นำเสนอโดย... สิริโรจนา Last 09/14/2006 00:24:33
________________________________________
พระนางพรหมจารีมารีอาทรงประทานพระหรรษทานเจ็ดประการแก่คริสตชนผู้ถวายเกียรติแด่พระนางทุกวันโดยสวดบทวันทามารีอา
และรำพึงถึงมหาทุกข์ของพระนาง นักบุญบริดยิทเป็นคนแรกเผยแพร่ความศรัทธานี้
พระนางมารีอาสัญญาว่า:
1. แม่จะประทานสันติสุขแก่ครอบครัวของผู้มีความศรัทธาต่อมหาทุกข์เจ็ดประการ
2. เขาจะได้รับความสว่างสามารถเข้าใจรหัสธรรมลึกล้ำต่างๆ
3. แม่จะมาบรรเทาทุกข์เขาในยามเจ็บป่วยและเป็นเพื่อนเขาในเวลาทำงาน
4. แม่จะประทานสิ่งที่เขาขอจากแม่ ถ้าสิ่งนั้นไม่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระบุตรและความศักดิ์สิทธิ์ของวิญญาณ
5. แม่จะพิทักษ์เขาในการต่อสู้กับฤทธิ์อำนาจของเจ้าแห่งความมืด และปกป้องคุ้มครองเขาทุกเวลาในระหว่างยังมีชีวิตอยู่
6. เขาจะได้เห็นแม่มาช่วยเขาในวาระสุดท้าย
7. แม่ได้ขอพระหรรษทานนี้จากองค์พระบุตรสำหรับคนที่เผยแพร่ความศรัทธาต่อมหา ทุกข์เจ็ดประการ หลังจากความตายในโลกนี้เขาจะได้เข้าสวรรค์โดยตรง เพราะพระบุตรจะให้อภัยบาปทั้งหมด และพระองค์จะเป็นความบรรเทาใจและความชื่นชมยินดีของเขาชั่วนิรันดร
มหาทุกข์เจ็ดประการ
คำทำนายของผู้เฒ่าซิเมออน (St. Luke 2:34, 35)
ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์หลบหนีเข้าอียิปต์ (St. Matthew 2:13-14)
เด็กน้อยเยซูได้หายไปในพระวิหาร (St. Luke 2:43-45)
พระเยซูเจ้าทรงพบพระมารดามารีอาบนมรรคามหาทุกข์
พระเยซูเจ้าถูกตรึงไม้กางเขน
พระสหายถอดพระกายพระเยซูเจ้าลงจากไม้กางเขน
การฝังพระศพพระเยซูเจ้า
ความศรัทธาต่อพระมารดามหาทุกข์
ประการที่หนึ่ง
คำทำนายของซิเมอออน: "แล้วผู้เฒ่าซิเมออนได้อวยพรเขาทั้งหลาย และพูดกับพระนางมารีอาพระมารดาของพระองค์ว่า พระกุมารนี้ทรงบังเกิดมาเพื่อความพินาศและความรอดของคนเป็นจำนวนมากในอิสราเอล พระองค์จะเป็นสัญลักษณ์แห่งการขัดแย้ง ดาบปลายแหลมจะทิ่มแทงดวงพระวิญญาณของพระนางและดวงใจมากมายจะได้รับการดลใจ" (Luke 2:34, 35)
รำพึง: พระนางมารีอาทรงตกพระทัยเมื่อได้ฟังคำพูดน่าเศร้าใจของผู้เฒ่าซิเมออน ซึ่งหมายถึงพระมหาทรมานอันเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้าพระบุตรผู้อ่อนหวานน่ารักยิ่งนัก ในเวลานั้นจิตใจของพระนางได้แลเห็นมนุษย์ใจดำอำมหิตจะถวาย การสบประมาท การโบยตี และ การทรมาน แด่พระมหาไถ่ของโลก นอกจากนั้น ดาบแหลมๆจะทิ่มแทงดวงพระวิญญาณของพระนาง นั่นคือความอกตัญญูของมนุษย์ต่อพระบุตรสุดที่รักของพระนาง เมื่อเราทำบาปเราเป็นคนอกตัญญู
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่สอง
การหลบหนีเข้าอียิปต์: "หลังจากพระยาสามองค์ได้เดินทางกลับไปแล้ว เทวทูตของพระเจ้าได้ปรากฏกายแก่นักบุญยอเซฟในฝันและพูดว่า "จงลุกขึ้นรีบพาพระกุมารและพระมารดาของพระองค์เข้าไปในดินแดนอียิปต์และอยู่ที่นั่นจนกว่าข้าพเจ้าจะมาส่งข่าวให้ท่าน เพราะเฮรอดกำลังตามฆ่าพระองค์" นักบุญยอเซฟได้ลุกขึ้นรีบพาพระกุมารและพระมารดาของพระองค์เข้าอียิปต์ในเวลากลางคืน พระองค์ได้ประทับอยู่ที่นั่นจนเฮรอดหมดลมหายใจ" (Matthew 2:13-14)
รำพึง: จงพิจารณาดวงพระทัยของพระนางมารีอาเหมือนถูกปักด้วยลูกศรแหลมคมเมื่อเทวดาได้มาเตือนนักบุญยอเซฟ พระนางจะต้องหลบหนีในเวลากลางคืนเพื่อพิทักษ์รักษาชีวิตของพระบุตรสุดที่รักของพระนางเนื่องจากเฮรอดได้ออกคำสั่งสังหารพระองค์ พระนางจะต้องตระหนกตกพระทัยอย่างที่สุดรีบออกจากแคว้นยูเดียเพราะทหารของพระราชาเหี้ยมโหดกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ พระนางจะต้องพบอุปสรรคนานัปการในการเดินทางยาวนาน พระนางจะต้องทนทุกข์ทรมานในดินแดนเนรเทศ พระนางจะต้องลำบากพระทัยในการดำรงชีวิตท่ามกลางประชาชนที่นมัสการเทวรูป หลายครั้งหลายหนเราได้ทำให้พระนางมารีอาเศร้าระทมขมขื่นอย่างแสนสาหัสเพราะบาปของเราได้ขับไล่พระเยซูเจ้าออกจากดวงใจของเรา
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่สาม
การหายไปของพระเยซูเจ้าในพระวิหาร: "เมื่อศาสนกิจเสร็จเรียบร้อยเขาทั้งหลายได้กลับบ้านและเด็กน้อยเยซูยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม บิดามารดาของพระองค์ไม่ทราบเรื่องนี้เลยคิดว่าพระองค์ทรงอยู่กับเพื่อนๆที่มาด้วยกัน ท่านทั้งสองได้ออกเดินทางเป็นเวลาหนึ่งวันและเที่ยวเสาะหาพระองค์ในหมู่ญาติและคนรู้จัก เมื่อไม่พบพระองค์ท่านก็กลับเยรูซาเล็มเพื่อตามหาพระองค์" (Luke 2:43-45)
รำพึง: ความกังกลพระทัยของพระนางมารีอาคงจะท่วมท้นเมื่อพระนางรู้ว่าได้พลัดพรากจากพระบุตรสุดที่รักของพระนาง ความทุกข์ของพระนางคงจะต้องทวีขึ้นเมื่อพระนางได้พยายามหาพระองค์อย่างขยันขันแข็งในหมู่ญาติและคนรู้จักโดยไม่ทราบข่าวคราวของพระองค์เลย ไม่มีอุปสรรค ความเหนื่อยหน่าย หรืออันตรายใดๆขัดขวางพระนาง ด้วยเหตุนี้ พระนางจึงเดินทางกลับกรุงเยรูซาเล็มและตาม หาพระองค์ด้วยความทุกข์มหันต์เป็นเวลาสามวันเต็ม โอ้ จิตวิญญาณของเราคงจะต้องสับสนอลหม่านยิ่งนักเมื่อเราได้พลัดพรากจากพระเยซูเจ้าเพราะบาปของเรา แล้วเรายังไม่เอาใจใส่แสวงหาพระองค์อย่างทันกาล นี่คือสัญญาณแสดงว่าเราไม่สนใจใยดีที่พระเจ้าทรงรักเราอย่างไม่มีขอบเขตเหลือล้นชั่วนิรันดร
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่สี่
การพบกันของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีอาบนมรรคามหาทุกข์: "และฝูงชนมากมายได้ติดตามพระองค์ รวมทั้งกลุ่มสตรี ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าและร้องไห้ที่เห็นพระองค์ถูกทรมานไร้ความปราณี" (Luke 23:27)
รำพึง: โอ้ คนบาปเอ๋ย จงมาดูสิว่าท่านจะทนเห็นภาพนี้ได้หรือไม่? พระมารดาผู้สุภาพอ่อนโยนและอ่อนหวานน่ารักยิ่งนักทรงพบพระบุตรสุดที่รักของพระนางขณะกลุ่มคนผู้มีจิตใจชั่วร้ายกำลังลากพระองค์ไปสู่ความตายอันเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส ทั่งพระกายของพระองค์จากพระเศียรจดปลายพระบาทปกคลุมด้วยบาดแผลและรอยเฆี่ยน มีมงกุฏหนามบนพระเศียรและพระโลหิตทะลักออกมาในขณะที่พระองค์แบกไม้กางเขน จงพิจารณาความทุกข์ของพระนางพรหมจารีมารีอาเมื่อพระนางจ้องมองพระบุตรของพระนาง ใครเล่าจะไม่สะเทือนใจและหลั่งน้ำตาเมื่อแลเห็นมหาทุกข์ของพระมารดาของพระองค์? ใครคือต้นเหตุแห่งความทุกข์อันมหันต์นี้? เราเอง บาปของเราได้ทำร้ายดวงพระ ทัยของพระมารดาอย่างทารุณโหดร้าย ยิ่งกว่านั้น เรายังไม่ยอมเป็นทุกข์ถึงบาป ดวงใจของเราแข็งเหมือนหินและควรแตกสลายไปนานแล้วเพราะอกตัญญูของเรา
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่ห้า
การตรึงพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน: คนใจร้ายได้ตรึงกางเขนพระองค์ เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าได้เห็นพระมารดาและอัครสาวกที่รักยืนอยู่ใกล้ไม้กางเขนของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสกับพระนางมารีอาว่า "สตรีเอ๋ย นี่คือลูกของแม่" และกับนักบุญยอห์นว่า "นี่คือแม่ของท่าน" (John 19:25-27)
รำพึง: คนที่มีใจศรัทธาจงมองดูภูเขากัลวาริโอ ที่นั่นมีพระแทนบูชาสองอัน คือ พระกายของพระเยซูเจ้าและดวงพระทัยของพระนางมารีอา ภาพน่าเศร้าสลดใจ พระมารดาผู้อ่อนหวานน่ารักยิ่งนักกำลังจมลึกลงไปในทะเลมหาทุกข์ พระนางได้เห็นพระบุตรส่วนหนึ่งแห่งชีวิตของพระนางตรึงกับไม้กางเขนด้วยตะปู พระองค์ทรงเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสเสียงตอกตะปูแต่ละครั้งและเสียงแส้เฆี่ยนพระกายของพระบุตรแต่ละครั้งทรมานดวงพระทัยของพระมารดาอย่างเหลือล้น ขณะพระนางผู้ถูกแทงด้วยดาบมหาทุกข์ยืนอยู่ที่เชิงไม้กางเขน พระนางได้หันดวงพระเนตรไปทางพระบุตรจนกระทั่งพระองค์ได้สิ้นพระชนม์และถวายพระวิญญาณแด่พระบิดาเจ้า ดวงพระวิญญาณของพระนางเหมือนหลุดลอยไปพร้อมกับพระวิญญาณของพระเยซูเจ้า
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่หก
การถอดพระเยซูเจ้าลงจากไม้กางเขน : "โยเซฟอาริมาเธีย ที่ปรึกษาคณะบริหารชุมชน ได้เข้าพบข้าหลวงปิลาโตเพื่อขออนุญาตรับพระศพพระเยซูเจ้าไปฝังในคูหา โยเซฟและเพื่อนได้ยกพระองค์ลงจากไม้กางเขนและหุ้มห่อพระกายของพระองค์ด้วยผ้าลินิน" Mark 15:43-46
รำพึง: จงพิจารณาความทุกข์มหันต์ที่ได้ทำให้ดวงพระวิญญาณของพระนางมารีอาเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนักเมื่อพระนางวางพระเยซูเจ้าบนตัก ทั่วพระกายของพระองค์เปื้อนพระโลหิตและฉีกขาดเป็นบาดแผลลึก โอ้ พระมารดามหาทุกข์ พระบุตรสุดที่รักของพระนางได้กลายเป็นห่อผ้าชโลมด้วยน้ำหอม ใครเล่าจะไม่สงสารพระนางจับใจ? ดวงใจดวงไหนจะไม่อ่อนไหวเมื่อเห็นมหาทุกข์ของพระนางซึ่งสามารถทำให้ดวงใจหินอ่อนโยน จงมองดูนักบุญยอห์นผู้โศกเศร้าเสียใจจนไม่มีใครปลอบใจท่านได้ นางแมกดาเลนและมารีย์ก็โศกเศร้าเสียใจและนิโกดีมัสไม่อาจอดกลั้นความโศกเศร้าเสียใจไว้ได้
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
ประการที่เจ็ด
การฝังพระเยซูเจ้าในคูหา: "ในสวนใกล้ที่ซึ่งพระองค์ถูกตรึงกางเขนมี คูหาใหม่ยังไม่ได้ใช้เลย ฉะนั้น ตามธรรมเนียมยิวเขาทั้งหลายจำเป็นต้องฝังพระองค์โดยเร็ว" John 29:41-42
รำพึง: จงพิจารณามหาทุกข์ที่ล้นออกมาจากดวงพระทัยของพระนางมารีอาเมื่อพระนางได้เห็นพระเยซูเจ้าพระบุตรสุดที่รักถูกหย่อนลงในหลุม พระนางจะต้องทุกข์ระทมขมขื่นแค่ไหนเมื่อพระนางได้เห็นแผ่นหินถูกยกขึ้นเพื่อปิดหลุมฝังศพนั้น พระนางได้จ้องมองเป็นครั้งสุดท้ายพระกายปราศจากชีวิตขององค์พระบุตรและไม่อาจดึงสายพระเนตรของพระนางออกจากภาพบาดแผลฉีกขาดบนพระกายของพระองค์ เมื่อหินก้อนใหญ่ได้ถูกกลิ้งปิดทางเข้าคูหาดวงพระทัยของพระนางพรหมจารีมารีอาเหมือนฉีกขาดออกจากพระกายของพระนาง
(สวดบทวันทามารีอา 1 จบ)
