อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา
ข่าวดี ยอห์น 2.1-11
หมู่บ้านคานาอยู่ไม่ห่างจากเมืองนาซาเร็ธ นักบุญเยโรมเล่าว่าจากเมืองนาซาเร็ธสามารถมองเห็นหมู่บ้านคานาได้ด้วยตาเปล่า มีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาและพระนางมารีย์ทรงอยู่ในงานนั้นโดยมีบทบาทสำคัญเป็นพิเศษ เป็นพระนางที่ร้อนใจเมื่อเหล้าองุ่นหมด และเป็นพระนางอีกนั่นแหละที่มีอำนาจสั่งคนรับใช้ว่า "เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด" (ข้อ5)
ในหนังสืออธิกธรรมบางเล่มดังเช่นพระวรสารของชาวอียิปต์โบราณ มีรายละเอียดระบุว่าพระนางมารีย์เป็นพี่สาวของมารดาเจ้าบ่าว และในบางบทนำของหนังสือพระธรรมใหม่ยุคเริ่มแรกถึงกับระบุว่าเจ้าบ่าวคือยอห์นอัครสาวกเอง และมารดาของเจ้าบ่าวคือนางซาโลเมผู้เป็นน้องสาวของพระนางมารีย์
ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นใดก็ตาม สิ่งที่เรารับรู้ได้อย่างแน่นอนคือผู้เขียนพระวรสารตอนนี้รู้รายละเอียดราวกับว่าอยู่ในเหตุการณ์จริง เพราะแม้แต่คำพูดของพระนางมารีย์และผู้จัดงานเลี้ยงก็ได้รับการบันทึกไว้
ไม่มีการเอ่ยถึงโยเซฟ เป็นไปได้มากว่าท่านเสียชีวิตนานแล้ว ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงไม่สามารถทอดทิ้งพระมารดาและญาติพี่น้องไว้ตามลำพังได้ ต้องรอถึง 18 ปีหลังจากทรงค้นพบว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้าที่ "ต้องอยู่ในบ้านของพระบิดา"(ลก 2.49) คราวที่เสด็จไปร่วมฉลองปัสกาครั้งแรกในกรุงเยรูซาเล็มเมื่อพระชนมายุได้ 12 พรรษา
กฎหมายยิวกำหนดให้ทำพิธีแต่งงานในวันพุธ อันอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คำว่าวันพุธในภาษาอังกฤาคือ Wednesdey มีคำว่า "Wed" ซึ่งแปลว่าแต่งงานอยู่ด้วย
การแต่งงานในปาเลสไตน์ถือเป็นงานยิ่ใหญ่สุดของหมู่บ้าน พิธีแต่งงานมักกระทำตอนหัวค่ำ หลังพิธีจะมีขบวนแห่คู่บ่าวสาวไปสู่เรือนหอโดยมีผู้ถือปะรำเหนือศีรษะ และผู้ร่วมขบวนแห่ทุกคนจะถือตะเกียงหรือคบไฟสว่างไสวไปตามเส้นทางที่ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้ เพื่อให้ชาวบ้านมากที่สุดได้มีโอกาสอวยพรคู่บ่าวสาว
เมื่อถึงเรือนหอ คู่บ่าวสาวจะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงกษัตริย์และราชินี ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การเรียกขาน หรือแม้แต่คำพูดทุกคำของคู่บ่าวสาวก็ได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นพระบรมราชโองการ พวกเขาจะเปิดบ้านเลี้ยงฉลองเช่นนี้ประมาณ 7 วัน
สำหรับชาวยิวที่ยากจนและต้องตรากตรำทำงานหนัก นี่คือสัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลองที่น่ายินดีที่สุดในชีวิต
และในโอกาสแห่งความยินดีเช่นนี้เองที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาร่วมงานด้วย
ยอห์นเล่าว่าพระองค์ไปร่วมงาน "พร้อมกับบรรดาศิษย์"(ข้อ 2) ซึ่งขณะนั้นมี 5 คนคือ อดีตศิษย์ของยอห์นผู้ทำพิธีล้างสองคน เปโตร ฟิลิป และนาธานาเอล (ยน 1.35-51)
อาจเป็นเพราะแขกไม่ได้รับเชิญห้าท่านนี้กระมังที่ทำให้งานเลี้ยง "ล่ม" เพราะ เหล้าหงุ่นหมด
เหล้าองุ่นถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ฝนงานเลี้ยงของชาวยิว พวกรับบีถึงกับสอนว่า "ปราศจากเหล้าองุ่น ก็ปราศจากความยินดี"
ลำพังการต้อนรับแขกทั่วไป ชาวยิวก็ถือเป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ต่อให้แขกมาเวลาเที่ยงคืนยังต้องแบกหน้าไปรบเร้าเพื่อนบ้านเลยว่า "เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน" (ลก. 11.5-6)
แต่นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองโอกาสแต่งงาน หากเจ้าภาพไม่สามารถจัดหา "เหล่าองุ่น" ไว้ตอนรับแขก คงไม่ต้องบรรยายว่าจะน่าอัปยศอดสูสักเพียงใด
ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายสุดๆนี้เอง "พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า 'เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว'" (ข้อ3)
คำตอบของพระเยซูเจ้าคงทำผู้ฟังหลายคนสะอึก
หากแปลต้นฉบับตามตัวอักษร เราจะได้คำตอบว่า "หญิงเอ๋ย อะไรแก่ฉันอะไรแก่ท่าน"
คำว่า "หญิงเอ๋ย"ตรงกับภาษากรีก gunai (กูนาย) เป็นคำเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสจากไม้กางเขนว่า "หญิงเอ๋ย นี่คือลูกของท่าน" (ยน. 19.26)
โฮเมอร์กวีผู้หญิงใหญ่ใช้คำ gunai ในบทประพันธ์กับผู้เป็น "ภรรยาสุดที่รัก"
จักรพรรดิออกัสตัสแห่งอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ทรงเรียกคลีโอพัตรา ราชินีผู้เลื่องชื่อแห่งอียิปต์ โดยใช้คำ gunai เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น "หญิงเอ๋ย" จึงไม่ใช่คำพูดที่ดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เป็นคำที่ใช้พูดกับผู้เป็นที่รักและเคารพสูงสุด
ส่วนคำตอบ "อะไรแก่ฉันและแก่ท่าน" ซึ่งมีพระคัมภีร์บางฉบับแปลทำนองว่า "ฉันจะทำอะไรกับท่านดี" หรือ "เรื่องของท่าน ฉันไม่เกี่ยว" นั้น
แม้ "คำพูด" จะเป็นเช่นนี้จริง แต่ "น้ำเสียง" เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หากพูดด้วย "น้ำเสียงโกรธ" ความหมายที่ได้คือการ "ตำหนิ" และ "ปฏิเสธ"
แต่หากพูดด้วย "น้ำเสียงอ่อนโยน" ความหมาย คือ "อย่ากังวลเลยแม่ แม่ไม่เข้าใจดอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น ปล่อยให้เป็นธุระของลูกเถิด ลูกจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยตามวิธีของลูก"...
นี่คือสิ่งที่พระมารดารับรู้และทรงวางพระทัยในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม จนกล้ากล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า "เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด" (ข้อ5)
"ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร"
พิธีชำระตามธรรมเนียมของชาวยิวคือการล้างเท้าของผู้เดินทางก่อนเข้าบ้าน และการล้างมือทั้งก่อนและระหว่างรับประทานอาหาร
ยอห์น อธิบายว่าบรรดาคนรับใช้ "ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ" (ข้อ7) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับใส่สารหรือส่วนผสมอื่นเจือปนเพื่อแปลงน้ำให้เป็นเหล้าองุ่น ต่อจากนั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งว่า "จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด" (ข้อ8)
ผู้จัดงานเลี้ยงเทียบได้กับหัวหน้าคนรับใช้ในปัจจุบัน มีหน้าที่รับผิดชอบจัดที่นั่งให้แขก รวมถึงการบริการอาหารและเครื่องดื่มซึ่งได้แก่เหล้าองุ่นตลอดงาน
เมื่อ "ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำทีเปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว" (ข้อ9) เขาพูดว่า "ใครๆเขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้"
แสดงว่าพระองค์ไม่เพียงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นอย่างรองเท่านั้น แต่ทรงทำให้เป็นเหล้าองุ่นชั้นเลิศอีกด้วย
งานแต่งงานที่หมู่บ้านคานาให้บทเรียนแก่เราหลายประการ ขอเริ่มต้นที่พระมารดาก่อน
1 พระมารดาหันไปหาพระเยซูเจ้าทันทีที่เกิดปัญหา
สามสิบปีที่เมืองนาซาเร็ธย่อมนานพอที่จะทำให้พระมารดารู้จักและคุ้นเคยกับบุตรเป็นอย่างดีจนกลายเป็นสัญชาติญารของพระนางที่จะหันไปหาพระองค์ทันทีที่เกิดปัญหา เช่นเดียวกัน หากเรารู้จักและคุ้นเคยกับพระเยซูเจ้าเป็นอย่างดี สัญชาติญาณย่อมกระตุ้นให้เราหันไปพึ่งพาพระองค์ทุกครั้งที่เราประสบความยากลำบากในชีวิต
2 พระมารดาทรงวางพระทัยในพระเยซูเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
พระนางจะไม่เข้าใจว่าพระเยซูเจ้ากำลังจะทำสิ่งใด และหาฟังเผินๆดูเหมือนพระองค์จะปฏิเสธคำขอของพระนางด้วยซ้ำไป กระนั้นก็ตามพระนางยังเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทำสิ่งที่ดีที่สุด จึงกล้าสั่งบรรดาคนรับใช้ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์
สุดยอดคือ พระนางเชื่อและวางใจ แม้ไม่เข้าใจ
เราทุกคนล้วนต้องประสบกับช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในชีวิต ช่วงเวลาที่มองไม่เห็นทางออก อีกทั้งไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรและทำไม...
ผู้ที่ยังเชื่อและวางใจพระเยซูเจ้าในห้วงเวลาเช่นนี้ย่อมเป็นสุข เหตุว่าเขาได้เจริญรอยตามพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเจ้า
จากข่าวสารวัดพระวิสุทธิวงส์ ฉบับที่ 02 ประจำอาทิตย์ที่ 14 มกราคม 2007
หญิงเอ๋ย ท่านต้องการสิ่งใด เวลาของเรายังมาไม่ถึง
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณครับ 
