ความรักในเเบบของชาวคริสต์
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 22, 2006 3:53 pm
ข่าวดี ลก. 6:27-38
ลก 6:27-35 ความรักศัตรู
(27)"แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน (28)จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน (29)ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย (30)จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป (31)ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด (32)ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย (33)ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย (34)ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน (35)แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย
ลก 6:36-38 ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
(36)จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด (37)อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน (38)จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นเพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย"
จงรักศัตรู ความรักศรัตรู
ลำพังให้อภัยศัตรูก็ยากหนักหนาแล้ว แต่พระเยซูเจ้ายังให้ "กฎทอง" แก่เราอีก นั่นคือ "จงรักศัตรู" ของเราด้วย พระองค์กำลังเรียกร้องสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ?
ก่อนอื่นเราจำต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เสียก่อน คำว่า "รัก" ในภาษากรีกมีอยู่ 3 คำคือ
1)eranหมายถึงความรักแบบเนื้อหนัง เช่น ชายรักหญิง
2)phileinหมายถึงความรักอันอบอุ่นแบบมิตรภาพ เช่น ความรักที่มีต่อญาติสนิทมิตรสหาย
3)agapan หมายถึงความรักแบบปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะสบประมาทเรา ทำร้ายเรามากสักเพียงใด เราก็ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความดีสูงสุดในตัวเขา
และคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ "apapate (พวกท่านจงรัก)" ซึ่งเป็นความรักแบบที่สาม
หมายความว่าพระเยซูเจ้ามิได้สั่งให้เรารักศัตรูแบบเดียวกับที่เรารักพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรหลาน หรือเพื่อน ๆ ซึ่งความรักแบบนี้หลั่งไหลออกมาเองจากหัวใจของเรา เราจึงมักเรียกว่า "ตกหลุมรัก" หรือ Fall in love
แต่พระองค์สั่งให้เรารักด้วย"น้ำใจ" ที่ปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เราไม่ชอบ หรือเขาเองก็ไม่ชอบเรา ซึ่งเป็นไปได้ก็โดยอาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเยซูเจ้าเท่านั้น
เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้สั่งให้เราทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ หรือเป็นไปไม่ได้ !
พร้อมกันนี้พระองค์ได้ยกตัวอย่างของสิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องปฏิบัติต่อศัตรู เช่น อวยพรเขา อธิษฐานภาวนาแก่เขา ให้สิ่งของช่วยเหลือเขา และให้อภัยเขา เป็นต้น
แก่นแท้ของจริยธรรมคริสต์
1.จงทำดี
มีคนเคยขอให้รับบีฮิลเลลซึ่งมีชื่อเสียงมาก ช่วยสอนบทบัญญัติทั้งหมดขณะที่ยืนอยู่บนขาข้างเดียว เขาตอบว่า "สิ่งใดที่ท่านรังเกียจ จงอย่าทำแก่คนอื่น"
พวกสโตอิก (Stoics) มีกฎว่า "สิ่งใดที่ท่านไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นทำแก่ท่าน จงอย่าทำแก่คนอื่น"
ขงจื้อก็สอนเช่นเดียวกับพวกสโตอิก
คำสอนที่ยกมาล้วนเป็นเชิงปฏิเสธ กล่าวคือ "อย่าทำ" ซึ่งไม่ยากเกินควรที่เราจะหลีกเลี่ยงกิจการเหล่านั้น
แต่สำหรับพระเยซูเจ้า "ไม่ทำ" ไม่พอ เราต้องสลัดน้ำใจและตัวตนของเราทิ้งไปเพื่อ "ทำ" สิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำแก่เรา พระองค์สอนว่า "ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด"
เพราะฉะนั้น แก่นแท้ของจริยธรรมแบบพระเยซูเจ้าคือ "การละเว้นไม่ประพฤติชั่ว" ยังไม่พอ เราต้อง " ประพฤติดีอย่างแข็งขัน" อีกด้วย
2.ทำให้ดีกว่า
หลายครั้งเราชอบเปรียบเทียบความดีของเรากับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่น แล้วเราก็อดภูมิอกภูมิใจไม่ได้ที่เราดีไม่แพ้หรือบางทีดีกว่าคนอื่นเสียอีก
แต่พระเยซูเจ้าเรียกร้องเรามากกว่านั้น "เราดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ?"
แม้แต่คนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักเขา รู้จักทำดีแก่คนที่รักเขา ให้คนที่รักเขายืมเงิน ฯลฯ
เมื่อคนบาปยังรู้จักทำเช่นนี้ เราจะไปเปรียบเทียบความดีกับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่นซึ่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระเป็นเจ้าล้วนเป็นคนบาปทั้งนั้นได้อย่างไร ?
ผู้เดียวที่เราต้องเปรียบเทียบด้วยคือ "พระเป็นเจ้า" และเมื่อเปรียบเทียบกับ "พระเป็นเจ้า" แล้ว เราไม่เพียงต้อง "ทำดีกว่า" มนุษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เรายังต้องเพียรพยายามอย่างน้อยทำให้เท่าหรือ "ทำให้ดีกว่า" บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย
3.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
น่ายินดีที่พระเป็นเจ้ามิได้ตัดสินเราตามมาตรฐานของพระองค์ แต่ตามมาตรฐานของเราแต่ละคนเอง
ถ้าเราไม่ตัดสินผู้อื่น พระเป็นเจ้าก็ไม่ตัดสินเรา
ถ้าเราไม่กล่าวโทษผู้อื่น พระองค์ก็ไม่กล่าวโทษเรา
ถ้าเราให้อภัยผู้อื่น พระองค์ก็ให้อภัยเรา
ยิ่งเราให้อภัยผู้อื่นมาก พระองค์ก็ยิ่งให้อภัยเรามาก
หากเรา "ทำดี" และ "ทำดีกว่า" (เช่น รักแม้กระทั่งศัตรู) เราจะได้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ได้ทำเหมือนพระองค์ ผู้ทรงพระเมตตากรุณาและรักเราทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัยหรือทำให้ช้ำพระทัยสักเพียงใดก็ตาม !
ในโลกนี้ จะมีใครมีอภิสิทธิ์มากเท่าเรา ที่ได้ทำเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า !
ลก 6:27-35 ความรักศัตรู
(27)"แต่เรากล่าวกับท่านทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน (28)จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน (29)ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย (30)จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป (31)ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด (32)ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย (33)ถ้าท่านทำดีเฉพาะต่อผู้ที่ทำดีต่อท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร คนบาปก็ยังทำเช่นนั้นด้วย (34)ถ้าท่านให้ยืมเงินโดยหวังจะได้คืน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ให้คนบาปด้วยกันยืมโดยหวังจะได้เงินคืนจำนวนเท่ากัน (35)แต่ท่านจงรักศัตรู จงทำดีต่อเขา จงให้ยืมโดยไม่หวังอะไรกลับคืนแล้วบำเหน็จรางวัลของท่านจะใหญ่ยิ่ง ท่านจะเป็นบุตรของพระผู้สูงสุด เพราะพระองค์ทรงพระกรุณาต่อคนอกตัญญูและต่อคนชั่วร้าย
ลก 6:36-38 ความเมตตากรุณาและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
(36)จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด (37)อย่าตัดสินเขาแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขาแล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน (38)จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้นเพราะว่าท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าก็จะทรงใช้ทะนานนั้นตวงตอบแทนให้ท่านด้วย"
จงรักศัตรู ความรักศรัตรู
ลำพังให้อภัยศัตรูก็ยากหนักหนาแล้ว แต่พระเยซูเจ้ายังให้ "กฎทอง" แก่เราอีก นั่นคือ "จงรักศัตรู" ของเราด้วย พระองค์กำลังเรียกร้องสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือเปล่า ?
ก่อนอื่นเราจำต้องเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เสียก่อน คำว่า "รัก" ในภาษากรีกมีอยู่ 3 คำคือ
1)eranหมายถึงความรักแบบเนื้อหนัง เช่น ชายรักหญิง
2)phileinหมายถึงความรักอันอบอุ่นแบบมิตรภาพ เช่น ความรักที่มีต่อญาติสนิทมิตรสหาย
3)agapan หมายถึงความรักแบบปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะสบประมาทเรา ทำร้ายเรามากสักเพียงใด เราก็ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากความดีสูงสุดในตัวเขา
และคำศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงใช้คือ "apapate (พวกท่านจงรัก)" ซึ่งเป็นความรักแบบที่สาม
หมายความว่าพระเยซูเจ้ามิได้สั่งให้เรารักศัตรูแบบเดียวกับที่เรารักพ่อแม่ สามีภรรยา บุตรหลาน หรือเพื่อน ๆ ซึ่งความรักแบบนี้หลั่งไหลออกมาเองจากหัวใจของเรา เราจึงมักเรียกว่า "ตกหลุมรัก" หรือ Fall in love
แต่พระองค์สั่งให้เรารักด้วย"น้ำใจ" ที่ปรารถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่เราไม่ชอบ หรือเขาเองก็ไม่ชอบเรา ซึ่งเป็นไปได้ก็โดยอาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระเยซูเจ้าเท่านั้น
เพราะฉะนั้น พระเยซูเจ้าไม่ได้สั่งให้เราทำในสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ หรือเป็นไปไม่ได้ !
พร้อมกันนี้พระองค์ได้ยกตัวอย่างของสิ่งที่ดีที่สุดที่เราต้องปฏิบัติต่อศัตรู เช่น อวยพรเขา อธิษฐานภาวนาแก่เขา ให้สิ่งของช่วยเหลือเขา และให้อภัยเขา เป็นต้น
แก่นแท้ของจริยธรรมคริสต์
1.จงทำดี
มีคนเคยขอให้รับบีฮิลเลลซึ่งมีชื่อเสียงมาก ช่วยสอนบทบัญญัติทั้งหมดขณะที่ยืนอยู่บนขาข้างเดียว เขาตอบว่า "สิ่งใดที่ท่านรังเกียจ จงอย่าทำแก่คนอื่น"
พวกสโตอิก (Stoics) มีกฎว่า "สิ่งใดที่ท่านไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นทำแก่ท่าน จงอย่าทำแก่คนอื่น"
ขงจื้อก็สอนเช่นเดียวกับพวกสโตอิก
คำสอนที่ยกมาล้วนเป็นเชิงปฏิเสธ กล่าวคือ "อย่าทำ" ซึ่งไม่ยากเกินควรที่เราจะหลีกเลี่ยงกิจการเหล่านั้น
แต่สำหรับพระเยซูเจ้า "ไม่ทำ" ไม่พอ เราต้องสลัดน้ำใจและตัวตนของเราทิ้งไปเพื่อ "ทำ" สิ่งที่เราอยากให้คนอื่นทำแก่เรา พระองค์สอนว่า "ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด"
เพราะฉะนั้น แก่นแท้ของจริยธรรมแบบพระเยซูเจ้าคือ "การละเว้นไม่ประพฤติชั่ว" ยังไม่พอ เราต้อง " ประพฤติดีอย่างแข็งขัน" อีกด้วย
2.ทำให้ดีกว่า
หลายครั้งเราชอบเปรียบเทียบความดีของเรากับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่น แล้วเราก็อดภูมิอกภูมิใจไม่ได้ที่เราดีไม่แพ้หรือบางทีดีกว่าคนอื่นเสียอีก
แต่พระเยซูเจ้าเรียกร้องเรามากกว่านั้น "เราดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ?"
แม้แต่คนบาปก็ยังรู้จักรักคนที่รักเขา รู้จักทำดีแก่คนที่รักเขา ให้คนที่รักเขายืมเงิน ฯลฯ
เมื่อคนบาปยังรู้จักทำเช่นนี้ เราจะไปเปรียบเทียบความดีกับเพื่อนบ้านหรือกับคนอื่นซึ่งต่อหน้าพระพักตร์ของพระเป็นเจ้าล้วนเป็นคนบาปทั้งนั้นได้อย่างไร ?
ผู้เดียวที่เราต้องเปรียบเทียบด้วยคือ "พระเป็นเจ้า" และเมื่อเปรียบเทียบกับ "พระเป็นเจ้า" แล้ว เราไม่เพียงต้อง "ทำดีกว่า" มนุษย์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่เรายังต้องเพียรพยายามอย่างน้อยทำให้เท่าหรือ "ทำให้ดีกว่า" บรรดานักบุญในสวรรค์อีกด้วย
3.ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
น่ายินดีที่พระเป็นเจ้ามิได้ตัดสินเราตามมาตรฐานของพระองค์ แต่ตามมาตรฐานของเราแต่ละคนเอง
ถ้าเราไม่ตัดสินผู้อื่น พระเป็นเจ้าก็ไม่ตัดสินเรา
ถ้าเราไม่กล่าวโทษผู้อื่น พระองค์ก็ไม่กล่าวโทษเรา
ถ้าเราให้อภัยผู้อื่น พระองค์ก็ให้อภัยเรา
ยิ่งเราให้อภัยผู้อื่นมาก พระองค์ก็ยิ่งให้อภัยเรามาก
หากเรา "ทำดี" และ "ทำดีกว่า" (เช่น รักแม้กระทั่งศัตรู) เราจะได้เป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ได้ทำเหมือนพระองค์ ผู้ทรงพระเมตตากรุณาและรักเราทุกคน ไม่ว่าจะดีหรือเลว ไม่ว่าจะทำให้พระองค์พอพระทัยหรือทำให้ช้ำพระทัยสักเพียงใดก็ตาม !
ในโลกนี้ จะมีใครมีอภิสิทธิ์มากเท่าเรา ที่ได้ทำเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า !