียงปากกระนั้นหรือคะ ถ้าเรานมัสการพระบิดาด้วยจิตและความจริง ก็ขอให้พวกเรารักและให้อภัยกันและกันด้วยจิตใจอย่างแท้จริงกันดีกว่าค่ะ
8) :) เห็นด้วยไหมคะ ;) :-*
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 8:44 am
โดย Buddy.
จงเชื่อในเรา ประกอบอยู่ด้วยเสมอ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า สิ่งที่ปฏิบัติ จะเป็นผลดีอย่างไร
It's pretty much like ..... when you want to help someone who's locked or trapped in the building... You want to help that one but he doesn't trust that you're gonna help him... simply because he doesn't see you... You could be a murder to him.. You could be anyone.... He can't see you and you can't make him see you... What will you do? .. You cannot say anything except that ..
" Trust me.. I'm helping you.. please raise your hand to me... Believe me that I'm here to help you..." ... and that one might say.. " What?? How can I trust you?" And you say..
" Just raise your hand" .... "What will happen if I raise my hand?" ...
" Just raise your hand... Belive me! "...
That's what Jesus is saying.... and that's what pretty much happen... from what you're saying... :) And that's why Jesus tells ue to trust in Him ..... to believe in Him.... Simply because He can help us.. and He is helping us... That's the idea ka.. :)
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 9:53 am
โดย Mass
ถ้าเราเชื่อพระเยซูเจ้าจริงๆ ก็ให้เรารักและอภัยกันและกันสิคะ แค่นี้คนเขาก็จะรู้แล้วว่าเราเป็นศิษย์ของพระองค์ และที่สำคัญเขาทั้งหลายจะเห็นและมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าคริสตชนที่แท้จริงนั้นเป็นคนอย่างไรค่ะ
อันนี้ละ คำตอบสำหรับทุกคำถาม........คำถามทั้งหมดจะสิ้นสุดที่คำตอบนี้ครับ .........ขอชมเชยผู้ตอบครับ...ใช้หลักการเหตุผล....ไม่ใช้ อารมณ์ กับ อคติแทรก....
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 11:58 am
โดย Junior Boy
เมื่อวันอังคารผมไปร้านแมงป่องมากะไปซื้ออะไรมาดู แต่ไปยืนอยู่มุมหนึ่งไปเจอ Davinci วางขายแต่ปกที่ผมเห็นมันต่างกัน หยั่งกับมีภาค 1 และ 2 ผมคิดในใจ อ่าวหนังยังไม่เข้า มาวางขายแล้วเรอะ ! ตอนนั้นผมจะแทบบ้า
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 9:40 pm
โดย Holy
ผมว่าบางทีเราอาจจะสับสนอะไรบางอย่างนะครับ
การทำดี และแสดงกิจการดี ทำให้คนเข้าใจเราในด้านที่ว่าพระเยซูสอนอะไร
แต่ประเด็นการสร้างความเข้าใจผิดจากนิยายไม่ใช่แง่ว่าศาสนาคริสต์สอนอะไรนะครับ
แต่เป็นเรื่องของพระศาสนจักร สถานภาพของพระเยซู ประวัติศาสจร์ ฯลฯ
ซึ่งมันมีความสำคัญเช่นกันแต่เป็นคนละเรื่องกันนะครับ
ในสมัยอัครสาวก นักบุญปาโลทำผิดไหม หรือท่านสอนผิดมากไหม ที่บอกเราแบบนี้
2ทธ 4:1-5
ข้าพเจ้าขอกำชับท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และเฉพาะพระพักตร์ของพระคริสตเยซูผู้จะทรงพิพากษาทั้งผู้เป็นและผู้ตาย โดยอ้างถึงการแสดงพระองค์และพระอาณาจักรของพระองค์ จงประกาศพระวาจา จงพร้อมสรรพทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว จงตักเตือน จงให้กำลังใจ โดยพร่ำสอนด้วยความพากเพียรอย่างเต็มที่ จะถึงเวลาหนึ่งที่พวกเขาจะไม่ต้องการฟังคำสอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาครูจำนวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง พวกเขาจะไม่ยอมฟังความจริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย ส่วนท่านจงหนักแน่นมั่นคงในทุกกรณี จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำงานของผู้ประกาศข่าวดี จงปฏิบัติศาสนบริการให้สำเร็จ
1ทธ 1:3-7 การขจัดผู้สอนผิด
ขณะที่ออกเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนีย ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านอยู่ในเมือง เอเฟซัสต่อไป เพื่อกำชับบางคนมิให้สอนผิด และให้เลิกสนใจเรื่องเทพนิยายและการลำดับวงศ์ตระกูลที่ไม่รู้จบ ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะช่วยให้เข้าใจแผนการที่พระเจ้าทรงแสดงให้เรารู้เพราะความเชื่อ จุดประสงค์ที่ข้าพเจ้าแนะนำดังนี้ก็คือความรักที่มาจากใจบริสุทธิ์ มาจากมโนธรรมที่ถูกต้องและมาจากความเชื่อแท้จริง บางคนหลงทางไปจากจุดประสงค์นี้ จึงเปลี่ยนไปพูดเรื่องไร้สาระ เพราะต้องการทำตนเป็นครูสอนธรรมบัญญัติ ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดและสิ่งที่ตนยืนยันอย่างมั่นใจ
---ท่านโกรธแค้น ชิงชังคนสอนผิดหรือท่านใช้อารมณ์และอคติแทรกไหม ท่านสอนให้เราทำเรื่องไม่ควรทำใช่หรือไม่
การที่บอกว่าทำดีแล้วไม่ต้องชี้แจงความเข้าใจผิดนี่ มันเกี่ยวกันตรงไหนครับ ทำความดีต้องทำไป แต่ถ้าเรามีความรู้พอที่จะชี้แจงคนอื่นได้ เราก็ต้องทำด้วย มันเป็นคนละส่วนกันนะครับ เราไม่ได้ไปประท้วงหรือจ้างฆ่าคนแต่งนิยายนะครับ
การให้อภัย ไม่ได้แปลว่าต้องเลิกชี้แจงความจริงนะครับ
เหมือนอย่างเพื่อนคุณมาด่าคุณเพราะเขาเข้าใจคุณผิด คุณจะบอกว่า คุณจะให้อภัยเพื่อนและไม่คิดจะอธิบายให้เขาเข้าใจให้ถูก แต่จะแสดงความดีแทน มันดูดี แต่ไม่เกี่ยวกันนะครับ ถ้ามีโอกาส การแก้ไขความเข้าใจผิดย่อมสมควรทำ แต่เขาจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องนึง
ผมว่าคงมีการสับสนทางพฤติกรรมเกิดขึ้นแล้วล่ะครับ
Re:ปลดล็อก Da Vinci Code : วรรณกรรมบั่นทอนศรัทธา?
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 12, 2006 10:25 pm
โดย Jezebel
พี่โฮขา
น้องไม่ได้มีเจตนาว่าไม่เป็นการสมควรที่จะโต้แย้งค่ะ น้องเพียงแต่รู้สึกว่าบางคนรู้สึก"ไม่พอใจ"หรือ"โกรธแค้น"จนเกินระดับอันควรค่ะ น้องคิดว่าเมื่อเห็นความไม่ชอบธรรม/ไม่เป็นธรรม เราโกรธได้ แต่อย่าโมโห ( หรืออย่าทำบาป ) แต่บางคน ( น้องหมายถึงคนทั่วๆไปนะคะ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเจาะจงแค่เพื่อนพี่น้องในบอร์ดนิวมานา ) ดูเหมือนโมโหไปแล้วน่ะค่ะ
น้องคิดว่าการชี้แจงสิ่งที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สมควรและพึงกระทำเป็นอย่างยิ่งค่ะ แต่ก็ต้องควรทำในกรอบของความรัก คำพูดและการกระทำก็ควรแสดงออกมาจากความรักน่ะค่ะ น้องเห็นคริสตชนจำนวนหนึ่ง ( ไม่ได้เจาะจงใครเป็นการเฉพาะนะคะ ) ไม่พอใจหนังเรื่องนี้ และมีท่าทีคัดค้านต้านต่อ ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีเหล่านั้นออกมาด้วยจิตตารมณ์ของความรัก ท่าทีของเขาเหล่านั้นออกจะดูดุดันและรุนแรง
นอกจากนี้ น้องมองว่า ถ้าเราชี้แจงแล้ว เขา ( เช่น คนที่เข้าใจผิด ) ไม่ฟัง ยังดึงดันจะเข้าใจผิดๆอย่างนั้นต่อไป เราก็ควรเงียบน่ะค่ะ แม้ว่าเขาจะไม่ฟังเรา ไม่เชื่อเรา หรืออาจจะกวนประสาทเราด้วยซ้ำไป เราก็ไม่ควรไม่พอใจเขา โมโหเขา โกรธเขา เกลียดเขา แต่ในทางตรงกันข้าม เราควรรักเขา และรักให้มากยิ่งๆขึ้นไปด้วยค่ะ เราสามารถสวดภาวนาให้เขาน่ะค่ะพี่
แต่น้องเห็นว่าคริสตชนหลายคนกลับ"ขาดแคลน"จิตตารมณ์แห่งความรัก"แท้" ในทางตรงกันข้าม เขาเหล่านั้นรักแต่เพียงปาก ( เพราะพระเยซูสอนให้รัก ฉันก็รักไปตามกฎที่ให้รักเท่านั้น ) ถ้าลองถามเขาเหล่านั้นว่า พวกเขารักผู้อื่นเหมือนรักตัวเองจริงหรือไม่ เขาพร้อมไหมที่จะให้อภัยทุกคนที่ทำให้เขาผิดพ้องหมองใจ เขาได้ชี้แจงให้เพื่อนพี่น้องที่เข้าใจผิดทราบข้อเท็จจริงแล้ว ถ้าเพื่อนพี่น้องไม่ฟังหรือไม่เชื่อ เขายังพร้อมที่จะให้อภัยเขาไหม เขายังสามารถที่จะรักเพื่อนพี่น้องเหล่านั้นอยู่ไหม หรือจะรักหรือให้อภัยได้ต้องมีเงื่อนไขอะไรก่อน
ฉะนี้ น้องจึงเห็นว่า ถ้าเราไม่สามารถรัก"แท้"และอภัย"แท้"ได้ การมาโหวกเหวกโกรธใครๆที่เขาทำให้ตนไม่พอใจ ก็น่าจะสู้หรือเทียบไม่ได้กับการนิ่งเงียบและเป็นตัวอย่างที่ดีในด้านความรักและการอภัยนะคะ เพราะการที่พูดไป พวกเขาไม่เชื่อ ก็เป็นสิ่งที่เห็นๆกันอยู่แล้ว พูดให้เสียงแหบเสียงแห้ง เขาก็ไม่เชื่อ คนไม่เชื่อพูดอย่างไรเขาก็คงไม่เชื่อน่ะค่ะ แต่ถ้าเราเปลี่ยนท่าทีมารักและให้อภัยเขาล่ะคะ เมื่อความรักเริ่มสัมผัสใจเขา เขาก็อาจเริ่มคิดเริ่มตระหนักใน"ความจริง" และที่สุดก็จะเป็นตัวเขาเองที่จะปฏิเสธ"สิ่งที่เข้าใจผิด"อันมีอยู่แต่เดิม และหันมาเชื่อ"ความจริง"ที่เราได้นำเสนอให้เขา เชื่อด้วยตัวของเขาเอง ผ่านการกระทำของเรา โดยที่เราไม่ต้องเชื้อเชิญให้เขามาเชื่อด้วยคำพูดแม้แต่คำเดียวค่ะ
น้องมีประสบการณ์เช่นนี้ด้วยตัวของน้องเอง เขากลับสรรเสริญศาสนาด้วยซ้ำไปค่ะ จะว่ากันไปแล้ว การที่เรารักและให้อภัยเช่นนี้ก็เป็นการชี้แจงในด้านหนึ่งนะคะ เพียงแต่ไม่ใช่การชี้แจงด้วยคำพูด แต่เป็นการชี้แจงด้วยการกระทำค่ะ
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคะ ให้เรามารักกันและกัน/อภัยให้แก่กันและกันด้วยจิตใจอย่างแท้จริงเถอะค่ะ :-* :) 8)