การที่พระเจ้าให้บำเหน็จในโลกหน้านี่ ถือว่าเอาของรางวัลมาล่อให้คนเชื่อฟังหรือป่าว

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
loveoh1728
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 26, 2006 4:20 am

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 4:19 pm

การที่พระเจ้าให้บำเหน็จในโลกหน้านี่ ถือว่าเอาของรางวัลมาล่อให้คนเชื่อฟังหรือป่าวครับ
พี่เขาบอกผมว่าใครที่เชื่อฟังพระองค์ทุกคำสอน และยอมรับใช้พระองค์อย่างเต็มที่ สุดจิตสุดใจ ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค ยอมให้แม้แต่ชีวิต

พอได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระองค์แล้ว จะมีการให้บำเหน็จ กับบางคนที่เป้นคนเหล่านั้น

ผมก็เลยสงสัยว่า คริสต์เตียนที่รักพระองค์ขนาดนั้นทำเพราะว่ารักจริงๆ หรือเพราะว่าแค่อยากได้รางวัล
ถ้าคริสเตียนที่หวังว่าทำไปเพื่อจะเอาบำเหน็จนี่ เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่ดีไหมครับ จริงๆแล้วในโลกปัจจุบันนี้มีคริสเตียนที่ทำเพราะรักพระองค์ด้วยจิตใจที่แท้จริงไหมครับ ถึงแม้พระองค์จะไม่มีบำเหน็จให้คริสเตียนคนนั้นจะทำอย่างนั้นไหมครับ

แล้วทำไมพระองค์ต้องให้มีการแจกบำเหน็จด้วยเหรอครับอยากทราบจุดประสงค์ จะเอาไปทำไมกันตายไปแล้ว
หรือว่า แม้แต่พอขึ้นไปบนสวรรค์ก็ยังมีแบ่งชั้นวรรณะกันเหรอครับ ก็ไม่เห็นจะต่างกับอยู่บนโลกตอนนนี้เลย

หรือว่าผมยังรู้มาน้อยเกินไปเลยเข้าใจคำว่า บำเหน็จแบบผิดๆ คิดว่าเป็นบำเหน็จแบบที่เราได้รับกันแบบในโลกนี้

อย่างไรก็ดีขอพี่ๆที่เติมโตในจิตวิญาณมาตอบให้หายสงสัยหน่อยครับผม

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 4:25 pm

ถ้าคำว่าบำเน็จทำให้คิดได้ว่าเป็นของล่อ
แล้วถ้าบอกกลับไปอยู่กับพ่อบนสวรรค์ละ จะเห็นภาพระบิดาแสนดีที่รอลูกเสเพลอย่างเราๆอยู่ได้ชัดขึ้นไหมครับ ::001::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 4:26 pm

ตามความเห็นผมนะครับ
ทุกวันนี้ ใครจะทำงานให้พระด้วยใจหรือเพราะหวังแก่บำเหน็จ ไม่ใช่หน้าที่เราที่ต้องไปคิดหาคำตอบหรอกครับ
เราไม่มีหน้าที่ไปค้นหาคำตอบตรงนั้นและไม่ใช่หน้าที่เราอีกเช่นกันที่ต้องไปตัดสินคนไหนว่าทำงานเพื่ออะไร/เพราะอะไร
ถามตัวเราสิครับ ว่าเราทำงานให้พระ เพื่อพระ เพราะรักที่มีต่อพระองค์ แค่นี้ก็พอแล้วครับ ไม่ต้องคิดอะไรหรอกครับ

ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ว่าหลังจากที่เราตายไปจริง ๆ แล้วเราจะได้อะไร
เพราะว่าความคิดของพระองค์ไม่ใช่ความคิดประสามนุษย์อย่างเรานี่ครับ

สำหรับผมแล้ว ผมไม่ได้หวังบำเหน็จรางวัลอะไรเลยครับ เพราะว่าทุกวันนี้เท่าที่เป็นอยู่ พระองค์ทรงประทานมาให้ผมมากเกินกว่าที่ผมขอครับ
ดังนั้น จะว่ากันจริง ๆ แล้วนี่แหละคือบำเหน็จที่พระองค์ทรงประทานให้ครับ

ขอพระเจ้าอวยพรครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 6:02 pm

มธ 20:1-16  อุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น
loveoh1728
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 26, 2006 4:20 am

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 6:24 pm

ขอบคุณครับผมสำหรับข้อคิดเห็นครับ เป็นประโยชน์ครับ

เรื่องอุปมาอุปไม นี่ผมเข้าใจแบบนี้ถูกป่ะ

ไม่ว่าใครในโลกจะทำอะไรเพื่อพระเจ้าไม่ว่า จะทำมาก่อนกีสิบปี หรือเพียงแค่ทำก่อนตัวเองตาย 1ชั่วโมง
เพราะเจ้าก็จะให้บำเหน็จกับทุกคนเท่ากันหมดเลยใช่ไหมครับ

ผมเข้าใจถูกป่ะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 6:32 pm

ไม่ว่าจะมาเริ่มเชื่อเมื่อไหร่ ก็ได้รับความรอดทั้งนั้นครับ
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 7:03 pm

ลองมาฟังอีกมุมมองนะครับ
[1]การที่พระเจ้าให้บำเหน็จในโลกหน้านี่ ถือว่าเอาของรางวัลมาล่อให้คนเชื่อฟังหรือเปล่า
ตอบ........พระเจ้า(พระเยซู)ในที่นี้ พระองค์มิได้เอารางวัล(หรือคือบำเหน็จ,Matthew10:40-42)มาล่อให้คนเชื่อฟังแต่ประการใด เพราะพระองค์เน้นเรื่องของ"ใจ,จิตวิญญาณ"(อ่านดีๆ)[Matthew 6:21]และพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเต็มที่จะกล่าวเชิงอุปมา(ไม่ใช่การเอามาล่อ)หรือชี้ให้เห็นสิ่งที่"พระองค์เห็น"(ในฐานะพระเอกบุตร)[Matthew 7:29,13:13,34-35]ท่ามกลางสภาพสังคม(ที่ศีลธรรมหรือเสื่อมโทรมลง-สะท้อนจาก Matthew 21:12-13) จึงมักทรงสั่งสอนท่ามกลาง"ผู้ยากไร้" การชี้ให้เห็นถึง"ความศรัทธาที่มีได้ในทุกฐานะ-มิได้ผ่านการยัญบูชาและนักบวช"จึงเป็นเรื่องที่ควรสอนยิ่ง และ สัญลักษณ์(Symbolic)ที่เกี่ยวกับเงินทองนั้น[พระองค์ต้องการชี้ให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนของวัตถุ] เรื่องบำเหน็จ,และทรัพย์บนสรวงสวรรค์ จึงเป็นเรื่องที่กล่าวขึ้นเพื่อให้ผู้คนฟัง"ละความยึดถือในวัตถุ"นั่นเอง
[2]แม้แต่พอขึ้นไปบนสวรรค์ก็ยังมีแบ่งชั้นวรรณะกันเหรอครับ ก็ไม่เห็นจะต่างกับอยู่บนโลกตอนนนี้เลย
ตอบ........การแบ่งชั้นวรรณะของเทวดานั้น มนุษย์เป็นคนแบ่งให้ละเอียดเอง(นักบุญดิโอนิซุส-ดูกระทู้ Of Angelic Order) เพื่อความเข้าใจในการสื่อความหมาย ภายหลังเพื่อให้เราเข้าใจระบบจิตวิญญาณแจ่มชัดขึ้นยังได้มีการแบ่งออกอีกต่างๆนานา เพราะแท้จริงมนุษย์(ผู้เผยวจนะ,คริสตชน)หรือระดับเทวทูตล้วนศักดิ์เท่าเที่ยมกัน(Rev.19:10)ในฐานะ"ผู้รับใช้"ทั้งสิ้น หากแต่เราทั้งหลาย"ถ่อมตนลง"นั่นเอง เราทั้งหลายร้อนรนจะ"ถ่อมตน"ลงจึงดูเหมือนผู้อื่นรอบเราสูงขึ้น
[3]สำหรับ"คริสเตียนที่หวังว่าทำไปเพื่อจะเอาบำเหน็จนี่ เรียกว่าเป็นคริสเตียนที่ดีไหมครับ "
ตอบ........พอดีว่า"ไม่ใช่คริสเตียน"แต่ทว่ามีคำสอนหนึ่งน่าฟังไว้ เป็นคำสอนของคาธอลิค
.......We do not believe in formulas, but in those realities they express, which faith allows us to touch. "The believer's act [of faith] does not terminate in the propositions, but in the realities [which they express]."1 All the same, we do approach these realities with the help of formulations of the faith which permit us to express the faith and to hand it on, to celebrate it in community, to assimilate and live on it more and more.1[St. Thomas Aquinas,]
[CATECHISM OF THE CATHOLIC CHURCH]
การตีความจึงเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล(Individual)เพราะ"บำเหน็จ"อาจจะมีอะไรลึกซึ้งว่าคำว่า"บำเหน็จ"ก็เป็นได้ และการตีความนี้ต้องนึกถึง(2Peter2:1)
ปล.เอาคำสอนคาธอลิคมาชี้ หวังว่าจะเข้าใจ"บำเหน็จ"มากขึ้น และก็ลืมๆไปซะ"บำเหน็จ"
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 8:51 pm

เห็นคุณพี่ ไปย่างกรายตั้งกระทู้ นี้ที่พันทิป ระวังนะฮะ เดี๋ยวมึนกว่าเดิม

ไว้ค่อยๆเรียน แล้วจะรู้เอง

เข้าชั้นเรียน หลักข้อเชื่อ (คำสอน ) แล้วยัง อาจารย์ที่สอนพอจะตอบคำถามให้กระจ่างได้ ฮะ
loveoh1728
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ธ.ค. 26, 2006 4:20 am

พฤหัสฯ. ธ.ค. 28, 2006 10:55 pm

ถึงต้องถามจากหลายๆเวปไงครับ จะได้ได้คำตอบเยอะๆหลายๆแนวครับ

จะได้มองหลายๆด้านครับผม

ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ธ.ค. 29, 2006 7:21 am

loveoh1728 เขียน: ถึงต้องถามจากหลายๆเวปไงครับ จะได้ได้คำตอบเยอะๆหลายๆแนวครับ

จะได้มองหลายๆด้านครับผม

ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ
รับแซบ ฮะ ...แล้วอยู่โบสถ์ไหนล่ะ :evil:
warlock
โพสต์: 642
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ พ.ค. 20, 2006 3:37 am

ศุกร์ ธ.ค. 29, 2006 12:55 pm

ความจริงแท้แน่นอนที่พระองค์ทรงบอกนั้นคือรางวัลของผู้ที่เชื่อ และถือปฏิบัติตาม.........  ลองเปรียบเทียบดูนะครับว่า 60 70 80 90 อ่ะ120ปี เต็มที่แล้ว สำหรับชีวิตเนื้อหนังที่มองเห็นสัมผัสจับต้องได้  กับนิรันดร์ ที่จะต้องเผชิญและอยู่ต่อไปอย่างนั้น  ผมก็ยังไม่เคยตายเหมือนกันเลยไม่รู้แต่สำเหนียกได้ว่า คงไม่ได้จบที่ผมหมดลมตอน40 50 หรือ60ปีเท่านั้นหรอก  ลองพิจารณาเอาครับ 60 ปี  แลกกันกับ นิรันดร์ ไม่เรียกว่าบำเหน็จก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว เป็นการลงทุนที่มีแต่กำไร(ถ้าทำได้นะครับ) หรือไม่ก็นะ....ยังมีที่ที่นิรันดร์อีกที่ ซึ่งคุณก็รู้ว่าที่หนายยยยยยยยยยยยยยยยย  ::011:: ::011:: ::011:: ::011::
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ธ.ค. 29, 2006 8:36 pm

อยากให้คุณพี่ ไปอ่าน หนังสือ พระคัมภีร์ใหม่ เล่มวิวรณ์ ลองอ่านจบแล้วเล่าให้พวกเราฟังหน่อย ฮะ : xemo029 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 4:56 am

การที่พระเจ้าให้บำเหน็จในโลกหน้านี่ ถือว่าเอาของรางวัลมาล่อให้คนเชื่อฟังหรือป่าว

ขอตอบแบบไม่อ่านสักกะโพสต์ และเนื้อหาของ จขกท. ด้วยนะ อิอิ  : emo056 :

ตอบ : พระเจ้าต้องการช่วยครับ ที่อื่นไม่มีที่ไหนน่าอยู่ในระยะยาว คือไม่มั่นคง แต่ที่ๆพระเจ้าเตรียมให้นั้นมั่นคงแน่แท้ การให้แรงวัลทุกคนได้รับเหมือนกัน และถ้าใครทำตัวดีน่ารัก เป็นลูกที่ดีเชื่อฟังพระเจ้า คือเป็นคริสตชนที่ดี นิสัยดี และปฏิบัติดี ผู้นั้นก็มีรางวัลพิเศษเพิ่มเติม เพราะพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม  : emo038 :

ถ้าจะบอกว่า เอาของมาล่อให้คนเชื่อฟังก็คงไม่ผิดอะไร เพราะพระเจ้าของเราหวังดีและรักเราทุกคน
"เราไม่ประสงค์ให้ผู้ใดพินาจเลย"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 1:02 pm

เพราะแท้จริงแล้วมนุษย์ไม่เข้าใจ concept ของชีวิตนิรันดร์ครับ

ภาษามนุษย์ไม่สามารถหาคำใดๆ มาทดแทนสิ่งที่ได้หลังจากทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้

โดยมากก็เปรียบเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด

"บำเหน็จรางวัล ค่าจ้าง ฯลฯ" จึงนำเข้ามาใช้ เพื่ออธิบายสภาวะ ตามข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวไปแล้ว

เพราะมันเหมือนของให้เปล่า ของตอบแทน และของเป็นกำลังใจ ซึ่งไม่มีสภาพใดๆ ในโลกจะเปรียบถึงได้

นี่เป็นจุดอ่อนของมนุษย์เองครับ

ถามว่า เป็นการเอารางวัลาจูงใจไหม?

ต้องบอกว่า พระคัมภีร์มักชี้ 2 ด้านเสมอ คือ ด้านถูก กับ ด้านผิด เพื่อเปรียบเทียบ

ด้านที่ให้ผลกับคนชั่วมากๆ มา่กสุดคือ ด้านผิด เพราะมีบทลงโทษ

และด้านที่ให้ผลกับคนชั่วน้อยๆ มากที่สุด คือ ด้านถูก เพราะมีชีวิตนิรันดร์อยู่้ตรงหน้า

จะเรียกว่า จูงใจ ชักจูง ชักชวน หรืออะไรก็แล้วแต่

แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือ เราชวนทุกคนให้เข้ามาที่นี่ โดยที่พระองค์ทรง "สัญญา" ว่าแผ่นดินสวรรค์จะเป็นหนึ่งในมรดกของเรา

คำสัญญาจาก "องค์พระผู้เป็นเจ้่า" ย่อมเชื่อถือได้ และไม่เหมือนบำเหน็จรางวัลที่อาจหมดไปของโลก

หรือค่าจ้างค่าแรงที่จะหายไปทันทีที่เราสิ้นใจ
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 3:12 pm

ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกันพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์
เรารู้ว่าเราดำรงอยู่ในพระองค์ และพระองค์ทรงดำรงอยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานั่นเอง
เราเห็นและเราเป็นพยานได้ว่า พระบิดาทรงส่งพระบุตรของพระองค์ มาเป็นพระผู้ไถ่โลก
ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า
เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา
ความรักสมบูรณ์อยู่ในเรา เพื่อให้เรามีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะพระองค์ทรงเป็นอย่างไร เราในโลกนี้ย่อมเป็นอย่างนั้นด้วย
ไม่มีความกลัวในความรัก ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัว เพราะความกลัว คือความคาดหมายว่าจะถูกลงโทษ ความรักของผู้มีความกลัวจึงยังไม่สมบูรณ์
จงมีความรักเถิดเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน
ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้
เราได้รับบทบัญญัตินี้จากพระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย

ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสตเจ้า ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า ทุกคนที่รักบิดา ย่อมรักบุตรของเขาด้วย
เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้าเมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์
ความรักต่อพระเจ้าคือการปฏิบัติตามบทบัญญัติ บทบัญญัติของพระองค์มิใช่ภาระหนัก
เพราะทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าชนะโลกแล้ว ชัยชนะที่ชนะโลกก็คือความเชื่อของเรา

(1ยอห์น 4:12-21, 5:1-4)


สรุปก็คือ คริสตชนที่ดีควรจะทำทุกสิ่งด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่บำเหน็จในสวรรค์...
การกระทำที่ดี แต่ปราศจากความรัก เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์...

แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก
แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด
แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด

(1โครินธ์ 13:1-3)
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ เสาร์ พ.ย. 28, 2009 3:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ministry Of Men
โพสต์: 3972
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 3:17 pm

Viridian เขียน: สรุปก็คือ คริสตชนที่ดีควรจะทำทุกสิ่งด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่บำเหน็จในสวรรค์...
::031::
Jesus loves You
โพสต์: 740
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 12, 2009 11:36 pm

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 4:25 pm

BoYz - The Series เขียน:
Viridian เขียน: สรุปก็คือ คริสตชนที่ดีควรจะทำทุกสิ่งด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่บำเหน็จในสวรรค์...
::031::
BoYz - The Series เขียน:
Viridian เขียน: สรุปก็คือ คริสตชนที่ดีควรจะทำทุกสิ่งด้วยความรัก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่บำเหน็จในสวรรค์...
::031::

เหนด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Valkyrie Zero Number
โพสต์: 2081
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am

เสาร์ พ.ย. 28, 2009 11:30 pm

ฟังจากที่ทุกคนว่ามาแล้ว รู้สึกผิดยังไงไม่รู้

.....ถ้าจะให้พูด ถ้าเป็นเมื่อก่อน นับตั้งแต่อดีตมา เราทำความดี พยายามทำสิ่งที่เห็นว่าดี แล้วก็ พยายามทำเพื่อคนอื่นไปด้วย เรามองว่าเป็นสิ่งที่ "ถูกต้อง" และ "ควรจะทำ" เรื่องผลตอบแทนเองก็ไม่ได้เอาอะไรมาก แค่ถ้าได้ก็ดี ได้น้อยกว่าที่คิดก็ดีกว่าไม่ได้อะไร แต่ยอมรับว่าถ้า "ไม่ได้" นี่ก็เคืองเหมือนกัน

แต่กับคนที่เรารักเป็นพิเศษ เราก็ต้องการทุ่มเทให้อย่างเต็มที่ แม้อีกฝ่ายจะเห็นความสำคัญของเราน้อยกว่าที่เราอยากให้เป็นก็ตาม

แต่จากเหตุการณ์บางอย่าง และสิ่งที่เกิดขึ้นจนทุกวันนี้

.....ถึงจะบอกว่าทำดีตามความเคยชิน หรือเพราะเห็นว่ามันถูกและควรก็เถอะ

แต่ตอนนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราเองก็คาดหวังในสิ่งที่เรียกว่า "บำเหน็จ" เหมือนกัน และเราก็หวังมันจนใคร ๆ ก็ว่า "มากเกินไป" หรือ "เป็นไปไม่ได้" เสียด้วย

.........จริง ๆ ตอนนี้ก็พอรู้อยู่แก่ใจว่า "เราไม่มีสิทธิ์แล้วนับแต่ถวาย "ความปรารถนา" เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาไป"

แต่ช่างยากเหลือเกิน ที่จะทำใจยอมลืม ๆ มันไป

ไม่ได้คิดอยากขอคืนเพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า.....มันก็ชวนให้เศร้าเหมือนกัน
Little Boy
โพสต์: 250
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 3:33 am

อาทิตย์ พ.ย. 29, 2009 12:27 am

loveoh1728 เขียน: พอได้ขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระองค์แล้ว จะมีการให้บำเหน็จ กับบางคนที่เป้นคนเหล่านั้น
แล้วทำไมพระองค์ต้องให้มีการแจกบำเหน็จด้วยเหรอครับอยากทราบจุดประสงค์ จะเอาไปทำไมกันตายไปแล้ว
หรือว่า แม้แต่พอขึ้นไปบนสวรรค์ก็ยังมีแบ่งชั้นวรรณะกันเหรอครับ ก็ไม่เห็นจะต่างกับอยู่บนโลกตอนนนี้เลย
ไม่ว่าใครในโลกจะทำอะไรเพื่อพระเจ้าไม่ว่า จะทำมาก่อนกีสิบปี หรือเพียงแค่ทำก่อนตัวเองตาย 1ชั่วโมง
เพราะเจ้าก็จะให้บำเหน็จกับทุกคนเท่ากันหมดเลยใช่ไหมครับ
สวรรค์ไม่ได้มีแห่งเดียวครับ การได้มีสิทธิเข้าอาณาจักร หรือที่เรียกว่าเป็นทายาทของอาณาจักรนั้นคือบำเหน็จครับ งั้นบำเหน็จทุกคนไม่เท่ากันครับ

และเรื่องที่ว่ากลับใจก่อนตาย 1 วินาที ได้รับรางวัลหลังความตายเท่ากันนั้น ผมไม่คิดอย่างนั้น ถ้าความยุติธรรมของพระเจ้าเป็นเช่นนั้นจริง ผมคงเลิกนับถือพระเจ้าแล้วครับ

สำหรับเรื่องการที่บอกว่าเป็นการแบ่งชั้นวรรณะ มันก็เป็นทำนองนั้นแหละครับ เพียงแต่คนที่อยู่ต่ำกว่าจะไปสถานที่ที่สูงกว่าไม่ได้
เช่น มนุษย์บนโลกไม่สามารถเดินทางไปหาพระเจ้าที่โคลอบ(สวรรค์)ได้ แต่พระเจ้ามาหามนุษย์หรือส่งเทพมาหามนุษย์ที่โลกได้ เพราะพระเจ้าและเทพนั้นสูงกว่ามนุษย์

ทั้งหมดนี้โปรดใช้วิจารณญาณ...  : xemo026 :
ตอบกลับโพส