+++สมาธิ กับคริสตชน++
“เป็นคริสตชน นั่งสมาธิได้หรือไม่?” นับเป็นคำถามที่ฉงน สำหรับผมมาก และเป็นที่มาของบทความนี้
อันที่จริงแล้ว การสำรวมใจ/ทำสมาธิ อยู่คู่ชีวิต คริสตชน มาแต่แรกเริ่มแล้ว
ภาษาละตินใช้คำว่าMeditatio ซึ่งเป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษว่า Meditation
นอกจากนี้ ในทางวิชาการสากล ก็ให้ความสำคัญ กับสมาธิ(concentration) ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน อีกด้วย
แต่ด้วยการที่เราอยู่ในสังคมไทย ซึ่งมีศาสนาพุทธเป็นบรรทัดฐานสังคม จึงอาจจะทำให้เกิดกรอบความคิดไปเองว่า
“การนั่งสมาธิ เป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ”
ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านมีมุมมองที่ เปิดกว้าง ก่อนการรับข้อมูลต่อไปนี้ครับ^^
อันที่จริงแล้ว การสำรวมใจ/ทำสมาธิ อยู่คู่ชีวิต คริสตชน มาแต่แรกเริ่มแล้ว
ภาษาละตินใช้คำว่าMeditatio ซึ่งเป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษว่า Meditation
นอกจากนี้ ในทางวิชาการสากล ก็ให้ความสำคัญ กับสมาธิ(concentration) ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน อีกด้วย
แต่ด้วยการที่เราอยู่ในสังคมไทย ซึ่งมีศาสนาพุทธเป็นบรรทัดฐานสังคม จึงอาจจะทำให้เกิดกรอบความคิดไปเองว่า
“การนั่งสมาธิ เป็นเรื่องเฉพาะของศาสนาพุทธ”
ดังนั้น ขอให้ท่านผู้อ่านมีมุมมองที่ เปิดกว้าง ก่อนการรับข้อมูลต่อไปนี้ครับ^^
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 26, 2007 9:57 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
พระคัมภีร์กล่าวถึงสมาธิอย่างไร?
ชีวิตคริสตชนคือ การดำเนินชีวิต โดยพระเจ้า ร่วมกับพระเจ้า และในพระเจ้า
ดังนั้น เรามาดูกันก่อนว่า พระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า มีท่าทีอย่างไรต่อ การทำสมาธิ
“จงนิ่งสงบ เบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่า วันแห่งพระเจ้ามาใกล้แล้ว” ศฟย 1:7
“จงนิ่งเสียและรู้เถิด ว่า เราเป็นพระเจ้า” สดด 46.10 ฯลฯ
สรุป
เท่านี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า การทำสมาธิ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามไว้
ตรงกันข้าม พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราหมั่นทำสมาธิ เพื่อใกล้ชิดพระองค์ อีกด้วย
ชีวิตคริสตชนคือ การดำเนินชีวิต โดยพระเจ้า ร่วมกับพระเจ้า และในพระเจ้า
ดังนั้น เรามาดูกันก่อนว่า พระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวจนะของพระเจ้า มีท่าทีอย่างไรต่อ การทำสมาธิ
“จงนิ่งสงบ เบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่า วันแห่งพระเจ้ามาใกล้แล้ว” ศฟย 1:7
“จงนิ่งเสียและรู้เถิด ว่า เราเป็นพระเจ้า” สดด 46.10 ฯลฯ
สรุป
เท่านี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า การทำสมาธิ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ห้ามไว้
ตรงกันข้าม พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เราหมั่นทำสมาธิ เพื่อใกล้ชิดพระองค์ อีกด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 26, 2007 10:42 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การนำสมาธิ สู่ ชีวิต ในแบบคริสตชน
ชีวิตของคริสตชนคือการ ภาวนา /สนทนากับพระเจ้า : Life is a prayer.
ในพระวรสาร ชีวิตของคริสตชน ดำรงด้วย3สิ่ง คือ
“ความเชื่อ ความหวังและความรัก” 1คร. 13:13
เช่นเดียวกัน การภาวนาประกอบด้วย การออกเสียง รำพึง และ เพ่งญาณ
ชีวิตของคริสตชนคือการ ภาวนา /สนทนากับพระเจ้า : Life is a prayer.
ในพระวรสาร ชีวิตของคริสตชน ดำรงด้วย3สิ่ง คือ
“ความเชื่อ ความหวังและความรัก” 1คร. 13:13
เช่นเดียวกัน การภาวนาประกอบด้วย การออกเสียง รำพึง และ เพ่งญาณ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 26, 2007 10:50 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-การออกเสียง (Vocal Prayer)
บทภาวนาต่างๆของคริสตชน นั้นมิได้ศักดิ์สิทธิ ด้วยตัวอักษรเอง
แต่หากเป็น “ความเชื่อของเรา ที่ช่วยเราให้รอด” ลก.18:42
เป็นการยันยืนความเชื่อ ทั้งต่อผู้อื่นและตนเอง
เป็นต้น พระเยซูเจ้า ทรงสอนให้สวด “บทข้าแต่พระบิดา” แก่เรา
และพระองค์ ก็ยังทรง เรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” อยู่เสมอ ไม่ว่า ยามสุข/สรรเสริญพระเจ้า (มธ.11:25-26)
หรือ ยามทุกข์/ในสวนเกทสมนี (มก.14:36)
-การรำพึง (Meditation)
หรือ การทำสมาธิ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
เราก็เหมือน กระแสน้ำที่ปั่นป่วน หากจะให้ใส ก็ต้องให้น้ำนิ่ง และตกตะกอนเสียก่อน
การรำพึงอยู่ในชีวิตคริสตชนยุคปัจจุบันที่เห็นได้ชัด ก็คือ การเข้าเงียบ
เป็นการปลีกตัวจากสังคมยังที่สงบ เราจะปล่อยวางทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามการทรงนำของพระเจ้า
“จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา” รม12:12
-การเพ่งญาณ (Contemplative Prayer)
ในขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป้าหมายของ คริสต์ศาสนา
คือการที่มนุษย์ กับพระเจ้า จะกลับคืนดี เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยอาศัยความรัก เพราะ“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” 1ยน 4:16
ความรักนั้นย่อมอาศัย การคิดถึง เข้าใกล้ชิด ยิ่งความรักของพระเจ้า/Agapeนั้น คือการติดสนิทเหมือนเป็นคนเดียวกัน
“ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา” 1ยน 4:16
เหมือน การที่ “พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์” ยน1:14 บังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี
ผ่านการส่งต่อฤทธิ์อำนาจ จากอัครสาวก ในวันพระจิตเจ้าสเด็จมา
และผ่านทางศีลมหาสนิท
บทภาวนาต่างๆของคริสตชน นั้นมิได้ศักดิ์สิทธิ ด้วยตัวอักษรเอง
แต่หากเป็น “ความเชื่อของเรา ที่ช่วยเราให้รอด” ลก.18:42
เป็นการยันยืนความเชื่อ ทั้งต่อผู้อื่นและตนเอง
เป็นต้น พระเยซูเจ้า ทรงสอนให้สวด “บทข้าแต่พระบิดา” แก่เรา
และพระองค์ ก็ยังทรง เรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา” อยู่เสมอ ไม่ว่า ยามสุข/สรรเสริญพระเจ้า (มธ.11:25-26)
หรือ ยามทุกข์/ในสวนเกทสมนี (มก.14:36)
-การรำพึง (Meditation)
หรือ การทำสมาธิ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
เราก็เหมือน กระแสน้ำที่ปั่นป่วน หากจะให้ใส ก็ต้องให้น้ำนิ่ง และตกตะกอนเสียก่อน
การรำพึงอยู่ในชีวิตคริสตชนยุคปัจจุบันที่เห็นได้ชัด ก็คือ การเข้าเงียบ
เป็นการปลีกตัวจากสังคมยังที่สงบ เราจะปล่อยวางทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามการทรงนำของพระเจ้า
“จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงมีความอดทนต่อความทุกข์ยาก จงพากเพียรในการภาวนา” รม12:12
-การเพ่งญาณ (Contemplative Prayer)
ในขั้นตอนนี้ เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะเป้าหมายของ คริสต์ศาสนา
คือการที่มนุษย์ กับพระเจ้า จะกลับคืนดี เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยอาศัยความรัก เพราะ“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” 1ยน 4:16
ความรักนั้นย่อมอาศัย การคิดถึง เข้าใกล้ชิด ยิ่งความรักของพระเจ้า/Agapeนั้น คือการติดสนิทเหมือนเป็นคนเดียวกัน
“ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา” 1ยน 4:16
เหมือน การที่ “พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์” ยน1:14 บังเกิดจากพระนางมารีย์พรหมจารี
ผ่านการส่งต่อฤทธิ์อำนาจ จากอัครสาวก ในวันพระจิตเจ้าสเด็จมา
และผ่านทางศีลมหาสนิท
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 26, 2007 10:40 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
รูปแบบของการภาวนา
มีหลายแบบ เช่น
การสวดสายประคำ
การภาวนาของนักบุญฟรังซิส
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1522.0
ของนักบุญเบเนดิกต์ (Lectio Divina)
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1560.0
ของนักบุญอิกญาซีโอ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1561.0
แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นรูปแบบที่คุณพ่อ ยอห์นเมน ฤาษี คณะเบเนดิกติน ได้ทำการบูรณาการ
หลังจากได้สนทนาธรรม กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ ณ สวนโมกข์ เมื่อครั้งมาทำพันธกิจใน เอเชียอาคเนย์
ซึ่งน่าจะเหมาะกับ คริสตชนชาวไทยเป็นพิเศษ
มารู้จักกับ มันตรา (Prayer-word)
เป็นคำที่ เราใช้ท่อง ขณะรำพึงกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก เป็น คำสั้น2พยางค์ เพื่อให้ เราใจจดจ่อ อยู่กับพระเจ้า
เช่น อับ-บา (พระบิดา) เย-ซู ฯลฯ ตามความชอบ
เป้าหมายของมันตรา มิใช่ มนตราคาถาอะไร หาก แต่ เป็น การทำให้จิตใจของเราสงบ รับรู้ถึงความรักของพระเจ้า
การปฎิบัติ
ก่อนการปฎิบัติให้เรา เตรียมใจให้พร้อมเสียก่อน ด้วยบทเพลง บทสวด จากนั้น ให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม
(จะ นั่ง นอน หรือ ยืนก็แล้วแต่ สำคัญว่า ต้อง "หลังตรง")
จากนั้น หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ช้าๆ 3ครั้ง โดยรำพืงดังนี้
1.ปฐก 2:7 "พระเจ้า ทรงเป่าลมปราณ เข้าทางจมูก มนุษย์จึงมีชีวิต"
2.ยน19:30 "พระเยซู ตรัสว่า"สำเร็จแล้ว" และ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน "
3. พระองค์ทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์ ตรัสว่า "จงรับพระจิตเจ้าเถิด"
จากนั้น หายใจตามปกติ กล่าวมันตรา อย่าสม่ำเสมอ เป็นเวลา20-30นาที ทำเช่นนี้ วันละ2ครั้ง เช้าเย็น
อ้างอิง
-คพ. ประเสริฐ โลหะวิริยศิริ คณะมหาไถ่
-ผศ.อารมณ์ พูลโภคผล
-เว็บสังฆมณฑลกรุงเทพ www.catholic.or.th
มีหลายแบบ เช่น
การสวดสายประคำ
การภาวนาของนักบุญฟรังซิส
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1522.0
ของนักบุญเบเนดิกต์ (Lectio Divina)
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1560.0
ของนักบุญอิกญาซีโอ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=1561.0
แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นรูปแบบที่คุณพ่อ ยอห์นเมน ฤาษี คณะเบเนดิกติน ได้ทำการบูรณาการ
หลังจากได้สนทนาธรรม กับ ท่านพุทธทาสภิกขุ ณ สวนโมกข์ เมื่อครั้งมาทำพันธกิจใน เอเชียอาคเนย์
ซึ่งน่าจะเหมาะกับ คริสตชนชาวไทยเป็นพิเศษ
มารู้จักกับ มันตรา (Prayer-word)
เป็นคำที่ เราใช้ท่อง ขณะรำพึงกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก เป็น คำสั้น2พยางค์ เพื่อให้ เราใจจดจ่อ อยู่กับพระเจ้า
เช่น อับ-บา (พระบิดา) เย-ซู ฯลฯ ตามความชอบ
เป้าหมายของมันตรา มิใช่ มนตราคาถาอะไร หาก แต่ เป็น การทำให้จิตใจของเราสงบ รับรู้ถึงความรักของพระเจ้า
การปฎิบัติ
ก่อนการปฎิบัติให้เรา เตรียมใจให้พร้อมเสียก่อน ด้วยบทเพลง บทสวด จากนั้น ให้อยู่ในอิริยาบถที่เหมาะสม
(จะ นั่ง นอน หรือ ยืนก็แล้วแต่ สำคัญว่า ต้อง "หลังตรง")
จากนั้น หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ช้าๆ 3ครั้ง โดยรำพืงดังนี้
1.ปฐก 2:7 "พระเจ้า ทรงเป่าลมปราณ เข้าทางจมูก มนุษย์จึงมีชีวิต"
2.ยน19:30 "พระเยซู ตรัสว่า"สำเร็จแล้ว" และ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน "
3. พระองค์ทรงเป่าลมเหนือบรรดาศิษย์ ตรัสว่า "จงรับพระจิตเจ้าเถิด"
จากนั้น หายใจตามปกติ กล่าวมันตรา อย่าสม่ำเสมอ เป็นเวลา20-30นาที ทำเช่นนี้ วันละ2ครั้ง เช้าเย็น
อ้างอิง
-คพ. ประเสริฐ โลหะวิริยศิริ คณะมหาไถ่
-ผศ.อารมณ์ พูลโภคผล
-เว็บสังฆมณฑลกรุงเทพ www.catholic.or.th
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ จันทร์ ก.พ. 26, 2007 11:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบ มากครับยศ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Batholomew เขียน: ขอบ มากครับยศ
เขามีแรงจูงใจอ่ะจ๊ะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
แรงจูงใจ :huh::+: seraphim :+: เขียน:Batholomew เขียน: ขอบ มากครับยศ
เขามีแรงจูงใจอ่ะจ๊ะ
Batholomew เขียน:แรงจูงใจ :huh::+: seraphim :+: เขียน:Batholomew เขียน: ขอบ มากครับยศ
เขามีแรงจูงใจอ่ะจ๊ะ
พลีกรรม ช่วงมหาพรตครับ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
สำหรับพี่น้องคริสเตียน ก็ให้ไปตามธรรมชาติของตัวเอง คร้าบEdwardius เขียน: อย่าลืม สำคัญมหากางเขน ก่อนการทำสมาธิทุกครั้งนะฮับ พี่น้อง!!!~
น้องเจี๊ยบลูกครึ่ง บางทีทำ บางทีลืม แต่มั่นใจว่า องค์ตรีเอกภาพ อยู่ในใจอย่างล้นเปี่ยม
เจ๊ยศ meditation นะ คริสเตียนก็ใช้ประจำฮะ แต่เราแปลเป็นไทยว่า "ใคร่ครวญ"
เออหนอ ทำไมไม่บัญญัติศัพท์ที่ต่างไปจากสมาธิละ ใช้รำพึงก็ได้นี่นา ถึงจะครอบคลุมไม่ทั้งหมดแต่ก็ใช้เรียกวิธีใหญ่ ส่วนรูปแบบย่อยๆก็อธิบายเอา เบื่อพวกไทยจ๋าที่ชอบบอกว่าเรามักทำเนียนเอาศัพท์เขามาใช้ให้เกิดความสับสน เป็นแผนการชักชวนให้คนมาเข้าคริสต์อะไรทำนองนั้น
ทีเวลาเขาไปต่างประเทศ หรือเผยแพร่(แผ่)ของเขาให้หัวแดงหัวดำฟัง ไทยจ๋าพวกนี้ก็ใช้ meditation, tample และอื่นๆที่เป็นศัพท์คริสต์กันหน้าตาเฉย
เซ็งเป็ด
ทีเวลาเขาไปต่างประเทศ หรือเผยแพร่(แผ่)ของเขาให้หัวแดงหัวดำฟัง ไทยจ๋าพวกนี้ก็ใช้ meditation, tample และอื่นๆที่เป็นศัพท์คริสต์กันหน้าตาเฉย
เซ็งเป็ด
ปกติเท่าที่ดูจากหนังสือการภาวนาของนักบุญในศาสนาคริสต์ ไม่มีการว่าทำสมาธิ และการทำสมาธิก็ไม่ใช่การรำพึงด้วย เพราะการรำพึงคือการภาวนาด้วยสมอง ส่วนการพิศเพ่งเป็นการภาวนาด้วยหัวใจที่จดจ่ออยู่ในความรักของพระเจ้า แต่คำว่าสมาธิก็มิอาจจะมาเทียบกับการพิศเพ่งได้อยู่ดี เพราะการทำสมาธิเป็นเพียงกระบวนการขั้นพื้นฐานที่ทำให้กายและจิตสงบ เพื่อที่จะไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการ ซึ่งการภาวนาอาจต้องมีสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงจะสามารถภาวนาได้ แต่อย่างไรก็ตามการภาวนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าเราตั้งใจที่จะภาวนาหรือไม่ เพราะสำหรับคนที่ชิดสนิทกับพระเจ้า เขาสามารถภาวนาได้ทุกขณะจิต เพราะพระจิตของพระเจ้าที่สถิตในตัวเขาทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาอยู่เสมอ
ถ้าอย่างนั้นคำว่าสมาธิน่าจะตรงกับภาษาอังกฤษว่าอะไรAndreas เขียน: ปกติเท่าที่ดูจากหนังสือการภาวนาของนักบุญในศาสนาคริสต์ ไม่มีการว่าทำสมาธิ และการทำสมาธิก็ไม่ใช่การรำพึงด้วย เพราะการรำพึงคือการภาวนาด้วยสมอง ส่วนการพิศเพ่งเป็นการภาวนาด้วยหัวใจที่จดจ่ออยู่ในความรักของพระเจ้า แต่คำว่าสมาธิก็มิอาจจะมาเทียบกับการพิศเพ่งได้อยู่ดี เพราะการทำสมาธิเป็นเพียงกระบวนการขั้นพื้นฐานที่ทำให้กายและจิตสงบ เพื่อที่จะไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการ ซึ่งการภาวนาอาจต้องมีสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงจะสามารถภาวนาได้ แต่อย่างไรก็ตามการภาวนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าเราตั้งใจที่จะภาวนาหรือไม่ เพราะสำหรับคนที่ชิดสนิทกับพระเจ้า เขาสามารถภาวนาได้ทุกขณะจิต เพราะพระจิตของพระเจ้าที่สถิตในตัวเขาทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาอยู่เสมอ
ในเมื่อเมดิเตชั่นคือการรำพึงไปแล้ว และการรำพึงก็ไม่ใช่การทำสมาธิ
ช่ายยยยยยยย มีสมาธิในการทำงาน มีสมาธิในการภาวนา มีสมาธิในการเรียน มีสมาธิในการคิดแก้ไขปัญหา(สมาธิมา ปัญญาเกิด เห็นแจ้งเหตุแห่งปัญหา) เล่นกีฬาก็ต้องมีสมาธิอยู่ในเกมส์ ตกปลาก็ต้องมีสมาธิ ดูหนังก็ต้องมี ทำอะไรทุกอย่างก็ต้องการการมีสมาธิcoolmoon เขียน: ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า.. เราจะใช้สมาธิเพื่ออะไร?
Andreas เขียน: ปกติเท่าที่ดูจากหนังสือการภาวนาของนักบุญในศาสนาคริสต์ ไม่มีการว่าทำสมาธิ และการทำสมาธิก็ไม่ใช่การรำพึงด้วย เพราะการรำพึงคือการภาวนาด้วยสมอง ส่วนการพิศเพ่งเป็นการภาวนาด้วยหัวใจที่จดจ่ออยู่ในความรักของพระเจ้า แต่คำว่าสมาธิก็มิอาจจะมาเทียบกับการพิศเพ่งได้อยู่ดี เพราะการทำสมาธิเป็นเพียงกระบวนการขั้นพื้นฐานที่ทำให้กายและจิตสงบ เพื่อที่จะไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการ ซึ่งการภาวนาอาจต้องมีสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงจะสามารถภาวนาได้ แต่อย่างไรก็ตามการภาวนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าเราตั้งใจที่จะภาวนาหรือไม่ เพราะสำหรับคนที่ชิดสนิทกับพระเจ้า เขาสามารถภาวนาได้ทุกขณะจิต เพราะพระจิตของพระเจ้าที่สถิตในตัวเขาทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาอยู่เสมอ
มันอยู่ที่การบัญญัติ ศัพท์มากกว่าละมั้งครับ
แต่ว่า การใช้ ลมหายใจ/มันตรา
มีมาตั้งแต่ นักบุญเบเนดิกต์ ทั้งยังนักบุญอิกนาซีโอ 1ในผุ้ก่อตั้งเยซูอิตอีกด้วยครับ
มาเล่าให้ฟังจ้าAndreas เขียน: ปกติเท่าที่ดูจากหนังสือการภาวนาของนักบุญในศาสนาคริสต์ ไม่มีการว่าทำสมาธิ และการทำสมาธิก็ไม่ใช่การรำพึงด้วย เพราะการรำพึงคือการภาวนาด้วยสมอง ส่วนการพิศเพ่งเป็นการภาวนาด้วยหัวใจที่จดจ่ออยู่ในความรักของพระเจ้า แต่คำว่าสมาธิก็มิอาจจะมาเทียบกับการพิศเพ่งได้อยู่ดี เพราะการทำสมาธิเป็นเพียงกระบวนการขั้นพื้นฐานที่ทำให้กายและจิตสงบ เพื่อที่จะไปสู่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราต้องการ ซึ่งการภาวนาอาจต้องมีสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก เราจึงจะสามารถภาวนาได้ แต่อย่างไรก็ตามการภาวนาไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา ว่าเราตั้งใจที่จะภาวนาหรือไม่ เพราะสำหรับคนที่ชิดสนิทกับพระเจ้า เขาสามารถภาวนาได้ทุกขณะจิต เพราะพระจิตของพระเจ้าที่สถิตในตัวเขาทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาอยู่เสมอ
การรำพึงคือการภาวนาด้วยสมอง เขาบอกว่า เป็นสมาธินอกกาย
ส่วนการพิศเพ่งเป็นการภาวนาด้วยหัวใจที่จดจ่ออยู่ในความรักของพระเจ้า เขาบอกว่า เป็นสมาธิในกาย
ไม่เชื่อไม่เป็นไร มาบอกไว้เป็นข้อมูลจ้า
เพราะพี่ก็ไม่มีความรู้เหมือนกัน