ความแตกต่างของคำ 3 คำ
Y u K i เขียน: นักบุญ บุญราศี มรณสักขี มีความแตกต่างกันยังไงคับ
จากขั้น"ผู้น่าเคารพ" ก็จะเป็นขั้น"บุญราศี"
บุญราศี คือ ชาวคาทอลิกที่เสียชีวิตไปแล้วและได้รับการประกาศในสารบบบุญราศี
ขั้นต่อไปก็จะเป็นนักบุญ
นักบุญ คือ ชาวคาทอลิกที่เสียชีวิตไปแล้วและได้รับการประกาศในสารบบนักบุญ
คนๆหนึ่งถ้าได้ตายเพื่อพระศาสนา เช่น ในการเบียดเบียนศาสนา เป็นต้น ก็เป็นมรณสักขี เป็นโดยอัตโนมัติ โดยเงื่อนไขทางเหตุการณ์ค่ะ ส่วนจะได้รับการประกาศเป็นบุญราศีและนักบุญต่อไปเป็นลำดับไหม อันนี้ต้องแล้วแต่เงื่อนไขที่กำหนดและเป็นไปตามลำดับขั้นตอนค่ะ
สำหรับเงื่อนไขและลำดับขั้นตอนนั้น ต้องรบกวนผู้แทนสมณกระทรวงว่าด้วยนักบุญมาตอบค่ะ อิฉันจนปัญญาค่ะ
อิฉันว่าน้อง Awake and Live น่าจะทราบนะคะ จากประสบการณ์ที่อิฉันอยู่ในบอร์ดนี้มา อิฉันว่าน้อง A & L เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนี้มาก ต้องรบกวนน้องท่านแล้วนะคะ :-*
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อยากจะช่วยตอบ แต่เกรงว่าจะข้ามหน้า ข้ามตา คริสตัง ฮับJezebel เขียน:
อิฉันว่าน้อง Awake and Live น่าจะทราบนะคะ จากประสบการณ์ที่อิฉันอยู่ในบอร์ดนี้มา อิฉันว่าน้อง A & L เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนี้มาก ต้องรบกวนน้องท่านแล้วนะคะ :-*
ส่วนพี่เพชร ( หรือ A & L ) น่ะ เจ้ากรมพิธี และ ศาสนสัมพันธ์ อะคับ 8)
เห็นไหมคะ น้องA&L ไม่ใช่แค่เจ๊คนเดียวนะคะ น้องเจี๊ยบก็ยังเห็นด้วยกับเจ๊เลยว่าน้องเป็นเจ้ากรมพิธี ถ้าได้บวชเป็นบาทหลวง สงสัยยึดหัวหาดตำแหน่งนายจารีตทุกมิสซา แม้นว่าได้เป็นมุขนายกก็คงได้เป็นประธานกรรมการพิธีกรรมแน่เลย และมาตรว่าได้ไปเป็นพระคาร์ดินัลที่วาติกัน ก็คงครองตำแหน่งสมณมนตรีกระทรวงพิธีกรรม นครรัฐวาติกัน เป็นแน่แท้Jeab Agape เขียน:Jezebel เขียน:
อิฉันว่าน้อง Awake and Live น่าจะทราบนะคะ จากประสบการณ์ที่อิฉันอยู่ในบอร์ดนี้มา อิฉันว่าน้อง A & L เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนี้มาก ต้องรบกวนน้องท่านแล้วนะคะ :-*
อยากจะช่วยตอบ แต่เกรงว่าจะข้ามหน้า ข้ามตา คริสตัง ฮับ
ส่วนพี่เพชร ( หรือ A & L ) น่ะ เจ้ากรมพิธี และ ศาสนสัมพันธ์ อะคับ 8)
ฉะนั้น เจ๊ดันค่ะ เจ๊ขอดัน บวชให้ได้นะคะ น้องA&L เจ๊เชียร์จากใจจริงค่ะ จริงๆนะคะ
ส่วนน้องเจี๊ยบ ถ้าน้องประสงค์จะตอบก็อย่าลังเลเลยค่ะ
น้องเจี๊ยบนี่ไปโบสถ์ความหวังหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ใช่ น้องไปที่ไหนคะ แล้วสังกัดโปรเตสแตนท์นิกายอะไรเหรอคะ ช่วยบอกเจ๊ประดับความรู้เป็นวิทยาทานด้วยเถิดค่ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับนักบุญและบุญราศี
บุญราศี (Blessed)
เป็นสถานะหนึ่งของคริตศาสนิกชนที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งพระคริสตศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกยกย่องให้เป็นแบบอย่างในด้านคุณธรรมและความศรัทธาที่บุคคลนั้นมีต่อพระเจ้า บุญราศี(Blessed) เป็นขั้นหนึ่งที่จะไปสู่การเป็นนักบุญ (Saint) ในภายหน้า
นักบุญคือใคร
"นักบุญ" คำๆ นี้ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะนึกไปถึงยอดมนุษย์ หรือซุปเปอร์แมนที่สามารถทำอภินิหารเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะ "นักบุญ" ก็คือคนธรรมดาสามัญที่เกิดมาบนโลกบูดๆ เบี้ยวๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละแต่เนื่องจากว่าระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านได้ดำเนินชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อในพระศาสนาอย่างสมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ เพราะรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ และเมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว พระศาสนจักรก็ได้ยกย่อง สดุดีคุณงามความดีต่างๆ ที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ โดยถือว่าเป็นชีวิตคริสตชนตัวอย่างที่เราสามารถเลียนแบบได้ และถือว่าเป็นชีวิตคริสตชนตัวอย่างที่เราสามารถเลียนแบบได้ และถือว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เราสามารถเคารพ นับถือ และสวดวิงวอนขอพรจากพระเจ้าผ่านท่านได้ เพราะเชื่อว่าท่านมีชีวิตนิรันดรอยู่ร่วมกับพระคริสตเจ้าในสรวงสวรรค์แล้วนั่นเอง
ประวัติความเป็นมาของคำว่า "นักบุญ" เป็นอย่างไร
ในพระธรรมเก่านั้น คำว่า "นักบุญ" หมายถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะประทานความศักดิ์สิทธิ์ให้ พอมาในสมัยพระธรรมใหม่ "นักบุญ" หมายถึงคริสตชนทุก ๆ คน (เพราะเชื่อว่าพระคริสตเจ้าได้เกิดมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ได้กลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์)ต่อมาใน 6 ศตวรรษแรก ๆ ของพระศาสนจักรนั้น คำ ๆ นี้กลับกลายเป็นตำแหน่งอย่างหนึ่งสำหรับเรียกผู้ที่ได้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อของตน สาเหตุก็เพราะว่าในสมัยนั้นคริสตศาสนายังถูกเบียดเบียนและข่มเหงอยู่มาก บรรดาคริสตชนหลายต่อหลายคนได้ถูกจับไปประหารชีวิตเพราะเป็นคริสตชนหรือไม่ยอมทิ้งศาสนา บางคนถูกตรึงกางเขน ถูกเผาทั้งเป็น ถูกต้มในกะทะน้ำมันเดือด ๆ หรือถูกปล่อยให้สิงโตกินในสนามกีฬากลางแจ้งของชาวโรมันที่เรียกว่า "โคลีเซียม" และอีกมากมายหลายวิธีมาก ในสมัยนั้นเมื่อมีคนใดคนหนึ่งตายเพื่อยืนยันความเชื่อแล้ว พวกคริสตชนจะพยายามเก็บศพนั้นไว้อย่างดี บางทีก็ต้องนำไปฝังในที่ลับ เช่น กาตากอม หรืออุโมงค์ใต้ดิน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนที่กำลังเบียดเบียนมาทำลายหรือลบหลู่ดูหมิ่นนั่นเองต่อมาเมื่อคริสตศาสนาได้รับการยอมรับ และกลายเป็นศาสนาประจำชาติโรมัน การเบียดเบียนจึงลดลง คราวนี้คนที่จะพลีชีพเพื่อศาสนาก็มีจำนวนลดน้อยถอยตามไปด้วย จึงมีคนคิดว่าการเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องตายเพื่อศาสนาเสมอไป แต่ชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อและดำเนินไปตามพระบัญญัติด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ ก็น่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญได้ด้วย
ตั้งแต่นั้นมาการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มขยับขยายออกไปยังคริสตชนอื่น ๆ ที่เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ยึดมั่นในพระธรรมคำสอนและปฏิบัติคุณงามความดีอย่างเคร่งครัดและซื่อสัตย์เพราะเห็นแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ซึ่งก็มีมากมายหลายคน และแต่ละคนต่างก็มีความดีความเด่นแตกต่างกันไป บางคนเด่นในการบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ บางคนเด่นในการเผยแผ่พระศาสนา บางคนเด่นในด้านการมีความรอบรู้ในพระสัจธรรมหรือเป็นนักปราชญ์ และบางคนก็เด่นในด้านมีเมตตาจิต อุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็ได้รับยกย่องว่าเป็น "ธรรมสักขี" (Confessors)
วิวัฒนาการการแต่งตั้งนักบุญเป็นมาอย่างไร
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า เมื่อมีการขยายการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์ จากบุคคลที่พลีชีพเพื่อศาสนาอย่างเดียว มาเป็นบุคคลที่ปฏิบัติคุณงามความดีตามพระธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัดนั้น ก็ได้ทำให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 6-10 ประกอบกับสมัยนั้นยังไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเกี่ยวกับการแต่งตั้งใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญวิธีที่ใช้ตัดสินก็คือ การดูจากจำนวนคนที่เคารพนับถือและศรัทธา จำนวนคนที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพและได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการตัดสินแบบนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดข่าวลือหรือการโจษจันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ ๆ
ดังนั้นทางพระศาสนจักรจึงได้คิดว่าน่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนขึ้นว่า บุคคลใดควรอยู่ในข่ายได้รับการยกย่องเทิดทูนอย่างแท้จริง จึงได้กฎเกณฑ์และระเบียบการแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญขึ้น ซึ่งก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆโดยในระยะแรก ๆ นั้นการจะอนุมัติให้เคารพคนนั้นคนนี้ในฐานะที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับประมุขคริสตชนท้องถิ่นนั้นๆ แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 12 การอนุมัติเรื่องนี้ต้องขึ้นกับพระสันตะปาปาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อจะเป็นหลักประกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งเพื่อเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่บุคคลผู้นั้นนั่นเอง
วิวัฒนาการของการดำเนินการประกาศแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญนับวันก็มีระเบียบกฎเกณฑ์ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1642 สมเด็จพระสันตะปาปาอูบาโนที่ 8 จึงได้ออกสมณกฤษฎีกาว่าด้วยกฎเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการแต่งตั้งนักบุญขึ้น ชื่อว่า "Decreta servanda in canonizatione et beatificatione sanctorum" ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม จนกระทั่งล่าสุด ในปี ค.ศ.1930 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 จึงได้ทรงโปรดให้มีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันได้มีสมณกระทรวงว่าด้วยการประกาศแต่งตั้งนักบุญโดยเฉพาะ ซึ่งก็แยกส่วนออกมาจากสมณกระทรวงพิธีกรรมตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 ทั้งนี้เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับคำร้องและพิธีการดำเนินการประกาศแต่งตั้งนักบุญทั่วพระศาสนจักรสากลโดยตรงนั่นเอง
บุญราศี (Blessed)
เป็นสถานะหนึ่งของคริตศาสนิกชนที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งพระคริสตศาสนา นิกายโรมันคาทอลิกยกย่องให้เป็นแบบอย่างในด้านคุณธรรมและความศรัทธาที่บุคคลนั้นมีต่อพระเจ้า บุญราศี(Blessed) เป็นขั้นหนึ่งที่จะไปสู่การเป็นนักบุญ (Saint) ในภายหน้า
นักบุญคือใคร
"นักบุญ" คำๆ นี้ฟังดูแล้วหลายคนอาจจะนึกไปถึงยอดมนุษย์ หรือซุปเปอร์แมนที่สามารถทำอภินิหารเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะ "นักบุญ" ก็คือคนธรรมดาสามัญที่เกิดมาบนโลกบูดๆ เบี้ยวๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นี่แหละแต่เนื่องจากว่าระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านได้ดำเนินชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อในพระศาสนาอย่างสมบูรณ์ ด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ เพราะรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ และเมื่อท่านจากโลกนี้ไปแล้ว พระศาสนจักรก็ได้ยกย่อง สดุดีคุณงามความดีต่างๆ ที่ท่านเหล่านั้นได้กระทำไว้ โดยถือว่าเป็นชีวิตคริสตชนตัวอย่างที่เราสามารถเลียนแบบได้ และถือว่าเป็นชีวิตคริสตชนตัวอย่างที่เราสามารถเลียนแบบได้ และถือว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่เราสามารถเคารพ นับถือ และสวดวิงวอนขอพรจากพระเจ้าผ่านท่านได้ เพราะเชื่อว่าท่านมีชีวิตนิรันดรอยู่ร่วมกับพระคริสตเจ้าในสรวงสวรรค์แล้วนั่นเอง
ประวัติความเป็นมาของคำว่า "นักบุญ" เป็นอย่างไร
ในพระธรรมเก่านั้น คำว่า "นักบุญ" หมายถึงบุคคลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรที่จะประทานความศักดิ์สิทธิ์ให้ พอมาในสมัยพระธรรมใหม่ "นักบุญ" หมายถึงคริสตชนทุก ๆ คน (เพราะเชื่อว่าพระคริสตเจ้าได้เกิดมาเพื่อช่วยให้มนุษย์ได้กลายเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์)ต่อมาใน 6 ศตวรรษแรก ๆ ของพระศาสนจักรนั้น คำ ๆ นี้กลับกลายเป็นตำแหน่งอย่างหนึ่งสำหรับเรียกผู้ที่ได้พลีชีพเพื่อยืนยันความเชื่อของตน สาเหตุก็เพราะว่าในสมัยนั้นคริสตศาสนายังถูกเบียดเบียนและข่มเหงอยู่มาก บรรดาคริสตชนหลายต่อหลายคนได้ถูกจับไปประหารชีวิตเพราะเป็นคริสตชนหรือไม่ยอมทิ้งศาสนา บางคนถูกตรึงกางเขน ถูกเผาทั้งเป็น ถูกต้มในกะทะน้ำมันเดือด ๆ หรือถูกปล่อยให้สิงโตกินในสนามกีฬากลางแจ้งของชาวโรมันที่เรียกว่า "โคลีเซียม" และอีกมากมายหลายวิธีมาก ในสมัยนั้นเมื่อมีคนใดคนหนึ่งตายเพื่อยืนยันความเชื่อแล้ว พวกคริสตชนจะพยายามเก็บศพนั้นไว้อย่างดี บางทีก็ต้องนำไปฝังในที่ลับ เช่น กาตากอม หรืออุโมงค์ใต้ดิน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้คนที่กำลังเบียดเบียนมาทำลายหรือลบหลู่ดูหมิ่นนั่นเองต่อมาเมื่อคริสตศาสนาได้รับการยอมรับ และกลายเป็นศาสนาประจำชาติโรมัน การเบียดเบียนจึงลดลง คราวนี้คนที่จะพลีชีพเพื่อศาสนาก็มีจำนวนลดน้อยถอยตามไปด้วย จึงมีคนคิดว่าการเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องตายเพื่อศาสนาเสมอไป แต่ชีวิตที่แสดงออกถึงความเชื่อและดำเนินไปตามพระบัญญัติด้วยการปฏิบัติคุณงามความดีต่างๆ ก็น่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญได้ด้วย
ตั้งแต่นั้นมาการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มขยับขยายออกไปยังคริสตชนอื่น ๆ ที่เจริญชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ ยึดมั่นในพระธรรมคำสอนและปฏิบัติคุณงามความดีอย่างเคร่งครัดและซื่อสัตย์เพราะเห็นแก่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ ซึ่งก็มีมากมายหลายคน และแต่ละคนต่างก็มีความดีความเด่นแตกต่างกันไป บางคนเด่นในการบำเพ็ญพรต บำเพ็ญตบะ บางคนเด่นในการเผยแผ่พระศาสนา บางคนเด่นในด้านการมีความรอบรู้ในพระสัจธรรมหรือเป็นนักปราชญ์ และบางคนก็เด่นในด้านมีเมตตาจิต อุทิศตนรับใช้เพื่อนมนุษย์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ก็ได้รับยกย่องว่าเป็น "ธรรมสักขี" (Confessors)
วิวัฒนาการการแต่งตั้งนักบุญเป็นมาอย่างไร
ตามที่กล่าวมาแล้วว่า เมื่อมีการขยายการเคารพนับถือผู้ศักดิ์สิทธิ์ จากบุคคลที่พลีชีพเพื่อศาสนาอย่างเดียว มาเป็นบุคคลที่ปฏิบัติคุณงามความดีตามพระธรรมคำสอนอย่างเคร่งครัดนั้น ก็ได้ทำให้ผู้ศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากมาย โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 6-10 ประกอบกับสมัยนั้นยังไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอนเกี่ยวกับการแต่งตั้งใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญวิธีที่ใช้ตัดสินก็คือ การดูจากจำนวนคนที่เคารพนับถือและศรัทธา จำนวนคนที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพและได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งการตัดสินแบบนี้ก็เป็นเหตุให้เกิดข่าวลือหรือการโจษจันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของคนนั้นคนนี้อยู่เสมอ ๆ
ดังนั้นทางพระศาสนจักรจึงได้คิดว่าน่าจะมีการกำหนดกฎเกณฑ์ให้ชัดเจนขึ้นว่า บุคคลใดควรอยู่ในข่ายได้รับการยกย่องเทิดทูนอย่างแท้จริง จึงได้กฎเกณฑ์และระเบียบการแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญขึ้น ซึ่งก็มีวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆโดยในระยะแรก ๆ นั้นการจะอนุมัติให้เคารพคนนั้นคนนี้ในฐานะที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้นั้น ขึ้นอยู่กับประมุขคริสตชนท้องถิ่นนั้นๆ แต่ต่อมาในศตวรรษที่ 12 การอนุมัติเรื่องนี้ต้องขึ้นกับพระสันตะปาปาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อจะเป็นหลักประกันถึงความศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งเพื่อเป็นเกียรติเป็นศักดิ์ศรีแก่บุคคลผู้นั้นนั่นเอง
วิวัฒนาการของการดำเนินการประกาศแต่งตั้งผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญนับวันก็มีระเบียบกฎเกณฑ์ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1642 สมเด็จพระสันตะปาปาอูบาโนที่ 8 จึงได้ออกสมณกฤษฎีกาว่าด้วยกฎเกณฑ์ และวิธีการดำเนินการแต่งตั้งนักบุญขึ้น ชื่อว่า "Decreta servanda in canonizatione et beatificatione sanctorum" ต่อมาในสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม จนกระทั่งล่าสุด ในปี ค.ศ.1930 สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 11 จึงได้ทรงโปรดให้มีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันได้มีสมณกระทรวงว่าด้วยการประกาศแต่งตั้งนักบุญโดยเฉพาะ ซึ่งก็แยกส่วนออกมาจากสมณกระทรวงพิธีกรรมตั้งแต่ปี ค.ศ.1969 ทั้งนี้เพื่อเป็นผู้รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับคำร้องและพิธีการดำเนินการประกาศแต่งตั้งนักบุญทั่วพระศาสนจักรสากลโดยตรงนั่นเอง
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ พ.ค. 29, 2006 10:57 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ขั้นตอนการแต่งตั้งเป็นนักบุญเขาทำกันอย่างไร
ขั้นตอนการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญนั้นละเอียดซับซ้อน ต้องกระทำอย่างรอบคอบถี่ถ้วนเพราะจะผิดพลาดไม่ได้ ฉะนั้นอาจจะต้องเสียเวลาหลายปี และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการสืบสวนประวัติบุคคลต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอน
การประกาศแต่งตั้งแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอนดังนี้คือ
1.ขั้น "บุญราศี" (Beatification)
2.ขั้น "นักบุญ" (Canonization)
1.ขั้น "บุญราศี" (Beatification) เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ประชาชนยอมรับว่าเป็นคริสตชนตัวอย่างได้สิ้นชีวิตลง แล้วก็ปรากฏว่ามีผู้ได้รับผลจากการสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากบิชอปถิ่นนั้นเอง ก็จะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ เช่น ประวัติของผู้ตายและอัศจรรย์ต่างๆ ที่มีผู้ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อจะได้มีข้อมูลที่แน่นอนและเป็นหลักฐานชัดเจน จากนั้นจึงรวบรวมเรื่องส่งไปยังสมณกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญที่โรม เพื่อให้ดำเนินการขึ้นต่อไป
เมื่อสมณกระทรวงได้รับเรื่องมาแล้ว ก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องราวซึ่งครอบคลุมทั้งชีวประวัติของบุคคลดังกล่าวอย่างละเอียด แม้กระทั่งการตรวจสอบข้อเขียนหรือบันทึกต่างๆ เพื่อเสาะหาความถูกต้องเกี่ยวกับความคิดความเชื่อและการปฏิบัติตัวของเขาว่าเคยหันเหไปจากความเชื่อเที่ยงแท้หรือไม่
โดยจะมีการตั้งทนายขึ้นมา 2 ฝ่ายคือฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายค้าน (ทนายปีศาจ) ทนายฝ่ายสนับสนุน จะมีหน้าที่หาข้อมูลมาป้อน มาตอบข้อข้องใจ เพื่อสนับสนุนให้มีการประกาศแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นบุญราศี หรือนักบุญ ส่วนทนายฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ขุดคุ้ยค้นหาข้อบกพร่องต่างๆ มาคัดค้านมิให้บุคคลผู้นั้นได้รับการประกาศแต่งตั้ง เมื่อทุกฝ่ายเห็นว่าพอใจแล้ว จึงเสนอเรื่องราวให้สมเด็จพระสันตะปาปารับทราบและอนุญาตให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาอย่างเป็นทางการได้ ซึ่งเรียกว่า "Apostolic Process" โดยทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของสมณกระทรวง ว่าด้วยการสถาปนาบุญราศีและนักบุญ
จากนั้นก็จะเป็นการกลั่นกรองข้อเท็จจริงทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ของทางการออกไปตรวจสอบสถานที่ เพื่อสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อทุกอย่างได้รับการตรวจสอบว่าเป็นความจริงแล้วก็จะมีการประกาศว่า หลักฐานทั้งหมดเป็นความจริง "Decree on the Validity of the Process"
เมื่อได้ประกาศว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นความจริงแล้ว ขึ้นต่อไปก็คือการพิสูจน์ว่าชีวิตของบุคคลที่จะได้รับการสถาปนานั้น เป็นชีวิตคริสตชนขั้นวีรชนจริงๆ คือดำเนินไปและจบลงด้วยการปฏิบัติความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง มิใช่เพราะสาเหตุอื่นใด โดยจะมีการค้นหาเหตุผลมาสนับสนุน และการหาเหตุผลมาคัดค้านหักล้างกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกอย่างดำเนินไปจนทุกฝ่ายพอใจแล้ว ก็จะมีการประกาศว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคริสตชนตัวอย่าง ที่ควรแก่การเคารพยกย่อง หรือที่เราเรียกว่า "คารวียะ" (Venerable) ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกที่จะต้องกระทำก่อนการประกาศเป็นบุญราศีหรือนักบุญ
เมื่อได้รับการประกาศว่าเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพยกย่องหรือ "คารวียะ" แล้วขึ้นตอนต่อไปก็คือการประกาศเป็น "บุญราศี" แต่ก่อนที่จะได้รับประกาศเป็นบุญราศีนั้น พระศาสนจักรได้ตั้งเงื่อนไขว่า ต้องมีการพิสูจน์ได้ว่ามีอัศจรรย์อย่างน้อย 2 ประการเกิดขึ้น โดยอาศัยบุญบารมีของ "คารวียะ" ซึ่งในการพิจารณารับรองอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น พระศาสนจักรก็จะพยายามทุกวิถีทางในการตรวจสอบว่าได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น และอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ต้องเกิดโดยการวิงวอนของบุคคลที่เป็น "คารวียะ" นั้นจริงๆ (ในกรณีของมรณสักขีหรือผู้ที่ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา ความตายของเขาก็ถือว่าเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ สามารถใช้แทนอัศจรรย์สองประการที่กำหนดนี้ได้) พร้อมกันนั้นในขั้นนี้ก็จะมีการตรวจศพหรือพระธาตุ (เศษร่างกาย) ของผู้ตายด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นธรรมเนียม และเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นบุคคลผู้นั้นจริงๆ
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะนำเรื่องขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อทรงรับรองอีกครั้ง และกำหนดวันสถาปนาคารวียะดังกล่าวขึ้นเป็น "บุญราศี" ซึ่งหมายความว่าต่อไปคริสตชนทุกคนสามารถแสดงความเคารพนับถือ และแสดงความศรัทธาในตัวท่านได้ แต่ความเคารพและพิธีกรรมต่างๆ นั้นก็ยังคงจำกัดอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ หรือประเทศนั้นๆ ยังมิได้ขยายออกไปทั่วพระศาสนจักรสากล (ตัวอย่าง บุญราศี ทั้ง 8 ของประเทศไทย)
2.ขั้น "นักบุญ" (Canonization) หลังจากได้รับสถาปนาเป็นบุญราศีแล้ว ขึ้นตอนต่อไปก็คือการดำเนินการเพื่อประกาศแต่งตั้งเป็น "นักบุญ" แต่ว่าก่อนที่จะเป็นนักบุญ พระศาสนจักรก็ได้กำหนดว่าจะต้องมีผู้ได้รับอัศจรรยืโดยคำวิงวอนของท่านบุญราศีผู้นั้นอีกอย่างน้อย 2 ประการ ซึ่งการรอคอยอัศจรรย์ขั้นนี้อาจจะยาวนานหลายปี บางรายกินเวลาเป็นศตวรรษก็มี จากนั้นก็จะมีการพิจารณาตรวจสอบศพอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะดูว่าเป็นบุคคลนั้นจริงหรือไม่ และมีบางรายได้รับพรพิเศษให้ศพไม่เน่าเปื่อยตามกาลเวลาเกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนมามักจะเป็นเรื่องของการหายจากโรคที่สุดวิสัยความสามารถมนุษย์จะรักษา แต่การหายป่วยจากโรคอย่างอัศจรรย์นี้ก็จะได้รับการตรวจสอบและยืนยันโดยแพทย์ หรือนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการอัศจรรย์จริงๆ
เมื่อผ่านขึ้นตอนทุกอย่างแล้วก็จะมีการประกาศแต่งตั้งบุญราศีองค์นั้นขึ้นมาเป็น "นักบุญ" โดยสมเด็จพระสันตะปาปา พิธีการประกาศแต่งตั้งจะมีขึ้นอย่างมโหฬารที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ กรุงโรมเป็นพิธีที่สง่างามน่าประทับใจที่สุดพิธีหนึ่งที่ทางพระศาสนจักรจัดขึ้น เพราะการประกาศสถาปนาบุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นนักบุญ ย่อมหมายถึงเกียรติขึ้นสูงสุดที่คริสตชนคนหนึ่งพึงจะได้รับ โดยท่านผู้นั้นจะได้รับการประกาศชนิดที่พระศาสนจักรใช้เอกสิทธิ์ความไม่รู้ผิดพลั้งของสมเด็จพระสันตะปาปามาเป็นหลักประกันความจริง ท่านจะเป็นที่เคารพนับถือของชาวคาทอลิกทั่วโลกและชื่อของท่านผู้นั้นก็จะได้รับการบันทึกเข้าไว้ในบัญชีสารบบนักบุญตลอดไปชั่วกาลนาน
นี่แหละคือลำดับขั้นตอนที่พระศาสนจักรคาทอลิกได้ใช้ในการประกาศสดุดีคุณงามความดีขั้นวีรกรรมของบรรดาสมาชิกของพระศาสนจักรซึ่งทุกยุคทุกสมัยก็จะมีพี่น้องของเราได้รับเกียรตินี้ เพื่อมอบเป็นแบบอย่างแก่เราอยู่เสมอๆ และพระศาสนจักรก็พยายามสอนลูกๆ ของตนเสมอว่า ให้พยายามเลียนแบบความสมบูรณ์ทางคุณธรรมของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นในการเจริญรอยตามพระคริสตเจ้า ทั้งนี้เพราะผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญเหล่านั้นต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เคยมีชีวิตจริงๆ บนโลกใบนี้ ดังนั้นแบบอย่างชีวิตของท่านจึงเป็นสิ่งที่ดี ที่ใกล้ตัว ที่เราสามารถเห็นได้และเลียนแบบได้ เพื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะได้เข้าสู่สวรรค์ มีชีวิตนิรันดรร่วมกับพระคริสตเจ้า และท่านเหล่านั้นด้วย และนี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไม..คาทอลิกจึงนับถือนักบุญ
(เอกสารอ้างอิง : ป.พงษ์วิรัชไชย "ประวัติและขึ้นตอน การดำเนินการแต่งตั้ง บุญราศีและนักบุญ" (บทความ) , อุดมศานต์ ปีที่ 69 ตุลาคม 2532/ มนัส จวบสมัย, สารานุกรมศาสนาคริสต์คาทอลิกฉบับย่อ ; 20 ตุลาคม 2526)
ขั้นตอนการประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญนั้นละเอียดซับซ้อน ต้องกระทำอย่างรอบคอบถี่ถ้วนเพราะจะผิดพลาดไม่ได้ ฉะนั้นอาจจะต้องเสียเวลาหลายปี และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการสืบสวนประวัติบุคคลต่างๆ แต่อย่างไรก็ตาม ขั้นตอน
การประกาศแต่งตั้งแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอนดังนี้คือ
1.ขั้น "บุญราศี" (Beatification)
2.ขั้น "นักบุญ" (Canonization)
1.ขั้น "บุญราศี" (Beatification) เมื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่ประชาชนยอมรับว่าเป็นคริสตชนตัวอย่างได้สิ้นชีวิตลง แล้วก็ปรากฏว่ามีผู้ได้รับผลจากการสวดวิงวอนขอความช่วยเหลือจากบิชอปถิ่นนั้นเอง ก็จะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงต่างๆ เช่น ประวัติของผู้ตายและอัศจรรย์ต่างๆ ที่มีผู้ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อจะได้มีข้อมูลที่แน่นอนและเป็นหลักฐานชัดเจน จากนั้นจึงรวบรวมเรื่องส่งไปยังสมณกระทรวงว่าด้วยการสถาปนานักบุญที่โรม เพื่อให้ดำเนินการขึ้นต่อไป
เมื่อสมณกระทรวงได้รับเรื่องมาแล้ว ก็จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องราวซึ่งครอบคลุมทั้งชีวประวัติของบุคคลดังกล่าวอย่างละเอียด แม้กระทั่งการตรวจสอบข้อเขียนหรือบันทึกต่างๆ เพื่อเสาะหาความถูกต้องเกี่ยวกับความคิดความเชื่อและการปฏิบัติตัวของเขาว่าเคยหันเหไปจากความเชื่อเที่ยงแท้หรือไม่
โดยจะมีการตั้งทนายขึ้นมา 2 ฝ่ายคือฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายค้าน (ทนายปีศาจ) ทนายฝ่ายสนับสนุน จะมีหน้าที่หาข้อมูลมาป้อน มาตอบข้อข้องใจ เพื่อสนับสนุนให้มีการประกาศแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวเป็นบุญราศี หรือนักบุญ ส่วนทนายฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ขุดคุ้ยค้นหาข้อบกพร่องต่างๆ มาคัดค้านมิให้บุคคลผู้นั้นได้รับการประกาศแต่งตั้ง เมื่อทุกฝ่ายเห็นว่าพอใจแล้ว จึงเสนอเรื่องราวให้สมเด็จพระสันตะปาปารับทราบและอนุญาตให้นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาอย่างเป็นทางการได้ ซึ่งเรียกว่า "Apostolic Process" โดยทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิดของสมณกระทรวง ว่าด้วยการสถาปนาบุญราศีและนักบุญ
จากนั้นก็จะเป็นการกลั่นกรองข้อเท็จจริงทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้จะมีการส่งเจ้าหน้าที่ของทางการออกไปตรวจสอบสถานที่ เพื่อสอบสวนเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อทุกอย่างได้รับการตรวจสอบว่าเป็นความจริงแล้วก็จะมีการประกาศว่า หลักฐานทั้งหมดเป็นความจริง "Decree on the Validity of the Process"
เมื่อได้ประกาศว่าหลักฐานทั้งหมดเป็นความจริงแล้ว ขึ้นต่อไปก็คือการพิสูจน์ว่าชีวิตของบุคคลที่จะได้รับการสถาปนานั้น เป็นชีวิตคริสตชนขั้นวีรชนจริงๆ คือดำเนินไปและจบลงด้วยการปฏิบัติความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์อย่างแท้จริง มิใช่เพราะสาเหตุอื่นใด โดยจะมีการค้นหาเหตุผลมาสนับสนุน และการหาเหตุผลมาคัดค้านหักล้างกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกอย่างดำเนินไปจนทุกฝ่ายพอใจแล้ว ก็จะมีการประกาศว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคริสตชนตัวอย่าง ที่ควรแก่การเคารพยกย่อง หรือที่เราเรียกว่า "คารวียะ" (Venerable) ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกที่จะต้องกระทำก่อนการประกาศเป็นบุญราศีหรือนักบุญ
เมื่อได้รับการประกาศว่าเป็นบุคคลที่ควรแก่การเคารพยกย่องหรือ "คารวียะ" แล้วขึ้นตอนต่อไปก็คือการประกาศเป็น "บุญราศี" แต่ก่อนที่จะได้รับประกาศเป็นบุญราศีนั้น พระศาสนจักรได้ตั้งเงื่อนไขว่า ต้องมีการพิสูจน์ได้ว่ามีอัศจรรย์อย่างน้อย 2 ประการเกิดขึ้น โดยอาศัยบุญบารมีของ "คารวียะ" ซึ่งในการพิจารณารับรองอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น พระศาสนจักรก็จะพยายามทุกวิถีทางในการตรวจสอบว่าได้เกิดอัศจรรย์ขึ้น และอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ต้องเกิดโดยการวิงวอนของบุคคลที่เป็น "คารวียะ" นั้นจริงๆ (ในกรณีของมรณสักขีหรือผู้ที่ยอมพลีชีพเพื่อศาสนา ความตายของเขาก็ถือว่าเป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ สามารถใช้แทนอัศจรรย์สองประการที่กำหนดนี้ได้) พร้อมกันนั้นในขั้นนี้ก็จะมีการตรวจศพหรือพระธาตุ (เศษร่างกาย) ของผู้ตายด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นธรรมเนียม และเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นบุคคลผู้นั้นจริงๆ
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะนำเรื่องขึ้นกราบทูลสมเด็จพระสันตะปาปาเพื่อทรงรับรองอีกครั้ง และกำหนดวันสถาปนาคารวียะดังกล่าวขึ้นเป็น "บุญราศี" ซึ่งหมายความว่าต่อไปคริสตชนทุกคนสามารถแสดงความเคารพนับถือ และแสดงความศรัทธาในตัวท่านได้ แต่ความเคารพและพิธีกรรมต่างๆ นั้นก็ยังคงจำกัดอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ หรือประเทศนั้นๆ ยังมิได้ขยายออกไปทั่วพระศาสนจักรสากล (ตัวอย่าง บุญราศี ทั้ง 8 ของประเทศไทย)
2.ขั้น "นักบุญ" (Canonization) หลังจากได้รับสถาปนาเป็นบุญราศีแล้ว ขึ้นตอนต่อไปก็คือการดำเนินการเพื่อประกาศแต่งตั้งเป็น "นักบุญ" แต่ว่าก่อนที่จะเป็นนักบุญ พระศาสนจักรก็ได้กำหนดว่าจะต้องมีผู้ได้รับอัศจรรยืโดยคำวิงวอนของท่านบุญราศีผู้นั้นอีกอย่างน้อย 2 ประการ ซึ่งการรอคอยอัศจรรย์ขั้นนี้อาจจะยาวนานหลายปี บางรายกินเวลาเป็นศตวรรษก็มี จากนั้นก็จะมีการพิจารณาตรวจสอบศพอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะดูว่าเป็นบุคคลนั้นจริงหรือไม่ และมีบางรายได้รับพรพิเศษให้ศพไม่เน่าเปื่อยตามกาลเวลาเกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนมามักจะเป็นเรื่องของการหายจากโรคที่สุดวิสัยความสามารถมนุษย์จะรักษา แต่การหายป่วยจากโรคอย่างอัศจรรย์นี้ก็จะได้รับการตรวจสอบและยืนยันโดยแพทย์ หรือนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการอัศจรรย์จริงๆ
เมื่อผ่านขึ้นตอนทุกอย่างแล้วก็จะมีการประกาศแต่งตั้งบุญราศีองค์นั้นขึ้นมาเป็น "นักบุญ" โดยสมเด็จพระสันตะปาปา พิธีการประกาศแต่งตั้งจะมีขึ้นอย่างมโหฬารที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ กรุงโรมเป็นพิธีที่สง่างามน่าประทับใจที่สุดพิธีหนึ่งที่ทางพระศาสนจักรจัดขึ้น เพราะการประกาศสถาปนาบุคคลใด บุคคลหนึ่งเป็นนักบุญ ย่อมหมายถึงเกียรติขึ้นสูงสุดที่คริสตชนคนหนึ่งพึงจะได้รับ โดยท่านผู้นั้นจะได้รับการประกาศชนิดที่พระศาสนจักรใช้เอกสิทธิ์ความไม่รู้ผิดพลั้งของสมเด็จพระสันตะปาปามาเป็นหลักประกันความจริง ท่านจะเป็นที่เคารพนับถือของชาวคาทอลิกทั่วโลกและชื่อของท่านผู้นั้นก็จะได้รับการบันทึกเข้าไว้ในบัญชีสารบบนักบุญตลอดไปชั่วกาลนาน
นี่แหละคือลำดับขั้นตอนที่พระศาสนจักรคาทอลิกได้ใช้ในการประกาศสดุดีคุณงามความดีขั้นวีรกรรมของบรรดาสมาชิกของพระศาสนจักรซึ่งทุกยุคทุกสมัยก็จะมีพี่น้องของเราได้รับเกียรตินี้ เพื่อมอบเป็นแบบอย่างแก่เราอยู่เสมอๆ และพระศาสนจักรก็พยายามสอนลูกๆ ของตนเสมอว่า ให้พยายามเลียนแบบความสมบูรณ์ทางคุณธรรมของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นในการเจริญรอยตามพระคริสตเจ้า ทั้งนี้เพราะผู้ศักดิ์สิทธิ์หรือนักบุญเหล่านั้นต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เคยมีชีวิตจริงๆ บนโลกใบนี้ ดังนั้นแบบอย่างชีวิตของท่านจึงเป็นสิ่งที่ดี ที่ใกล้ตัว ที่เราสามารถเห็นได้และเลียนแบบได้ เพื่อว่าสักวันหนึ่งเราจะได้เข้าสู่สวรรค์ มีชีวิตนิรันดรร่วมกับพระคริสตเจ้า และท่านเหล่านั้นด้วย และนี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไม..คาทอลิกจึงนับถือนักบุญ
(เอกสารอ้างอิง : ป.พงษ์วิรัชไชย "ประวัติและขึ้นตอน การดำเนินการแต่งตั้ง บุญราศีและนักบุญ" (บทความ) , อุดมศานต์ ปีที่ 69 ตุลาคม 2532/ มนัส จวบสมัย, สารานุกรมศาสนาคริสต์คาทอลิกฉบับย่อ ; 20 ตุลาคม 2526)
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
ส่วน มรณสักขี หรือ Martyrs
คือ ผู้ที่ยอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อหรือเป็นสักขีพยานถึงความเชื่อต่อพระเจ้า
หรือก็คือ ยอมตายโดยไม่ยอมละทิ้งความเชื่อนั่นเองคะ
คริสตชนที่พลีชีพ เพื่อประกาศความเชื่ออย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เรียกว่า "มรณสักขี หรือมาร์ตีร์" (Martyr) ถือว่าเป็น ชีวิตคริสตชนตัวอย่าง เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสตชนในยุคแรกๆ นั้น ต่างก็ยกย่องสดุดีให้ความเคารพ นับถือ และศรัทธาต่อท่านเหล่านั้นเป็นอันมาก จึงได้มีพิธีกรรมต่างๆ เพื่อแสดงถึงความเคารพ และระลึกถึงท่าน เช่นการเคารพหลุมฝังศพ การสวดวิงวอน และการประกอบพิธี บนหลุมฝังศพของท่าน เป็นต้น
http://www.geocities.com/prakobkit/saints/1saint.htm
คือ ผู้ที่ยอมตายเพื่อยืนยันความเชื่อหรือเป็นสักขีพยานถึงความเชื่อต่อพระเจ้า
หรือก็คือ ยอมตายโดยไม่ยอมละทิ้งความเชื่อนั่นเองคะ
คริสตชนที่พลีชีพ เพื่อประกาศความเชื่ออย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เรียกว่า "มรณสักขี หรือมาร์ตีร์" (Martyr) ถือว่าเป็น ชีวิตคริสตชนตัวอย่าง เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสตชนในยุคแรกๆ นั้น ต่างก็ยกย่องสดุดีให้ความเคารพ นับถือ และศรัทธาต่อท่านเหล่านั้นเป็นอันมาก จึงได้มีพิธีกรรมต่างๆ เพื่อแสดงถึงความเคารพ และระลึกถึงท่าน เช่นการเคารพหลุมฝังศพ การสวดวิงวอน และการประกอบพิธี บนหลุมฝังศพของท่าน เป็นต้น
http://www.geocities.com/prakobkit/saints/1saint.htm
พี่เบลอย่ามายกยอผมขนาดนั้นเลยครับ ช่วงนี้งานเยอะครับ ต้องรับผิดชอบงานทั้งพิธีกรรม คริสตศาสนสัมพันธ์ และงานส่วนตัวพ่อเขียวอีก แต่ก็เป็นแค่ฆราวาสธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ข้าวในนามีมาก คนงานมีน้อย แต่คนเช่านาไม่ยอมจ้างคนงานมาเพิ่ม ช่วยสวดให้ด้วยครับ คนงานที่อยู่จะแย่อยู่แล้ว
~@Little lamb@~ เขียน:
คริสตชนที่พลีชีพ เพื่อประกาศความเชื่ออย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เรียกว่า "มรณสักขี หรือมาร์ตีร์" (Martyr) ถือว่าเป็น ชีวิตคริสตชนตัวอย่าง เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคริสตชนในยุคแรกๆ นั้น ต่างก็ยกย่องสดุดีให้ความเคารพ นับถือ และศรัทธาต่อท่านเหล่านั้นเป็นอันมาก
ขอเล่าเกร็ดเล่นๆกับคำว่า มาร์ตีร์หน่อยนะคุณ LL
เราคนไทยก็อ่านว่า มาร์ตีร์
พอไปเจออเมริกันเข้า พูดกันอยู่นานไม่รู้เรื่อง ต้องสะกดกันเลย
เขาอ่านว่า มาเดอร์
ตอนแรกก็ให้สงสัยวามันเกี่ยวับแม่อย่างไร
เขาบอกว่า อเมริกันไม่ออกเสียง ต เต่า ออกเป็น ด เด็ก
อย่าง วอเตอร์ แปลว่าน้ำ ออกเสียงว่า วอเดอร์
คุณ Buddy ว่าอย่างไร ผู้มีประสบการณ์ตรง
ช่วยผู้รู้งูๆปลาๆด้วยจ้า
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เด้อ คะเด้อ หุ หุ หุ
LL ว่ามันแล้วแต่สำเนียงของท้องถิ่นนั้น ๆ น๊า~~~~~~
LL ว่ามันแล้วแต่สำเนียงของท้องถิ่นนั้น ๆ น๊า~~~~~~
ใช่จ้า สำเนียงแต่ละถิ่นต่างกันไป~@Little lamb@~ เขียน: เด้อ คะเด้อ หุ หุ หุ
LL ว่ามันแล้วแต่สำเนียงของท้องถิ่นนั้น ๆ น๊า~~~~~~
เลยทำให้ต้องไปค้นจาก Dictionary
Dic ของ ส, เศรษฐบุตร ออกเสียงว่า มาร์เทอะ
The New Oxford American Dictionary ว่า martor ออกเสียง แบบ donor นะ
เอ้าไหนๆ ก็ไหน แล้ว
เขาบอกอีกว่า คำนี้มาจาก ภาษากรีก ที่ว่า matur แปลว่า witness พยาน จ้า
แก้ไขล่าสุดโดย Phulasso เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 03, 2006 8:23 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เพราะเราไม่ได้อ่านออกเสียงแบบอังกฤษงัยคะ
เราอ่านแบบละติน ที่ออกเสียงสระทุกตัว(มั๊ง)
Ma-r-tyr-s
เราอ่านแบบละติน ที่ออกเสียงสระทุกตัว(มั๊ง)
Ma-r-tyr-s
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
คิ คิ คิ ค๊า.....Phulasso เขียน:เห็นด้วย ๅ 1000% จ้า~@Little lamb@~ เขียน: เพราะเราไม่ได้อ่านออกเสียงแบบอังกฤษงัยคะ
เราอ่านแบบละติน ที่ออกเสียงสระทุกตัว(มั๊ง)
Ma-r-tyr-s
;D