หน้า 1 จากทั้งหมด 1

น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:37 pm
โดย Florian
รูปภาพ

พวกเราคงจำกันได้ถึงพระวรสารนักบุญยอห์นในตอนที่พระเยซูเจ้าทรงสนทนากับหญิงชาวสะมาเรียริมบ่อน้ำ นับว่าเป็นพระวรสารตอนที่คลาสสิคมากตอนหนึ่ง ใช่ไหมครับ

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:38 pm
โดย Florian
รูปภาพ

พระองค์จึงเสด็จไปถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรียใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟบุตรของตน  บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่นพระเยซูทรงดำเนินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยง  "มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูตรัสกับนางว่าขอน้ำให้เราดื่มบ้าง"..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:39 pm
โดย Florian
ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง  "หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่าไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย"  "พระเยซูตรัสตอบนางว่าถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทานและรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง'เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้นและท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า"..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:42 pm
โดย Florian
นางทูลพระองค์ว่าท่านเจ้าคะท่านไม่มีถังตักและบ่อนี้ก็ลึกท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน  ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือและยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรและฝูงสัตว์ของท่านด้วย..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:44 pm
โดย Florian
รูปภาพ

พระเยซูตรัสตอบว่าทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก  แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลยน้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:45 pm
โดย Florian
รูปภาพ

"นางทูลพระองค์ว่าท่านเจ้าคะขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิดเพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีกและจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่"  "พระเยซูตรัสกับนางว่าไปเรียกผัวของเจ้ามานี่เถิด"..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:46 pm
โดย Florian
รูปภาพ

"นางทูลพระองค์ว่าดิฉันไม่มีผัวค่ะ"พระเยซูตรัสกับนางว่า"เจ้าพูดถูกแล้วว่าผัวไม่มี  เพราะเจ้าได้มีผัวห้าคนแล้วและคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ผัวของเจ้าเรื่องนี้เจ้าพูดจริง..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:47 pm
โดย Florian
รูปภาพ

นางทูลพระองค์ว่าท่านเจ้าคะดิฉันเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ  "บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้นคือเยรูซาเล็ม..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:49 pm
โดย Florian
รูปภาพ

พระเยซูตรัสกับนางว่าหญิงเอ๋ยเชื่อเราเถิดคงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดาเฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม  ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จักซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จักเพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว  แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้วและบัดนี้ก็ถึงแล้วคือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริงเพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์  พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณและผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:51 pm
โดย Florian
รูปภาพ

"นางทูลพระองค์ว่าดิฉันทราบว่าพระมาซีฮา(ที่เรียกว่าพระคริสต์)จะเสด็จมาเมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา"  "พระเยซูตรัสกับนางว่าเราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น"  "ขณะนั้นสาวกของพระองค์ก็มาถึงเขาประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิงแต่ไม่มีใครถามว่าพระองค์ทรงประสงค์อะไร"หรือ"ทำไมพระองค์จึงทรงสนทนากับนาง"  หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า  มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม  คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:52 pm
โดย Florian
รูปภาพ

"ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่าพระอาจารย์เจ้าข้าเชิญรับประทานเถิด"  "แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่าเรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้"  "พวกสาวกจึงถามกันว่ามีใครเอาอาหารมาถวายพระองค์แล้วหรือ"  พระเยซูตรัสกับเขาว่าอาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:54 pm
โดย Florian
รูปภาพ

ท่านทั้งหลายว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือเราบอกท่านทั้งหลายว่าเงยหน้าขึ้นดูนาเถิดว่าทุ่งนาเหลืองอร่ามถึงเวลาเกี่ยวแล้ว  คนเกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้างและกำลังส่ำสมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน  เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริงคือ'คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว'  เราใช้ท่านทั้งหลายไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านมิได้ลงแรงทำคนอื่นได้ลงแรงทำและท่านได้รับประโยชน์จากแรงของเขา..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 3:56 pm
โดย Florian
รูปภาพ

"ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้นได้มีศรัทธาในพระองค์เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้นที่ว่าท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้ทำ"  ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์เขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่กับเขาและพระองค์ก็ประทับที่นั่นสองวัน  และคนอื่นเป็นจำนวนมากได้วางใจเพราะพระดำรัสของพระองค์  "เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่าตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้าแต่เพราะเราได้ยินเองและเรารู้ว่าท่านองค์นี้แหละเป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง"..

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 8:00 pm
โดย Holy
ผมชอบผู้หญิงคนนี้จุดนึงตรงนี้

หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกคนทั้งปวงว่า  มาเถิดมาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม  คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์..

เธอไม่เก็บความรอดไว้คนเดียวแต่ป่าวประกาศให้คนรอบข้างทราบด้วย เราทุกคนควรเป็นเช่นเธอ เป็นท่อพระพรให้คนรอบข้างด้วย

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 10:04 pm
โดย Nihil
เป็นอีกบทที่ชอบมากเช่นเดียวกันครับ และคิดว่าหญิงสาวคนนั้นน่าจะปลื้มปิติดีใจมาก ๆ ต่อสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับเธอ  :grin:

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 27, 2007 11:01 pm
โดย Dis volentibus
คลาสสิคจริงๆด้วยค่ะ ::011:: : emo038 :

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 30, 2007 12:48 pm
โดย Batholomew
ขอบคุณครับ : emo038 :

พระองค์ทรงเมตตาเหลือล้นครับ

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 09, 2007 6:15 pm
โดย Florian
หลายคนประทับใจหญิงสะมาเรียคนนี้ที่เป็นผู้นำคนอื่นให้มารู้จักพระเจ้า  ::017::

แต่สำหรับผมแล้ว ความคลาสสิคของพระวรสารตอนนี้อยู่ที่คำสอนของพระเยซูเจ้าที่สอน"วิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการสวดภาวนา"ครับ  : xemo026 :

เมื่ออาณาจักรอิสราเอลแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็คือพวกยิว อีกฝ่ายก็คือพวกสะมาเรีย พวกสะมาเรียกับยิวไม่คบค้ากัน ชาวยิวที่ต้องการเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ในกรณีที่ต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย ก็อาจเดินทางเลี่ยงๆอ้อมๆเอา เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรียก็อาจโดนพวกสะมาเรียกลั่นแกล้งรังแกได้  ::006::

ตามปกติ พวกแม่บ้านชาวสะมาเรียจะออกมาซักผ้งซักผ้า ตักน้ำตักท่า ก็ตอนสายๆ และออกมาเป็นหมู่คณะ มาเป็น"กลุ่มแม่บ้าน" และพวก"แม่บ้าน"เหล่านี้ บางทีก็อาจเป็น"แม่บ้า" เพราะไม่เพียงแค่ทำงานบ้านเท่านั้น ยังนินทาสามีและชาวบ้านร้านถิ่นไปด้วย  แต่แปลกที่เจ๊คนนี้มาตักน้ำที่บ่อคนเดียวเปลี่ยวเอกา แถมโผล่มาซะตอนเที่ยงเชียว แสดงว่าสมาคมแม่บ้านสะมาเรียคงไม่คบค้าด้วย  ::008::

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงพบเธอที่ริมบ่อน้ำ พระองค์ทรงกระหายและขอน้ำจากหญิงสะมาเรียคนนี้ดื่ม เจ๊ก็ทำลีลา บอกว่า "อุ๊ย ท่านเป็นยิว แต่ทำไมมาขอน้ำจากดิฉันซึ่งเป็นเป็นหญิงชาวสะมาเรียเล่าคะ" คำพูดนี้มีอยู่สองประเด็น (1)ยิวกับสะมาเรียไม่คบค้ากัน ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้ไง ; (2)ท่านเป็นผู้ชาย จู่ๆมาคุยกับดิฉันซึ่งเป็นหญิงได้ไงคะ(ทำนองเป็นกุลสตรี พึงสงวนตัวหน่อย)  พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ถ้าเธอรู้จักเรา เธอจะกลับเป็นผู้ขอน้ำดื่มจากเรา และน้ำที่เราจะให้นั้นเป็นน้ำทรงชีวิต ใครดื่มแล้วจะไม่กระหายอีก" หญิงนั้นตะลึงตึงตึง คือคิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะมีน้ำทรงชีวิต คงเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ก็เลยถามว่า"ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบเจ้าของบ่อน้ำนี้อีกหรือ ถ้างั้นให้ดิฉันดื่มน้ำทรงชีวิตสักหน่อยเถิด" พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าหญิงนี้มีสิ่งปิดบังบางอย่างอยู่  จึงตรัสกับนางว่า "เธอไปตามสามีเธอมาซิ" เอาล่ะสิ หญิงนั้นก็ไม่กล้าแง้มความจริงออกมาอย่างเปิดอก เลยตอบพระองค์ไปว่า "ท่านเจ้าขา ดิฉันไม่มีสามีค่ะ" พระองค์ทรงทราบความจริง จึงทรงเฉลยออกมาเลยว่า "ที่เธอว่าตัวเธอไม่มีสามีนั้นถูกแล้ว เพราะเธอมีมา 5 คนแล้ว และคนปัจจุบันก็ไม่ใช่สามีเธอ" เจ๊สะมาเรียเป็นอันถึงบางอึ้ง ต๊ายยยยยยยยย พระองค์รู้ได้อย่างไร จึงสารภาพยอมรับว่า"พระองค์ทรงเป็นประกาศกจริงแท้" เมื่อโดนจับได้ เจ๊ก็เลยเฉไฉไปว่า "แต่ทว่า...เอ๊...บรรพบุรุษของเรานมัสการพระเจ้าบนภูเขา ส่วนพวกท่านนมัสการในพระวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็ม" พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนว่าวิธีการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องก็คือ "การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง" ต่างหาก  ::018::

เจ๊ชาวสะมาเรียคนนี้เป็นตัวอย่างของการนมัสการพระเจ้าที่ไม่ถูกต้อง  ไม่ถูกต้องอย่างไร  เพราะเธอไม่ได้มาพบพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เธอได้ปิดบังความจริงในชีวิตของเธอ นับตั้งแต่พระเยซูเจ้าทรงทักทายเธอแล้ว เธอก็ทำทีสงวนท่าทีเป็นเบญจกัลยาณี ทั้งๆที่เธออยู่กินกับชายอื่นมาร่วม 6 คนแล้ว และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงรู้ทันเธอ จึงทรงให้เธอไปตามสามีมา เจ๊แกกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่เธอก็ยังทำไก๋ โดยบอกว่า "ไม่มี้ ดิฉันไม่มีสามีเจ้าค่ะ" และพระองค์ก็ทรงเฉลยให้เธอรู้ว่า พระองค์ทรงล่วงรู้ความจริงมานานแล้วว่าเธอเคยอยู่กินกับชายอื่นมา 5 คนแล้ว คนปัจจุบันนี้เป็นคนที่ 6    นี่ไง หญิงคนนี้ไม่ได้มาพบพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เพราะถ้าเจ๊แกพบพระด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เจ๊ก็จะไม่ไขสือ และท่าทีของเธอก็จะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง เธอจะไม่ปกปิด ไม่ปิดบัง แต่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง นำตัวตนที่แท้จริงมาพบพระ  ::006::

สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นท่าทีของเราเวลาภาวนา เวลาภาวนา เราได้นำตัวเราที่แท้จริงมาพบพระหรือไม่ หลายๆครั้งเราใช้คำพูดสวยหรูในการภาวนา แต่นั่นออกมาจากจิตวิญญาณของเราแท้ๆหรือไม่ หรือแต่งให้ดูสวยหรูเท่านั้น สิ่งที่เรานำมาภาวนาเป็นความจริงในชีวิตของเราหรือเปล่า หรือเป็นคำพูดที่เราเสกสรรค์ปั้นแต่งให้ฟังดูดี (แต่พระเจ้าก็ทรงล่วงรู้ความจริงอยู่ดีนั่นแหละ) เวลาเราไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราได้นำตัวเราที่แท้จริงไปพบพระหรือไม่ หรือเป็นตัวเราปลอมๆ เราไปด้วยใจหรือไม่ หรือไปเพราะเป็นหน้าที่ หรือว่าตัวอยูในวัด แต่ใจลอยไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้  เวลาเรานมัสการพระเจ้า ภาวนาต่อพระองค์ เราพึงเอาตัวเราที่แท้จริงมาพบพระ เราควรนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ และสรรเสริญพระองค์ด้วยความสัตย์จริง  ::016::

ผมว่าพระวรสารตอนนี้สำหรับผมจึงเตือนใจให้เรารำลึกถึงวีธีการและท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสมในการนมัสการพระเจ้า โดยเราจำเป็นต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริงนั่นเองครับ  ::004::

ถ้าสิ่งที่ผมแบ่งปันไปข้างต้นไม่ถูกต้องหรือเหมาะสมอย่างไร หรือผิดพลาดบกพร่องประการใด ขอได้โปรดชี้แนะด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ  ::017::  ::014::  ::001::

Re: น้ำทรงชีวิต

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 15, 2007 1:05 pm
โดย iBONT
Florian เขียน: หลายคนประทับใจหญิงสะมาเรียคนนี้ที่เป็นผู้นำคนอื่นให้มารู้จักพระเจ้า  ::017::

แต่สำหรับผมแล้ว ความคลาสสิคของพระวรสารตอนนี้อยู่ที่คำสอนของพระเยซูเจ้าที่สอน"วิธีที่ถูกต้องเหมาะสมในการสวดภาวนา"ครับ  : xemo026 :

เมื่ออาณาจักรอิสราเอลแตกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งก็คือพวกยิว อีกฝ่ายก็คือพวกสะมาเรีย พวกสะมาเรียกับยิวไม่คบค้ากัน ชาวยิวที่ต้องการเดินทางไปนมัสการพระเจ้าที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ในกรณีที่ต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย ก็อาจเดินทางเลี่ยงๆอ้อมๆเอา เพราะไม่เช่นนั้น ถ้าเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรียก็อาจโดนพวกสะมาเรียกลั่นแกล้งรังแกได้  ::006::

ตามปกติ พวกแม่บ้านชาวสะมาเรียจะออกมาซักผ้งซักผ้า ตักน้ำตักท่า ก็ตอนสายๆ และออกมาเป็นหมู่คณะ มาเป็น"กลุ่มแม่บ้าน" และพวก"แม่บ้าน"เหล่านี้ บางทีก็อาจเป็น"แม่บ้า" เพราะไม่เพียงแค่ทำงานบ้านเท่านั้น ยังนินทาสามีและชาวบ้านร้านถิ่นไปด้วย  แต่แปลกที่เจ๊คนนี้มาตักน้ำที่บ่อคนเดียวเปลี่ยวเอกา แถมโผล่มาซะตอนเที่ยงเชียว แสดงว่าสมาคมแม่บ้านสะมาเรียคงไม่คบค้าด้วย  ::008::

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงพบเธอที่ริมบ่อน้ำ พระองค์ทรงกระหายและขอน้ำจากหญิงสะมาเรียคนนี้ดื่ม เจ๊ก็ทำลีลา บอกว่า "อุ๊ย ท่านเป็นยิว แต่ทำไมมาขอน้ำจากดิฉันซึ่งเป็นเป็นหญิงชาวสะมาเรียเล่าคะ" คำพูดนี้มีอยู่สองประเด็น (1)ยิวกับสะมาเรียไม่คบค้ากัน ท่านมาขอน้ำจากดิฉันได้ไง ; (2)ท่านเป็นผู้ชาย จู่ๆมาคุยกับดิฉันซึ่งเป็นหญิงได้ไงคะ(ทำนองเป็นกุลสตรี พึงสงวนตัวหน่อย)  พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ถ้าเธอรู้จักเรา เธอจะกลับเป็นผู้ขอน้ำดื่มจากเรา และน้ำที่เราจะให้นั้นเป็นน้ำทรงชีวิต ใครดื่มแล้วจะไม่กระหายอีก" หญิงนั้นตะลึงตึงตึง คือคิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะมีน้ำทรงชีวิต คงเป็นผู้ยิ่งใหญ่เป็นแน่ ก็เลยถามว่า"ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบเจ้าของบ่อน้ำนี้อีกหรือ ถ้างั้นให้ดิฉันดื่มน้ำทรงชีวิตสักหน่อยเถิด" พระเยซูเจ้าทรงทราบว่าหญิงนี้มีสิ่งปิดบังบางอย่างอยู่  จึงตรัสกับนางว่า "เธอไปตามสามีเธอมาซิ" เอาล่ะสิ หญิงนั้นก็ไม่กล้าแง้มความจริงออกมาอย่างเปิดอก เลยตอบพระองค์ไปว่า "ท่านเจ้าขา ดิฉันไม่มีสามีค่ะ" พระองค์ทรงทราบความจริง จึงทรงเฉลยออกมาเลยว่า "ที่เธอว่าตัวเธอไม่มีสามีนั้นถูกแล้ว เพราะเธอมีมา 5 คนแล้ว และคนปัจจุบันก็ไม่ใช่สามีเธอ" เจ๊สะมาเรียเป็นอันถึงบางอึ้ง ต๊ายยยยยยยยย พระองค์รู้ได้อย่างไร จึงสารภาพยอมรับว่า"พระองค์ทรงเป็นประกาศกจริงแท้" เมื่อโดนจับได้ เจ๊ก็เลยเฉไฉไปว่า "แต่ทว่า...เอ๊...บรรพบุรุษของเรานมัสการพระเจ้าบนภูเขา ส่วนพวกท่านนมัสการในพระวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็ม" พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนว่าวิธีการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องก็คือ "การนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง" ต่างหาก  ::018::

เจ๊ชาวสะมาเรียคนนี้เป็นตัวอย่างของการนมัสการพระเจ้าที่ไม่ถูกต้อง  ไม่ถูกต้องอย่างไร  เพราะเธอไม่ได้มาพบพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เธอได้ปิดบังความจริงในชีวิตของเธอ นับตั้งแต่พระเยซูเจ้าทรงทักทายเธอแล้ว เธอก็ทำทีสงวนท่าทีเป็นเบญจกัลยาณี ทั้งๆที่เธออยู่กินกับชายอื่นมาร่วม 6 คนแล้ว และเมื่อพระเยซูเจ้าทรงรู้ทันเธอ จึงทรงให้เธอไปตามสามีมา เจ๊แกกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง แต่เธอก็ยังทำไก๋ โดยบอกว่า "ไม่มี้ ดิฉันไม่มีสามีเจ้าค่ะ" และพระองค์ก็ทรงเฉลยให้เธอรู้ว่า พระองค์ทรงล่วงรู้ความจริงมานานแล้วว่าเธอเคยอยู่กินกับชายอื่นมา 5 คนแล้ว คนปัจจุบันนี้เป็นคนที่ 6    นี่ไง หญิงคนนี้ไม่ได้มาพบพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เพราะถ้าเจ๊แกพบพระด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริง เจ๊ก็จะไม่ไขสือ และท่าทีของเธอก็จะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่ง เธอจะไม่ปกปิด ไม่ปิดบัง แต่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง นำตัวตนที่แท้จริงมาพบพระ  ::006::

สิ่งนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นท่าทีของเราเวลาภาวนา เวลาภาวนา เราได้นำตัวเราที่แท้จริงมาพบพระหรือไม่ หลายๆครั้งเราใช้คำพูดสวยหรูในการภาวนา แต่นั่นออกมาจากจิตวิญญาณของเราแท้ๆหรือไม่ หรือแต่งให้ดูสวยหรูเท่านั้น สิ่งที่เรานำมาภาวนาเป็นความจริงในชีวิตของเราหรือเปล่า หรือเป็นคำพูดที่เราเสกสรรค์ปั้นแต่งให้ฟังดูดี (แต่พระเจ้าก็ทรงล่วงรู้ความจริงอยู่ดีนั่นแหละ) เวลาเราไปร่วมพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราได้นำตัวเราที่แท้จริงไปพบพระหรือไม่ หรือเป็นตัวเราปลอมๆ เราไปด้วยใจหรือไม่ หรือไปเพราะเป็นหน้าที่ หรือว่าตัวอยูในวัด แต่ใจลอยไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้  เวลาเรานมัสการพระเจ้า ภาวนาต่อพระองค์ เราพึงเอาตัวเราที่แท้จริงมาพบพระ เราควรนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ และสรรเสริญพระองค์ด้วยความสัตย์จริง  ::016::

ผมว่าพระวรสารตอนนี้สำหรับผมจึงเตือนใจให้เรารำลึกถึงวีธีการและท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสมในการนมัสการพระเจ้า โดยเราจำเป็นต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความสัตย์จริงนั่นเองครับ  ::004::

ถ้าสิ่งที่ผมแบ่งปันไปข้างต้นไม่ถูกต้องหรือเหมาะสมอย่างไร หรือผิดพลาดบกพร่องประการใด ขอได้โปรดชี้แนะด้วยนะครับ ขอบพระคุณครับ  ::017::  ::014::  ::001::

โหยยยยยยยยยยย
จินตเนชั่นสูงมั่กๆๆๆ ยอมรับๆ