เราพอจะทำอะไรได้บ้าง?
เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมา ผมได้เข้าไปในเว็บพันทิปห้องศาสนา http://www.pantip.com/cafe/religious/
และได้ไปอ่านกระทู้ที่ผ่าน ๆ มา
พบว่าปัจจุบัน มีชาวยุโรปได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น
ผมเลยมองย้อนกลับมาที่ตัวเองครับ ว่าเรานั้นพอจะทำอะไรเพื่อเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้าได้บ้าง
เพราะผมเองก็อยากให้มีคนหันมากลับใจมากขึ้นด้วย
ผมเองเป็นนักเรียน(แถมยังไม่ล้างบาป)ทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก เลยอยากถามขอคำแนะนำจากพี่ ๆ ในบอร์ดครับ ขอบคุณครับ
และได้ไปอ่านกระทู้ที่ผ่าน ๆ มา
พบว่าปัจจุบัน มีชาวยุโรปได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามมากขึ้น
ผมเลยมองย้อนกลับมาที่ตัวเองครับ ว่าเรานั้นพอจะทำอะไรเพื่อเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้าได้บ้าง
เพราะผมเองก็อยากให้มีคนหันมากลับใจมากขึ้นด้วย
ผมเองเป็นนักเรียน(แถมยังไม่ล้างบาป)ทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก เลยอยากถามขอคำแนะนำจากพี่ ๆ ในบอร์ดครับ ขอบคุณครับ
สวดภาวนาค่ะ เราทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสวดภาวนาและพลีกรรม ที่เค้าไปนับถือกันพี่ว่า เพราะเค้าไม่รับว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า เค้าชอบพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจ (นั่นคือสิ่งที่เค้าบูชา) มากกว่าพระเจ้าที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยรัก
สวดให้ความจองหองมันอย่าได้มีอำนาจเหนือเรา
สวดให้ความจองหองมันอย่าได้มีอำนาจเหนือเรา
ข้าแต่พระเยซู
ขอให้ ผู้ที่ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ
มองแล้ว แต่ไม่เห็น
ให้รู้ และรู้จักว่า
พระเจ้า คือ ความรัก
ขอให้ ผู้ที่ฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ
มองแล้ว แต่ไม่เห็น
ให้รู้ และรู้จักว่า
พระเจ้า คือ ความรัก
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ ก.พ. 10, 2007 10:45 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ใช่ครับ เราทำได้แค่นี้จริง ๆBuddy เขียน: สวดภาวนาค่ะ เราทำอะไรไม่ได้มากนอกจากสวดภาวนาและพลีกรรม ที่เค้าไปนับถือกันพี่ว่า เพราะเค้าไม่รับว่า พระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า เค้าชอบพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจ (นั่นคือสิ่งที่เค้าบูชา) มากกว่าพระเจ้าที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยรัก
สวดให้ความจองหองมันอย่าได้มีอำนาจเหนือเรา
ไทมส์
5 กุมภาพันธ์ 2005
มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว
โดย แอนโทนี่ บราวนี่
ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับ ชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับภัยคุกคาม ความรุนแรง ถึงขั้นฆาตกรรม
อิฐก้อนแรกได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุก นิสซาร์ ฮัซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ
นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่ครอบครัวนี้กำลังเตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลากว่า 3 ปี รถของนาย ฮัซเซน ถูกกระแทก ทุบตี และ ถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด
เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่ให้บ้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงโดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า
5 กุมภาพันธ์ 2005
มุสลิมเปลี่ยนศาสนาถูกขับไล่ หวั่นภัยจากศรัทธาและครอบครัว
โดย แอนโทนี่ บราวนี่
ขณะที่ชาวคริสต์ที่ได้เปลี่ยนศาสนาสู่อิสลามได้รับการเลี้ยงต้อนรับ ชาวมุสลิมกว่า 2 แสนคนที่ได้เปลี่ยนเป็นศาสนาอื่นกลับต้องผจญกับภัยคุกคาม ความรุนแรง ถึงขั้นฆาตกรรม
อิฐก้อนแรกได้ถูกขว้างผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่นในยามเช้า และได้ปลุก นิสซาร์ ฮัซเซน (Nissar Hussein) ภรรยาและลูก ๆ อีก 5 คน ให้ตื่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว ขณะที่อิฐก้อนที่สองลอยละลิ่วผ่านกระจกรถเข้ามาต่อ
นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ก้อนอิฐอีกก้อนหนึ่งก็ถูกขว้างผ่านหน้าต่างเข้าไปขณะที่ครอบครัวนี้กำลังเตรียมจะเข้านอนในบ้านที่แบรดฟอร์ดของพวกเขา พวกเขาเหล่านี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชังทางศาสนามาเป็นเวลากว่า 3 ปี รถของนาย ฮัซเซน ถูกกระแทก ทุบตี และ ถูกเผา และแม้แต่ทางเข้าบ้านก็ยังมีกองขยะโปรยไว้เต็มไปหมด
เขาและครอบครัวต้องประสบกับภัยคุกคามเช่นนี้เป็นประจำ ไม่ว่าจะการชน การประทุษร้าย การทำร้ายร่างกาย และการตะโกนด่าว่าขับไล่ให้บ้ายไปอยู่ที่อื่น หรือแม้แต่การขู่ฆ่ายามพบเจอบนท้องถนน ภรรยาของเขาเคยถูกจับเป็นตัวประกันในบ้านของตัวเองเป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมงโดยกลุ่มม็อบ ขณะที่รถ กำแพง และหน้าต่างของบ้านถูกพ่นสีเป็นข้อความว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ ก.พ. 10, 2007 5:04 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
อนาคตอันไม่แน่นอนของอิสลาม
พอล มาร์แชล แห่ง ฟรีด้อม เฮาส์ กล่าวว่า ชารีอะ นั้นทั้งอันตรายน้อยและมากกว่าที่คุณคิดเอาไว้นัก
สัมภาษณ์โดย สแตน กูตรี 2 / 9 / 2006 09:30 a.m.
*ชารีอะ (Shariah = ประมวลกฎหมายอิสลาม ที่ได้รับมาจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน และคำสอนของโมฮัมเหม็ด)
พอล มาร์แชล สมาชิกอาวุโสแห่งศูนย์ฟรีด้อม เฮาส์ เพื่อเสรีภาพทางการศาสนา และเป็นบรรณาธิการของหนังสือ The Worldwide Spread of Extreme Shariah Law (Rowman & Littlefield Publishers, 2005)
สแตน กูตรี ในฐานะบรรณาธิการ่วมอาวุโส และเป็นผู้ประพันธ์ Missions in the Third Millennium: 21 Key Trends for the 21st Century ได้ทำการสัมภาษณ์ มาร์แชล
คุณจำแนกระหว่าง ชารีอะ กับ กฎหมายอิสลาม 2 สิ่งนี้อย่างไร ?
สองสิ่งซึ่งเป็นที่เข้าใจยอมรับและถูกใช้โดยชาวมุสลิมทั่วโลกนี้
3 ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้เดินทางไปยังชุมชนมุสลิมหลายต่อหลายแห่งทั่วโลก และได้มีโอกาสสนทนาเรื่อง ชารีอะ
ผมได้ใช้คำว่าการถือตามชารีอะอย่างสุดโต่งสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในซาอุดิอารเบีย อิหร่าน และ ปากีสถาน สถานที่ซึ่งผู้หลบหลู่ศาสนาถูกประหาร และผู้ทำผิดประเวณีเจอทุ่มหินใส่จนตาย และอื่น ๆ แต่ปัญหาคือมุสลิมโดยทั่วไปได้กระทำเช่นนี้กันในวงกว้างมาอย่างช้านานแล้ว ในประเทศอินโดนีเซีย หากคุณถามผู้คนว่า
พอล มาร์แชล แห่ง ฟรีด้อม เฮาส์ กล่าวว่า ชารีอะ นั้นทั้งอันตรายน้อยและมากกว่าที่คุณคิดเอาไว้นัก
สัมภาษณ์โดย สแตน กูตรี 2 / 9 / 2006 09:30 a.m.
*ชารีอะ (Shariah = ประมวลกฎหมายอิสลาม ที่ได้รับมาจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน และคำสอนของโมฮัมเหม็ด)
พอล มาร์แชล สมาชิกอาวุโสแห่งศูนย์ฟรีด้อม เฮาส์ เพื่อเสรีภาพทางการศาสนา และเป็นบรรณาธิการของหนังสือ The Worldwide Spread of Extreme Shariah Law (Rowman & Littlefield Publishers, 2005)
สแตน กูตรี ในฐานะบรรณาธิการ่วมอาวุโส และเป็นผู้ประพันธ์ Missions in the Third Millennium: 21 Key Trends for the 21st Century ได้ทำการสัมภาษณ์ มาร์แชล
คุณจำแนกระหว่าง ชารีอะ กับ กฎหมายอิสลาม 2 สิ่งนี้อย่างไร ?
สองสิ่งซึ่งเป็นที่เข้าใจยอมรับและถูกใช้โดยชาวมุสลิมทั่วโลกนี้
3 ปีที่ผ่านมานี้ ผมได้เดินทางไปยังชุมชนมุสลิมหลายต่อหลายแห่งทั่วโลก และได้มีโอกาสสนทนาเรื่อง ชารีอะ
ผมได้ใช้คำว่าการถือตามชารีอะอย่างสุดโต่งสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในซาอุดิอารเบีย อิหร่าน และ ปากีสถาน สถานที่ซึ่งผู้หลบหลู่ศาสนาถูกประหาร และผู้ทำผิดประเวณีเจอทุ่มหินใส่จนตาย และอื่น ๆ แต่ปัญหาคือมุสลิมโดยทั่วไปได้กระทำเช่นนี้กันในวงกว้างมาอย่างช้านานแล้ว ในประเทศอินโดนีเซีย หากคุณถามผู้คนว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ ก.พ. 10, 2007 5:35 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
อ่านแล้วสงสารอ่ะครับ ช่วยกันสวดให้พวกเค้าด้วยนะครับ
คนยุโรป ไม่มากหรอกที่เปลี่ยนศาสนา
เขาแค่ออกจกโลกเก่าพอมาเจอศาสนาต่างๆก็สนใจ
แต่ที่เปลี่ยนนั้นน้อยกว่าน้อย
ที่น่ากลัวคือเขาถือคริสต์เป็นแค่ประเพณ๊
ไปวัดสามครั้ง รับศีลล้างบาป
แต่งงาน บางทีก็ไม่แต่ง พอมีลูกก็พาไปล้างบาป
แล้วก็ไปอีกทีเขาก็หามไปฝัง
เขาแค่ออกจกโลกเก่าพอมาเจอศาสนาต่างๆก็สนใจ
แต่ที่เปลี่ยนนั้นน้อยกว่าน้อย
ที่น่ากลัวคือเขาถือคริสต์เป็นแค่ประเพณ๊
ไปวัดสามครั้ง รับศีลล้างบาป
แต่งงาน บางทีก็ไม่แต่ง พอมีลูกก็พาไปล้างบาป
แล้วก็ไปอีกทีเขาก็หามไปฝัง
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
บางคนแค่ครั้งเดียวค่ะ คนอื่นหามไปด้วย คือหลังจากตายPhulasso เขียน: คนยุโรป ไม่มากหรอกที่เปลี่ยนศาสนา
เขาแค่ออกจกโลกเก่าพอมาเจอศาสนาต่างๆก็สนใจ
แต่ที่เปลี่ยนนั้นน้อยกว่าน้อย
ที่น่ากลัวคือเขาถือคริสต์เป็นแค่ประเพณ๊
ไปวัดสามครั้ง รับศีลล้างบาป
แต่งงาน บางทีก็ไม่แต่ง พอมีลูกก็พาไปล้างบาป
แล้วก็ไปอีกทีเขาก็หามไปฝัง
-
- โพสต์: 50
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 28, 2006 12:49 pm
ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ยุโรปย้อนหลังนะครับว่า มันเคยเกิดวิกฤติคริสตศาสนามาก่อน (หาอ่านได้จากหนังสือของท่านไมเคิล ไรต์) เมื่อสังคมเปิดกว้าง ก็รับเอาความคิดจากตะวันออกมาด้วย ไม่ใช่แค่อิสลามละครับ ฮินดูก็มี (เช่น 1 ในศิลปินใน 4 เต่าทองก็เปลี่ยนเป็นฮินดู) พุทธก็มี (ซึ่งชาวพุทธหลายท่านภมิใจไม่ใช่น้อย) เผยแผ่เข้าไปในยุโรปก็ไม่น้อย คิดในแง่ดีก็ต้องถือว่ายุโรปเป็นสังคมที่เปิดกว้างทางความคิดมากขึ้น ศาสนาก็ควรเป็นเรื่องของเสรีภาพในการนับถือละครับ คริสตศาสนิกก็ต้องไตร่ตรองทบทวนความผิดพลาดในอดีตที่ผิดพลาด
แต่บางทีประเด็นทางศาสนาก็ละเอียดอ่อนละครับ ส่วนพี่น้องของเราคงต้องสวดภาวนาของให้พระเจ้าโปรดช่วยเขาด้วยละครับ พระเยซูท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า
"ท่านทั้งหลายจะถูกข่มเหงเพราะนามของเรา"
แต่บางทีประเด็นทางศาสนาก็ละเอียดอ่อนละครับ ส่วนพี่น้องของเราคงต้องสวดภาวนาของให้พระเจ้าโปรดช่วยเขาด้วยละครับ พระเยซูท่านก็ตรัสไว้แล้วว่า
"ท่านทั้งหลายจะถูกข่มเหงเพราะนามของเรา"
ไม่เพียงแค่สวดภาวนานะครับ แต่ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือการเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้า น้องสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องสันติภาพ ความดี ความรัก และการให้อภัย พี่ว่าการที่ชาวคริสต์จำนวนหนึ่งหวั่นไหวสั่นคลอนกับความเชื่อของตนเองก็เพราะเขาสัมผัสไม่ได้ถึงพระเจ้า เป็นต้นพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นองค์ความรัก หลายครั้งความรักและการให้อภัยแม้เพียงสักครั้งเดียวก็อาจเปลี่ยนจิตใจคนที่แข็งดั่งศิลาให้อ่อนลงได้นะครับ ซึ่งพี่เชื่อว่าถ้าเขาได้สัมผัสหรือเข้าถึงความรักของพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้สัมผัสหรือเข้าถึงความรักต่อเพื่อนพี่น้องอย่างแท้จริง ความเชื่อของเขาก็จะไม่หวั่นไหวคลอนแคลนไปเลยครับ
ในฐานะนักเรียนคนหนึ่ง น้องสามารถแสดงความรักต่อเพื่อนที่โรงเรียนได้ เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น ให้กำลังใจเพื่อนที่ท้อแท้ใจ อยู่เคียงข้างเพื่อนที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ฯลฯ เมื่อเราทำผิดก็กล้าขอโทษ และเมื่อมีคนทำให้น้องเจ็บช้ำน้ำใจก็กล้าที่จะให้อภัย เช่นนี้ก็จะเป็นดังที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เมื่อท่านรักกันและกัน คนทั้งหลายก็จะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา นี่ไงครับ น้องเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าแล้ว เมื่อมีคนถามน้องว่าทำไมน้องจึงรัก อารีอารอบต่อผู้อื่น และให้อภัยผู้อื่นเมื่อเขาทั้งหลายทำผิดต่อน้อง น้องก็สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า น้องเป็นลูกของพระเจ้าองค์ความรัก น้องเป็นศิษย์ของพระคริสตองค์ นี่ไงครับ น้องได้ทำแล้ว น้องได้ประกาศถึงพระเจ้าแล้ว
นอกจากนี้ การเป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียน เช่น เข้าเรียนสม่ำเสมอ ตรงเวลา ขยันหมั่นเพียร ฯลฯ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการประกาศถึงพระนามของพระเจ้า เพราะเมื่อใดมีคนถามว่าทำไมน้องถึงได้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ขยันหมั่นเพียร มีวินัยและความรับผิดชอบในหน้าที่ของการเป็นนักเรียน น้องก็สามารถตอบได้ว่า เพราะน้องเป็นคริสตชน
น้องบอกว่าน้องยังเป็นนักเรียน แถมยังไม่ได้ล้างบาป ทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าน้องประกาศถึงพระเจ้าด้วยการกระทำของน้อง แล้วน้องทำอย่างต่อเนื่อง ทุกวัน สม่ำเสมอ หนึ่งวัน สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน ... หลายๆวันเข้า จากหนึ่งก็จะเป็นสองและเป็นสามและเป็นสี่และเป็นห้าและเป็นมากมาย นี่ไงครับ น้องได้ทำแล้ว และทำได้มากด้วยสิ จริงปะครับ :cheesy:
มุ่งหน้าต่อไป...เพื่อพระสิริของพระเจ้าสูงสุดครับ
Ad Gloriam Dei !!!
ในฐานะนักเรียนคนหนึ่ง น้องสามารถแสดงความรักต่อเพื่อนที่โรงเรียนได้ เช่น ช่วยเหลือผู้อื่น ให้กำลังใจเพื่อนที่ท้อแท้ใจ อยู่เคียงข้างเพื่อนที่กำลังรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย ฯลฯ เมื่อเราทำผิดก็กล้าขอโทษ และเมื่อมีคนทำให้น้องเจ็บช้ำน้ำใจก็กล้าที่จะให้อภัย เช่นนี้ก็จะเป็นดังที่พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เมื่อท่านรักกันและกัน คนทั้งหลายก็จะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา นี่ไงครับ น้องเป็นพยานถึงพระคริสตเจ้าแล้ว เมื่อมีคนถามน้องว่าทำไมน้องจึงรัก อารีอารอบต่อผู้อื่น และให้อภัยผู้อื่นเมื่อเขาทั้งหลายทำผิดต่อน้อง น้องก็สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า น้องเป็นลูกของพระเจ้าองค์ความรัก น้องเป็นศิษย์ของพระคริสตองค์ นี่ไงครับ น้องได้ทำแล้ว น้องได้ประกาศถึงพระเจ้าแล้ว
นอกจากนี้ การเป็นแบบอย่างที่ดีในการเรียน เช่น เข้าเรียนสม่ำเสมอ ตรงเวลา ขยันหมั่นเพียร ฯลฯ ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการประกาศถึงพระนามของพระเจ้า เพราะเมื่อใดมีคนถามว่าทำไมน้องถึงได้เป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ขยันหมั่นเพียร มีวินัยและความรับผิดชอบในหน้าที่ของการเป็นนักเรียน น้องก็สามารถตอบได้ว่า เพราะน้องเป็นคริสตชน
น้องบอกว่าน้องยังเป็นนักเรียน แถมยังไม่ได้ล้างบาป ทำอะไรได้ไม่ค่อยมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าน้องประกาศถึงพระเจ้าด้วยการกระทำของน้อง แล้วน้องทำอย่างต่อเนื่อง ทุกวัน สม่ำเสมอ หนึ่งวัน สองวัน สามวัน สี่วัน ห้าวัน ... หลายๆวันเข้า จากหนึ่งก็จะเป็นสองและเป็นสามและเป็นสี่และเป็นห้าและเป็นมากมาย นี่ไงครับ น้องได้ทำแล้ว และทำได้มากด้วยสิ จริงปะครับ :cheesy:
มุ่งหน้าต่อไป...เพื่อพระสิริของพระเจ้าสูงสุดครับ
Ad Gloriam Dei !!!
ปัญหาในชีวิตทุกอย่างเกิดจากการที่เรายังมี "บาป" ในใจ แม้ว่าเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเชื่อพระเจ้า
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
รบกวนช่วยชี้แจงหน่อยสิครับว่าการล้างบาปที่ชัดเจนที่ว่านี่หมายถึงอะไร เพราะในเมื่อเห็นว่า"จะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน" คืออ่านแล้วมันออกแนวคริสตจักรที่แท้จริงจริ๊งจริง ส่วนอื่นคงออกแนวไม่จริ๊งไม่จริงหรือเปล่า อืม น่าสนใจChay เขียน: ปัญหาในชีวิตทุกอย่างเกิดจากการที่เรายังมี "บาป" ในใจ แม้ว่าเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเชื่อพระเจ้า
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 10:30 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Chay เขียน: ปัญหาในชีวิตทุกอย่างเกิดจากการที่เรายังมี "บาป" ในใจ แม้ว่าเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเชื่อพระเจ้า
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
โอ๊ว....ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ งั้นคุณ chay ช่วยหาวิธีที่พระเจ้าจะได้ยินในเวลาที่เราสวด หรือ อธิษฐานให้หน่อยคะ เพราะเราเชื่อในพระเจ้า แต่เรายังมีบาปอยู่เนื่องๆ
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อิสยาห์ 1.16-20 พระเจ้าตรัสผ่านท่านอิสยาห์ ว่าทำอย่างไรพระองค์ จะทรงฟังคำอธิษฐานChay เขียน: ปัญหาในชีวิตทุกอย่างเกิดจากการที่เรายังมี "บาป" ในใจ แม้ว่าเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเชื่อพระเจ้า
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
16จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด
จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้น จากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว
17จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ
จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย
18พระเจ้าตรัสว่า
อิสยาห์ 1.16-20 พระเจ้าตรัสผ่านท่านอิสยาห์ ว่าทำอย่างไรพระองค์ จะทรงฟังคำอธิษฐานProd Pran เขียน:Chay เขียน: ปัญหาในชีวิตทุกอย่างเกิดจากการที่เรายังมี "บาป" ในใจ แม้ว่าเป็นคนที่ได้ชื่อว่าเชื่อพระเจ้า
แต่ก็ยังมีบาป เพราะฉะนั้นจะสวด หรืออธิษฐานอย่างไร พระเจ้าก็ไม่ได้ยิน
ในยอห์น บทที่ เก้า ข้อ ที่สามสิบเอ็ด หรือใน อิสยาห์บทที่ห้าสิบเก้า ข้อหนึ่งกับสอง
อธิบายแล้วว่าถ้ามีบาป นี่คือทำอะไรไม่ได้เลย ในอิสยาห์บทที่หนึ่งข้อที่สิบห้า ก็เขียนว่า
"แม้เจ้าอธิษฐานมากมาย กางแขนร้องไห้ แต่เราจะไม่ฟ้งเจ้าก็มี"
เพราะฉะนั้นอธิฐานไม่ใช่เหตุผมที่พระเจ้าจะฟัง แต่คนที่จะอธิษฐาน
ต้องเข้าใจเรื่องการล้างบาปที่ชัดเจนก่อน จึงค่อยอธิฐาน
16จงชำระตัว จงทำตัวให้สะอาด
จงเอากรรมชั่วของเจ้าออกไปให้พ้น จากสายตาของเรา จงเลิกกระทำชั่ว
17จงฝึกกระทำดี จงแสวงหาความยุติธรรม จงบรรเทาผู้ถูกบีบบังคับ จงป้องกันให้ลูกกำพร้าพ่อ
จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย
18พระเจ้าตรัสว่า
อ่าว แล้วทำไมที่กระทู้นี้
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5494.0
บอกทำนองว่า ไม่ต้องสนความประพฤติ(ทำบาปไปไม่เป็นไร)ขอให้เชื่อพระเยซูก็พอ แต่ดูเหมือนบทที่ยกมากระทู้นี้คือ ถ้ายังทำบาปอยู่พระเจ้าจะไม่ฟังล่ะ ดูมันวนๆยังไงๆม่ทราบนะครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=5494.0
บอกทำนองว่า ไม่ต้องสนความประพฤติ(ทำบาปไปไม่เป็นไร)ขอให้เชื่อพระเยซูก็พอ แต่ดูเหมือนบทที่ยกมากระทู้นี้คือ ถ้ายังทำบาปอยู่พระเจ้าจะไม่ฟังล่ะ ดูมันวนๆยังไงๆม่ทราบนะครับ