Belong to the Truth Jesus Christ

ผมได้เจอเวปบางเวปเกี่ยวกับการประจักษ์ของพระเยซูเจ้า และแม่พระที่พระศาสนจักรไม่ได้รับรอง เนื้อหาของการไขแสดงมีหลายข้อความที่กล่าวโจมตีพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกในปัจจุบัน (หลังพระสังคายนาวาติกันที่สอง) ในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การทำมิสซาภาษาท้องถิ่น ในเวปนั้นมีข้อความที่อ้างว่ามาจากพระเยซูเจ้า บอกว่า พระบิดาทรงกำหนดให้ภาษาละตินเป็นภาษาสากลของพระศาสนจักรที่มนุษย์จะใช้สื่อสารกับพระเจ้า จะสวดหรือทำมิสซาด้วยภาษาอื่นไม่ได้ การรับศีลมหาสนิทโดยการยืนและใช้มือรับเป็นการทุราจารต่อศีลมหาสนิท การที่พระสงฆ์ทำมิสซาหันหน้ามาหาสัตบุรุษไม่เป็นพิธีมิสซาที่แท้จริง  บางทีก็อ้างว่าแม่พระบอกว่า พระศาสนจักรที่วาติกันถูกปกครองโดยซาตาน ฯลฯ ซึ่งเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูเจ้าและแม่พระเคยตรัสเช่นนั้นจริง ๆ เพราะในการประจักษ์นั้นก็อ้างการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมาด้วย และตีความความลับข้อที่สามไปอีกแบบนึง แต่ในขณะเดียวกัน การประจักษ์ของแม่พระที่เมดจูกอเรก็ไม่เคยมีสารใดจากแม่พระที่กล่าวตำหนิการเปลี่ยนแปลงด้านพิธีกรรมของพระศาสนจักรเลย รวมทั้งคำตรัสของพระเยซูเจ้ากับวาสสุลาก็ยังมีข้อความตำหนิกลุ่มคาทอลิกอนุรักษ์นิยมของสังฆราชเลอแฟปด้วย จริงอยู่ว่าธรรมเนียมการประกอบพิธีกรรมแบบเก่าที่พระศาสนจักรเคยใช้มาเป็นเวลาพันปี แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นแบบในปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ว่าแบบเก่าจะผิด หรือแบบใหม่จะผิด แต่เราต้องดูว่าอะไรเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากกว่ากัน

ถ้าคนหัวเก่าก็คงมองว่าการเผยแสดงที่ตำหนิการเปลี่ยนแปลงของพระศาสนจักรนั้นมาจากพระเจ้าจริง ส่วนคนที่เกิดมาทีหลังก็คงสับสนไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด และหลาย ๆ คนก็คงคิดว่าการเผยแสดงนั้นมาจากปีศาจเพื่อสร้างความแตกแยกให้พระศาสนจักร และบางคนก็คงคิดว่าพวกหัวอนุรักษ์สร้างเรื่องขึ้นมาสนับสนุนความคิดของตัวเอง


นี่เป็นส่วนหนึ่งของเวปที่กล่าวถึงการเผยแสดงที่อ้างว่ามาจากพระเจ้า ผ่านทางผู้ที่ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า Marie-Julie Jahenny (1850-1941)
http://www.olrl.org/prophecy/prophecy.shtml

และหน้าเวปนี้เป็นข้อเปรียบเทียบระหว่างคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกก่อนการสังคายนาวาติกันที่สอง กับสาส์นจากเมดจูกอเร
http://www.olrl.org/prophecy/medjugorje.shtml

..........บางครั้ง,ควรย้อนกลับไปศึกษาข้อมูลที่มากพอในทุกๆด้าน ถ้าต้องการทราบข้อเท็จจริงๆ(แต่ท่านเองต้องมีศรัทธามากๆ,หรือมีของประทาน) เรื่องเกี่ยวกับการเผยแสดงที่เหนือธรรมชาติต่างๆ หากได้ศึกษาประวัติศาสตร์แห่งพระศาสนจักรหรือชีวประวัติของนักบุญหลายๆท่านแล้ว จะพบว่าปัญหา"การพิสูจน์การเผยแสดงที่เหนือธรรมชาติ เพราะเหตุผลที่ว่าไม่แน่ว่าจะมาจากพระเจ้าหรือไม่" ทำให้จิตใจผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นมลทินมากขึ้น(ถ้าขาดการภาวนา,และพิจารณาที่ดี) เพราะ บางครั้ง,หัวใจของเราเองก็ทราบด้วยความแจ่มชัดเองว่าสิ่งใด"เท็จ"หรือ"ไม่เท็จ"ผ่านการดลของพระจิต..........อย่างไรก็ตาม,เรื่องพวกนี้ต้องอาศัยความใกล้ชิดกับพระจิตมาก,ลำพังคริสตชนปกติจะตัดสินยาก เพราะดวงตายังมืดบอดยิ่ง จึงทำได้แต่ภาวนาให้พระบิดาเจ้าทรงนำทางเราให้พ้นจากการล่อลวงด้วย

อะไรที่อ่านแล้ว ทำให้เราเกิดสงสัย เราก็ไม่ต้องไปอ่านหรอกครับ

ขอเพียงเรามีเชื่อที่มั่นคง พระองค์จะทรงให้คำตอบนั้นเองครับ

คงต้องกลับไปดูที่พระคัมภรีแล้วว่าพระเยซูทรงตรัสและแสดงเจตนารมณ์เกี่ยวกับพีธีกรรมไว้อย่างไร เป็นการกระทำแต่เพียงภายนอก  พระองค์เน้นที่การพิจารณาที่จิตใจมิใช่หรือ "หากพวกท่านมิได้ชอบธรรมไปกว่าพวกธรรมจารย์และฟาริสี ก็จะไม่มีทางเข้าอาณาจักรของพระองค์ได้เลย"
ส่วนการเผยแสดงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและล่อแหลมอัตรายมากๆด้วยเช่นกัน ลำพังเราๆคงตัดสินอะไรมากไม่ได้ ต้องอาศัยการทำงานของพระจิตในการแยกแยะครับ

โอ เพชร เราก็เคยสับสนเหมือนกัน     

1ยน 4:1-6  เงื่อนไขประการที่สาม การระวังตนจากผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้าและจากโลก
ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อการดลใจทุกประการ แต่จงทดสอบการดลใจต่าง ๆ ก่อน ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะมีประกาศกเทียมอยู่ทั่วไปในโลก  ท่านทั้งหลายรู้จักการดลใจของพระเจ้าโดยวิธีนี้ คือ การดลใจใดที่ยอมรับว่า พระเยซูคริสตเจ้าเสด็จมารับธรรมชาติมนุษย์ ก็เป็นการดลใจที่มาจากพระเจ้า และการดลใจใดที่ไม่ยอมรับพระเยซูเจ้า ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่เป็นการดลใจของผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า ซึ่งท่านได้ฟังว่ากำลังมา และบัดนี้อยู่ในโลกแล้ว  ลูกที่รักทั้งหลาย ท่านมาจากพระเจ้า และชนะประกาศกเทียมเหล่านั้นแล้ว เพราะพระองค์ผู้สถิตอยู่ในท่าน ทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก คือผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสตเจ้า  เขาเหล่านั้นมาจากโลก ดังนั้น จึงพูดตามวิถีโลก และโลกย่อมฟังเขา  แต่เรา มาจากพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา ส่วนผู้ที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า ย่อมไม่ฟังเรา เราจึงรู้จักการดลใจที่เป็นความจริงและการดลใจที่เป็นความหลงผิด

เนื่องด้วยผมทำงานด้านพิธีกรรม และเมื่อได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพระศาสนจักรด้านพิธีกรรมหลายด้าน จึงทำให้รู้สึกสับสนอย่างมากครับ เพราะแนวทางพิธีกรรมของพระศาสนจักรคาทอลิกในปัจจุบันที่เราคุ้นเคย กับรูปแบบพิธีกรรมแบบเก่าก่อนสังคายนาวาติกันที่ 2 ซึ่งมีคริสตชนกลุ่มหนึ่งยังใช้อยู่ และได้ปฏิเสธแบบที่พระศาสนจักรในปัจจุบันใช้ พร้อมทั้งตำหนิวิจารณ์จนเสียหาย อย่างกับพิธีมิสซาในปัจจุบันที่เราทำนั้นไม่เป็นมิสซาที่แท้จริง แล้วก็เอาการประจักษ์ที่กลุ่มของเขาได้รับมาสนับสนุน เพื่อตำหนิพระศาสนจักรที่โรม ลองคิดดูสิ เขาว่ามิสซาของเราไม่มีความศักดิ์สิทธิ์  ต้องมิสซาแบบหันหน้าเข้าพระแท่นที่ติดข้างฝา และทำภาษาละติน โดยใช้ Ordo Missae แบบเก่า เท่านั้น ถึงจะเป็นบูชามิสซาจริง ๆ แถมยังกล่าวหาว่าพระสันตะปาปาหลังสังคายนาวาติกันที่ 2 ทรงเป็นเฮเรติก มีการโค้ดคำพูดของพระสันตะปาปาหลายประโยชน์ ที่เขาบอกว่าขัดกับพระคัมภีร์ และคำสอนพระศาสนจักรสมัยก่อน เช่นการทำศาสนสัมพันธ์ และคริสตสัมพันธ์  ไม่รู้พระศาสนจักรได้ทำอะไรกับพวกนี้บ้างนะครับ

-เขาว่ามิสซาของเราไม่มีความศักดิ์สิทธิ์  ต้องมิสซาแบบหันหน้าเข้าพระแท่นที่ติดข้างฝา และทำภาษาละติน โดยใช้ Ordo Missae แบบเก่า เท่านั้น ถึงจะเป็นบูชามิสซาจริง ๆ
ทำเพื่อพระเจ้า ยังไงก็ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันเเล

-แถมยังกล่าวหาว่าพระสันตะปาปาหลังสังคายนาวาติกันที่ 2 ทรงเป็นเฮเรติก มีการโค้ดคำพูดของพระสันตะปาปาหลายประโยชน์ ที่เขาบอกว่าขัดกับพระคัมภีร์ และคำสอนพระศาสนจักรสมัยก่อน เช่นการทำศาสนสัมพันธ์ และคริสตสัมพันธ์ 
ไม่จริ๊งๆๆๆๆ โป๊ปไม่ใช่เฮเรติก   

อาจต้องใช้นักบริหารมาแก้ปัญหา --> การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)

การบริหารการเปลี่ยนแปลงนี่เรื่องใหญ่  หลายคนยอมรับการเปลี่ยนแปลงยาก  ขนาดแค่เปลี่ยน software ในองค์กรยังมีปัญหาเลย  อันนี้เรื่องจิตใจ จิตวิญญาณ ยิ่งมีปัญหาใหญ่