ไม่มีใคร...พูดกับเราเลย...
ที่จริงบทความนี้ผมมั่นใจว่าต้องมีพี่น้องหลายคนเคยอ่านแล้ว ผมอยากให้อ่านอีกรอบครับ ตะปูจะตรึงแน่นถ้าเราตอกบ่อยๆ
http://www.saranae.com/no_one_talk.html
ลูกที่รัก ลูกมาวัด เพื่อฟังมิสซา จบแล้วก็กลับออกไป โดยไม่ได้พูดคุยกับเราเลย…เราอยากคุยกับลูก แต่ลูกก็ไม่พูดกับเรา เราออกจากตู้ศีลลงไปหาลูกที่ม้านั่งในวัด แต่ลูกก็คิดว่า เราอยู่แต่ในตู้ศีลเท่านั้น
ที่จริง เราออกไปต้อนรับลูก ตั้งแต่ลูกเดินอยู่หน้าวัด แล้วเดินเคียงข้างลูกเข้ามาในวัด นั่งเบียดกับลูกอยู่ติดกับหัวใจของลูกเลยล่ะ
ก่อนเริ่มมิสซา เราเห็นลูกท่องบทสวดลูกประคำแข่งกันใหญ่ พยายามให้จบเร็วๆ ไม่เห็นลูกพูดกับเราเลย ลูกไม่รู้ตัวว่าลูกสวดคำอะไรออกไปบ้าง กำลังพูดอยู่กับใคร เขาอยู่ตรงไหน อยู่ห่างจากลูกกี่ก้าว เขาแต่งตัวอย่างไร รูปร่างเขาเป็นอย่างไร กำลังฟังลูกอยู่หรือเปล่า ลูกไม่รู้คำสวดของลูกด้วยซ้ำไป ก้มหน้าก้มตาร่ายเวทมนต์…เดี๋ยวก็อาแมน…เดี๋ยวก็อาแมน…วนเวียนท่องบทสวดอวดกันใหญ่ เราเวทนาลูก สงสารลูกจริงๆ
พอถึงพิธีมิสซา ลูกก็ผุดลุกยืน ลุกนั่งตามที่คนในวัดเขาทำกัน พระสงฆ์พูด ลูกก็พูดโต้ตอบ ไปตามตัวบท กฎข้อบังคับทำไปตามธรรมเนียมประเพณีของศาสนา ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เราได้เสด็จมาบนแท่นบูชา เราตาย…และกลับคืนชีพ…ต่อหน้าลูกขณะนั้นจริงๆ และเราได้ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทก็เพื่อลูกเท่านั้น
เมื่อจบมิสซา เราเห็นหลายคนดีใจ รีบออกจากวัด เหมือนคนพ้นโทษ ทิ้งเราไว้ในวัดอย่างเคย ยังดีที่หันมาร่ำลาเราบ้างที่ตู้ศีล…ที่จริง…เราอกมายืนรออยู่นอกตู้ศีลแล้ว เราแต่งตัวเสียใหม่ ใส่ชุดออกนอกบ้าน เพราะรู้ว่า ประเดี๋ยวจะต้องมีคนมาชวนเราออกจากวัดไปกับเขา…เขาจะพาเราไปเยี่ยมบ้าน…เยี่ยมญาติของเขา ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน…เขาอยากให้เห็นความทุกข์ ความยากจนของเขา…
แน่นอนเขาต้องการให้เราช่วย
ดังนั้น เขาจะต้องพาเราไปกับเขาแน่ๆ…เราจึงไปยืนคอยอยู่กลางวัด…คนแล้ว…คนเล่า ต่างคนต่างเดินออกจากวัดไป…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…จริงๆหรือนี่…ไม่แน่นะ…คนมาวัดตั้งแยะ คงต้องมีสัก 10 คน ที่คิดถึงเราบ้าง
โอ…ตอนนี้ เหลือคนในวัดอีก 5 คน เท่านั้น เรา…ชักหน้าถอดสี…ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่แต่งตัวมารอเก้อนะ แต่แล้วอีก 4 คน ก็เดินคุยกันพ้นประตูวัดไป…เรารีบก้าวไปหาคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาเดินจ้ำไปเกือบถึงประตูออกแล้ว เขาเอาหนังสือสวดไปเก็บ แล้วก็ไปคุกเข่าสวดที่รูปปั้นพระแม่ของเรา เราแอบอวยพรเขาอยู่ข้างหลัง เขาลุกขึ้นกลับหลังโค้งไหว้งามๆมายังตู้ศีลอีกครั้งหนึ่ง เราถลาไปยืนรับไหว้เบื้องหน้าเขาทันที ด้วยรหัสธรรมล้ำลึก ที่เราแฝงพระวรกายกำบังมิให้ใครเห็น เหมือนกับที่ซ่อนเร้นพระกายของเราในศีลมหาสนิทนั่นแหละ เขาจึงมองไม่เห็นเรา
เขาจุ่มน้ำเสก..แล้วก็…เดินออกจากวัดไป…คนสุดท้าย…เราน้ำตาคลอ…แต่งตัวมาคอยเก้อ…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…เรารู้สึกอับอาย ต่อหน้าเทวดาทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตู้ศีล มีนักบุญหลายองค์และพระแม่ของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย
บรรยากาศรอบตู้ศีลเงียบเหงาเหมือนเคย เราเดินก้มหน้า กลับเข้าไปขังตัวเองในตู้ศีลอย่างเดิม…
พลันได้ยินเสียงของพระแม่ของเราปลอบใจว่า…ทนรอ…อีกหน่อยลูกแม่…
อาทิตย์หน้าแม่จะพา… "คนที่ไม่ใจดำ" …มาหาลูก…
http://www.saranae.com/no_one_talk.html
ลูกที่รัก ลูกมาวัด เพื่อฟังมิสซา จบแล้วก็กลับออกไป โดยไม่ได้พูดคุยกับเราเลย…เราอยากคุยกับลูก แต่ลูกก็ไม่พูดกับเรา เราออกจากตู้ศีลลงไปหาลูกที่ม้านั่งในวัด แต่ลูกก็คิดว่า เราอยู่แต่ในตู้ศีลเท่านั้น
ที่จริง เราออกไปต้อนรับลูก ตั้งแต่ลูกเดินอยู่หน้าวัด แล้วเดินเคียงข้างลูกเข้ามาในวัด นั่งเบียดกับลูกอยู่ติดกับหัวใจของลูกเลยล่ะ
ก่อนเริ่มมิสซา เราเห็นลูกท่องบทสวดลูกประคำแข่งกันใหญ่ พยายามให้จบเร็วๆ ไม่เห็นลูกพูดกับเราเลย ลูกไม่รู้ตัวว่าลูกสวดคำอะไรออกไปบ้าง กำลังพูดอยู่กับใคร เขาอยู่ตรงไหน อยู่ห่างจากลูกกี่ก้าว เขาแต่งตัวอย่างไร รูปร่างเขาเป็นอย่างไร กำลังฟังลูกอยู่หรือเปล่า ลูกไม่รู้คำสวดของลูกด้วยซ้ำไป ก้มหน้าก้มตาร่ายเวทมนต์…เดี๋ยวก็อาแมน…เดี๋ยวก็อาแมน…วนเวียนท่องบทสวดอวดกันใหญ่ เราเวทนาลูก สงสารลูกจริงๆ
พอถึงพิธีมิสซา ลูกก็ผุดลุกยืน ลุกนั่งตามที่คนในวัดเขาทำกัน พระสงฆ์พูด ลูกก็พูดโต้ตอบ ไปตามตัวบท กฎข้อบังคับทำไปตามธรรมเนียมประเพณีของศาสนา ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เราได้เสด็จมาบนแท่นบูชา เราตาย…และกลับคืนชีพ…ต่อหน้าลูกขณะนั้นจริงๆ และเราได้ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทก็เพื่อลูกเท่านั้น
เมื่อจบมิสซา เราเห็นหลายคนดีใจ รีบออกจากวัด เหมือนคนพ้นโทษ ทิ้งเราไว้ในวัดอย่างเคย ยังดีที่หันมาร่ำลาเราบ้างที่ตู้ศีล…ที่จริง…เราอกมายืนรออยู่นอกตู้ศีลแล้ว เราแต่งตัวเสียใหม่ ใส่ชุดออกนอกบ้าน เพราะรู้ว่า ประเดี๋ยวจะต้องมีคนมาชวนเราออกจากวัดไปกับเขา…เขาจะพาเราไปเยี่ยมบ้าน…เยี่ยมญาติของเขา ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน…เขาอยากให้เห็นความทุกข์ ความยากจนของเขา…
แน่นอนเขาต้องการให้เราช่วย
ดังนั้น เขาจะต้องพาเราไปกับเขาแน่ๆ…เราจึงไปยืนคอยอยู่กลางวัด…คนแล้ว…คนเล่า ต่างคนต่างเดินออกจากวัดไป…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…จริงๆหรือนี่…ไม่แน่นะ…คนมาวัดตั้งแยะ คงต้องมีสัก 10 คน ที่คิดถึงเราบ้าง
โอ…ตอนนี้ เหลือคนในวัดอีก 5 คน เท่านั้น เรา…ชักหน้าถอดสี…ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่แต่งตัวมารอเก้อนะ แต่แล้วอีก 4 คน ก็เดินคุยกันพ้นประตูวัดไป…เรารีบก้าวไปหาคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาเดินจ้ำไปเกือบถึงประตูออกแล้ว เขาเอาหนังสือสวดไปเก็บ แล้วก็ไปคุกเข่าสวดที่รูปปั้นพระแม่ของเรา เราแอบอวยพรเขาอยู่ข้างหลัง เขาลุกขึ้นกลับหลังโค้งไหว้งามๆมายังตู้ศีลอีกครั้งหนึ่ง เราถลาไปยืนรับไหว้เบื้องหน้าเขาทันที ด้วยรหัสธรรมล้ำลึก ที่เราแฝงพระวรกายกำบังมิให้ใครเห็น เหมือนกับที่ซ่อนเร้นพระกายของเราในศีลมหาสนิทนั่นแหละ เขาจึงมองไม่เห็นเรา
เขาจุ่มน้ำเสก..แล้วก็…เดินออกจากวัดไป…คนสุดท้าย…เราน้ำตาคลอ…แต่งตัวมาคอยเก้อ…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…เรารู้สึกอับอาย ต่อหน้าเทวดาทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตู้ศีล มีนักบุญหลายองค์และพระแม่ของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย
บรรยากาศรอบตู้ศีลเงียบเหงาเหมือนเคย เราเดินก้มหน้า กลับเข้าไปขังตัวเองในตู้ศีลอย่างเดิม…
พลันได้ยินเสียงของพระแม่ของเราปลอบใจว่า…ทนรอ…อีกหน่อยลูกแม่…
อาทิตย์หน้าแม่จะพา… "คนที่ไม่ใจดำ" …มาหาลูก…
-
- .
- โพสต์: 944
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 18, 2005 11:16 pm
ขอบคุณค่ะ
อ่านทีไรก็ซึ้งได้อีก
อ่านทีไรก็ซึ้งได้อีก
เพิ่งอ่านครั้งแรก T_T ซึ้งจริงๆด้วย
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ซึ้งเลย ถึงจะเคยอ่านแล้ว เมื่อเห็นอีกก็เตือนใจอีก
นึกถึงตัวเองเป็นแบบนี้บ่อย ไปถึงโบสถ์ตอกบัตรเสร็จหยิบนั่นจับนี่ทำตามหน้าที่ คนอื่นมองเราโฮลี่แต่จริงๆแล้วบางครั้งเรารู้ตัวเองเลยว่าเราไม่ใช่ บางครั้งเรานำคนอื่นนมัสการพระเจ้า แต่ตัวเราเองกลับเหมือนเป็นเพียงการร้องเพลงธรรมดาเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้นมัสการพระเจ้า แถมในใจคิดไปเรื่อยว่าเลิกแล้วมีโปรแกรมจะไปไหนต่อ ต้องกลับใจใหม่ละ
นึกถึงตัวเองเป็นแบบนี้บ่อย ไปถึงโบสถ์ตอกบัตรเสร็จหยิบนั่นจับนี่ทำตามหน้าที่ คนอื่นมองเราโฮลี่แต่จริงๆแล้วบางครั้งเรารู้ตัวเองเลยว่าเราไม่ใช่ บางครั้งเรานำคนอื่นนมัสการพระเจ้า แต่ตัวเราเองกลับเหมือนเป็นเพียงการร้องเพลงธรรมดาเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้นมัสการพระเจ้า แถมในใจคิดไปเรื่อยว่าเลิกแล้วมีโปรแกรมจะไปไหนต่อ ต้องกลับใจใหม่ละ
-
- โพสต์: 663
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:41 pm
- ที่อยู่: Sriracha Chonburi
- ติดต่อ:
งั้นคราวนี้ ตอนจะไปเล่นดนตรีที่โบสถ์ จะบอก พระเยซูว่า
พระองค์เปิดหนังสือเพลงหน้า ... บทเพลง ....
พระองค์ เดียว ผมร้อง พระองค์ร้องเสียงประสานนะ
ถ้าพระองค์อยากร้องข้อไหนบอก ผมจะเล่นบรรเลงไป
ตอนเลิกมิสซาก็จะบอกว่า "พระองค์ครับ ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วครับ
ยอมรับนะ ว่า อยากกลับบ้าน อยากไปหาเพื่อน เพราะอยู่ที่นี่ไม่รู้ทำอะไร
ใจลูกก็อยากมีพระองค์ แต่ลูก ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย
เอางี้ละกันพระองค์...พระองค์เปิดประตูรถผมนะ แล้วเรา ไปด้วยกัน
ไปหาเพื่อนผม พร้อมกัน...นะครับ.."
พระองค์เปิดหนังสือเพลงหน้า ... บทเพลง ....
พระองค์ เดียว ผมร้อง พระองค์ร้องเสียงประสานนะ
ถ้าพระองค์อยากร้องข้อไหนบอก ผมจะเล่นบรรเลงไป
ตอนเลิกมิสซาก็จะบอกว่า "พระองค์ครับ ตอนนี้ต้องกลับบ้านแล้วครับ
ยอมรับนะ ว่า อยากกลับบ้าน อยากไปหาเพื่อน เพราะอยู่ที่นี่ไม่รู้ทำอะไร
ใจลูกก็อยากมีพระองค์ แต่ลูก ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ไม่มีเพื่อนเลย
เอางี้ละกันพระองค์...พระองค์เปิดประตูรถผมนะ แล้วเรา ไปด้วยกัน
ไปหาเพื่อนผม พร้อมกัน...นะครับ.."
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่เอามาฝากกันนะค่ะ คุณน้องแม๊ก
อานแล้วซึ้งมากๆจิงๆเลย หลายต่อหลายคนคิดว่าการมามิสซาเป็นหน้าที่ของคริสตชนคาทอลิค
จนลืมคิดถึงความสำคัญ ความเอาใจใส่ ความเคารพต่อศีลมหาสนิท ในพิธีมิสซา
ได้ข้อคิดดีๆอะไรหลายอย่างเลยค่ะ....ขอบคุณนะจ๊ะ
อานแล้วซึ้งมากๆจิงๆเลย หลายต่อหลายคนคิดว่าการมามิสซาเป็นหน้าที่ของคริสตชนคาทอลิค
จนลืมคิดถึงความสำคัญ ความเอาใจใส่ ความเคารพต่อศีลมหาสนิท ในพิธีมิสซา
ได้ข้อคิดดีๆอะไรหลายอย่างเลยค่ะ....ขอบคุณนะจ๊ะ
ดังนั้น ในมิสซา โปรดโฟกัสที่พระสงฆ์ ใจจดจ่อกับพิธีกรรม (ไม่ใช่คนเล่นออร์เเกน)KathaRoS เขียน: ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่เอามาฝากกันนะค่ะ คุณน้องแม๊ก
อานแล้วซึ้งมากๆจิงๆเลย หลายต่อหลายคนคิดว่าการมามิสซาเป็นหน้าที่ของคริสตชนคาทอลิค
จนลืมคิดถึงความสำคัญ ความเอาใจใส่ ความเคารพต่อศีลมหาสนิท ในพิธีมิสซา
ได้ข้อคิดดีๆอะไรหลายอย่างเลยค่ะ....ขอบคุณนะจ๊ะ
อุอุ คำพูดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนเป็นรหัสธรรมแม้จะไม่ล้ำลึกนักแต่ก็เล็งถึงอะไรบางอย่างEcclesia เขียน:ดังนั้น ในมิสซา โปรดโฟกัสที่พระสงฆ์ ใจจดจ่อกับพิธีกรรม (ไม่ใช่คนเล่นออร์เเกน)KathaRoS เขียน: ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่เอามาฝากกันนะค่ะ คุณน้องแม๊ก
อานแล้วซึ้งมากๆจิงๆเลย หลายต่อหลายคนคิดว่าการมามิสซาเป็นหน้าที่ของคริสตชนคาทอลิค
จนลืมคิดถึงความสำคัญ ความเอาใจใส่ ความเคารพต่อศีลมหาสนิท ในพิธีมิสซา
ได้ข้อคิดดีๆอะไรหลายอย่างเลยค่ะ....ขอบคุณนะจ๊ะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
อะไรอีกอ่ะ พี่อันตน เดี๋ยวปั๊ด ส่งชื่อเข้าร่วมเล่นเกม "อัจฉริยะข้ามคืน" ซะเลยอันตน เขียน:อุอุ คำพูดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนเป็นรหัสธรรมแม้จะไม่ล้ำลึกนักแต่ก็เล็งถึงอะไรบางอย่างEcclesia เขียน:ดังนั้น ในมิสซา โปรดโฟกัสที่พระสงฆ์ ใจจดจ่อกับพิธีกรรม (ไม่ใช่คนเล่นออร์เเกน)KathaRoS เขียน: ขอบคุณสำหรับบทความดีๆที่เอามาฝากกันนะค่ะ คุณน้องแม๊ก
อานแล้วซึ้งมากๆจิงๆเลย หลายต่อหลายคนคิดว่าการมามิสซาเป็นหน้าที่ของคริสตชนคาทอลิค
จนลืมคิดถึงความสำคัญ ความเอาใจใส่ ความเคารพต่อศีลมหาสนิท ในพิธีมิสซา
ได้ข้อคิดดีๆอะไรหลายอย่างเลยค่ะ....ขอบคุณนะจ๊ะ
ชอบถอดรหัสลับดีนัก
เอาน่าพี่มิว ดีกว่าเเดน บราวน์ ถอดรหัสลับดาวินชี่ก็เเล้วกันBatholomew เขียน:อะไรอีกอ่ะ พี่อันตน เดี๋ยวปั๊ด ส่งชื่อเข้าร่วมเล่นเกม "อัจฉริยะข้ามคืน" ซะเลยอันตน เขียน:อุอุ คำพูดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนเป็นรหัสธรรมแม้จะไม่ล้ำลึกนักแต่ก็เล็งถึงอะไรบางอย่างEcclesia เขียน: ดังนั้น ในมิสซา โปรดโฟกัสที่พระสงฆ์ ใจจดจ่อกับพิธีกรรม (ไม่ใช่คนเล่นออร์เเกน)
ชอบถอดรหัสลับดีนัก
มิวเอ๋ยยยย ข้าพเจ้าขอบอกไว้เลยว่า ไอ้ "อัดฉะริย๊ะ" ข้ามคืนอะ สำสหรับพี่มันคือ อัจริยะข้ามชาติ (ขอโทษคำนี้มันเฮเรติ๊กไปหน่อย)เชียวแหละ อย่าส่งไปเด็ดขาด ตรูอายBatholomew เขียน:อะไรอีกอ่ะ พี่อันตน เดี๋ยวปั๊ด ส่งชื่อเข้าร่วมเล่นเกม "อัจฉริยะข้ามคืน" ซะเลยอันตน เขียน:อุอุ คำพูดนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนเป็นรหัสธรรมแม้จะไม่ล้ำลึกนักแต่ก็เล็งถึงอะไรบางอย่างEcclesia เขียน: ดังนั้น ในมิสซา โปรดโฟกัสที่พระสงฆ์ ใจจดจ่อกับพิธีกรรม (ไม่ใช่คนเล่นออร์เเกน)
ชอบถอดรหัสลับดีนัก
เอามาแปะให้ใหม่ สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่านนะครับ
ลูกที่รัก ลูกมาวัด เพื่อฟังมิสซา จบแล้วก็กลับออกไป โดยไม่ได้พูดคุยกับเราเลย…เราอยากคุยกับลูก แต่ลูกก็ไม่พูดกับเรา เราออกจากตู้ศีลลงไปหาลูกที่ม้านั่งในวัด แต่ลูกก็คิดว่า เราอยู่แต่ในตู้ศีลเท่านั้น
ที่จริง เราออกไปต้อนรับลูก ตั้งแต่ลูกเดินอยู่หน้าวัด แล้วเดินเคียงข้างลูกเข้ามาในวัด นั่งเบียดกับลูกอยู่ติดกับหัวใจของลูกเลยล่ะ
ก่อนเริ่มมิสซา เราเห็นลูกท่องบทสวดลูกประคำแข่งกันใหญ่ พยายามให้จบเร็วๆ ไม่เห็นลูกพูดกับเราเลย ลูกไม่รู้ตัวว่าลูกสวดคำอะไรออกไปบ้าง กำลังพูดอยู่กับใคร เขาอยู่ตรงไหน อยู่ห่างจากลูกกี่ก้าว เขาแต่งตัวอย่างไร รูปร่างเขาเป็นอย่างไร กำลังฟังลูกอยู่หรือเปล่า ลูกไม่รู้คำสวดของลูกด้วยซ้ำไป ก้มหน้าก้มตาร่ายเวทมนต์…เดี๋ยวก็อาแมน…เดี๋ยวก็อาแมน…วนเวียนท่องบทสวดอวดกันใหญ่ เราเวทนาลูก สงสารลูกจริงๆ
พอถึงพิธีมิสซา ลูกก็ผุดลุกยืน ลุกนั่งตามที่คนในวัดเขาทำกัน พระสงฆ์พูด ลูกก็พูดโต้ตอบ ไปตามตัวบท กฎข้อบังคับทำไปตามธรรมเนียมประเพณีของศาสนา ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เราได้เสด็จมาบนแท่นบูชา เราตาย…และกลับคืนชีพ…ต่อหน้าลูกขณะนั้นจริงๆ และเราได้ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทก็เพื่อลูกเท่านั้น
เมื่อจบมิสซา เราเห็นหลายคนดีใจ รีบออกจากวัด เหมือนคนพ้นโทษ ทิ้งเราไว้ในวัดอย่างเคย ยังดีที่หันมาร่ำลาเราบ้างที่ตู้ศีล…ที่จริง…เราอกมายืนรออยู่นอกตู้ศีลแล้ว เราแต่งตัวเสียใหม่ ใส่ชุดออกนอกบ้าน เพราะรู้ว่า ประเดี๋ยวจะต้องมีคนมาชวนเราออกจากวัดไปกับเขา…เขาจะพาเราไปเยี่ยมบ้าน…เยี่ยมญาติของเขา ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน…เขาอยากให้เห็นความทุกข์ ความยากจนของเขา…
แน่นอนเขาต้องการให้เราช่วย
ดังนั้น เขาจะต้องพาเราไปกับเขาแน่ๆ…เราจึงไปยืนคอยอยู่กลางวัด…คนแล้ว…คนเล่า ต่างคนต่างเดินออกจากวัดไป…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…จริงๆหรือนี่…ไม่แน่นะ…คนมาวัดตั้งแยะ คงต้องมีสัก 10 คน ที่คิดถึงเราบ้าง
โอ…ตอนนี้ เหลือคนในวัดอีก 5 คน เท่านั้น เรา…ชักหน้าถอดสี…ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่แต่งตัวมารอเก้อนะ แต่แล้วอีก 4 คน ก็เดินคุยกันพ้นประตูวัดไป…เรารีบก้าวไปหาคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาเดินจ้ำไปเกือบถึงประตูออกแล้ว เขาเอาหนังสือสวดไปเก็บ แล้วก็ไปคุกเข่าสวดที่รูปปั้นพระแม่ของเรา เราแอบอวยพรเขาอยู่ข้างหลัง เขาลุกขึ้นกลับหลังโค้งไหว้งามๆมายังตู้ศีลอีกครั้งหนึ่ง เราถลาไปยืนรับไหว้เบื้องหน้าเขาทันที ด้วยรหัสธรรมล้ำลึก ที่เราแฝงพระวรกายกำบังมิให้ใครเห็น เหมือนกับที่ซ่อนเร้นพระกายของเราในศีลมหาสนิทนั่นแหละ เขาจึงมองไม่เห็นเรา
เขาจุ่มน้ำเสก..แล้วก็…เดินออกจากวัดไป…คนสุดท้าย…เราน้ำตาคลอ…แต่งตัวมาคอยเก้อ…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…เรารู้สึกอับอาย ต่อหน้าเทวดาทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตู้ศีล มีนักบุญหลายองค์และพระแม่ของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย
บรรยากาศรอบตู้ศีลเงียบเหงาเหมือนเคย เราเดินก้มหน้า กลับเข้าไปขังตัวเองในตู้ศีลอย่างเดิม…
พลันได้ยินเสียงของพระแม่ของเราปลอบใจว่า…ทนรอ…อีกหน่อยลูกแม่…
อาทิตย์หน้าแม่จะพา… "คนที่ไม่ใจดำ" …มาหาลูก…
viewtopic.php?f=2&t=15092
ลูกที่รัก ลูกมาวัด เพื่อฟังมิสซา จบแล้วก็กลับออกไป โดยไม่ได้พูดคุยกับเราเลย…เราอยากคุยกับลูก แต่ลูกก็ไม่พูดกับเรา เราออกจากตู้ศีลลงไปหาลูกที่ม้านั่งในวัด แต่ลูกก็คิดว่า เราอยู่แต่ในตู้ศีลเท่านั้น
ที่จริง เราออกไปต้อนรับลูก ตั้งแต่ลูกเดินอยู่หน้าวัด แล้วเดินเคียงข้างลูกเข้ามาในวัด นั่งเบียดกับลูกอยู่ติดกับหัวใจของลูกเลยล่ะ
ก่อนเริ่มมิสซา เราเห็นลูกท่องบทสวดลูกประคำแข่งกันใหญ่ พยายามให้จบเร็วๆ ไม่เห็นลูกพูดกับเราเลย ลูกไม่รู้ตัวว่าลูกสวดคำอะไรออกไปบ้าง กำลังพูดอยู่กับใคร เขาอยู่ตรงไหน อยู่ห่างจากลูกกี่ก้าว เขาแต่งตัวอย่างไร รูปร่างเขาเป็นอย่างไร กำลังฟังลูกอยู่หรือเปล่า ลูกไม่รู้คำสวดของลูกด้วยซ้ำไป ก้มหน้าก้มตาร่ายเวทมนต์…เดี๋ยวก็อาแมน…เดี๋ยวก็อาแมน…วนเวียนท่องบทสวดอวดกันใหญ่ เราเวทนาลูก สงสารลูกจริงๆ
พอถึงพิธีมิสซา ลูกก็ผุดลุกยืน ลุกนั่งตามที่คนในวัดเขาทำกัน พระสงฆ์พูด ลูกก็พูดโต้ตอบ ไปตามตัวบท กฎข้อบังคับทำไปตามธรรมเนียมประเพณีของศาสนา ลูกไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เราได้เสด็จมาบนแท่นบูชา เราตาย…และกลับคืนชีพ…ต่อหน้าลูกขณะนั้นจริงๆ และเราได้ประทับอยู่ในศีลมหาสนิทก็เพื่อลูกเท่านั้น
เมื่อจบมิสซา เราเห็นหลายคนดีใจ รีบออกจากวัด เหมือนคนพ้นโทษ ทิ้งเราไว้ในวัดอย่างเคย ยังดีที่หันมาร่ำลาเราบ้างที่ตู้ศีล…ที่จริง…เราอกมายืนรออยู่นอกตู้ศีลแล้ว เราแต่งตัวเสียใหม่ ใส่ชุดออกนอกบ้าน เพราะรู้ว่า ประเดี๋ยวจะต้องมีคนมาชวนเราออกจากวัดไปกับเขา…เขาจะพาเราไปเยี่ยมบ้าน…เยี่ยมญาติของเขา ที่ป่วยอยู่ที่บ้าน…เขาอยากให้เห็นความทุกข์ ความยากจนของเขา…
แน่นอนเขาต้องการให้เราช่วย
ดังนั้น เขาจะต้องพาเราไปกับเขาแน่ๆ…เราจึงไปยืนคอยอยู่กลางวัด…คนแล้ว…คนเล่า ต่างคนต่างเดินออกจากวัดไป…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…จริงๆหรือนี่…ไม่แน่นะ…คนมาวัดตั้งแยะ คงต้องมีสัก 10 คน ที่คิดถึงเราบ้าง
โอ…ตอนนี้ เหลือคนในวัดอีก 5 คน เท่านั้น เรา…ชักหน้าถอดสี…ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่แต่งตัวมารอเก้อนะ แต่แล้วอีก 4 คน ก็เดินคุยกันพ้นประตูวัดไป…เรารีบก้าวไปหาคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เขาเดินจ้ำไปเกือบถึงประตูออกแล้ว เขาเอาหนังสือสวดไปเก็บ แล้วก็ไปคุกเข่าสวดที่รูปปั้นพระแม่ของเรา เราแอบอวยพรเขาอยู่ข้างหลัง เขาลุกขึ้นกลับหลังโค้งไหว้งามๆมายังตู้ศีลอีกครั้งหนึ่ง เราถลาไปยืนรับไหว้เบื้องหน้าเขาทันที ด้วยรหัสธรรมล้ำลึก ที่เราแฝงพระวรกายกำบังมิให้ใครเห็น เหมือนกับที่ซ่อนเร้นพระกายของเราในศีลมหาสนิทนั่นแหละ เขาจึงมองไม่เห็นเรา
เขาจุ่มน้ำเสก..แล้วก็…เดินออกจากวัดไป…คนสุดท้าย…เราน้ำตาคลอ…แต่งตัวมาคอยเก้อ…ไม่มีใครพูดกับเราเลย…เรารู้สึกอับอาย ต่อหน้าเทวดาทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตู้ศีล มีนักบุญหลายองค์และพระแม่ของเราก็อยู่ที่นั่นด้วย
บรรยากาศรอบตู้ศีลเงียบเหงาเหมือนเคย เราเดินก้มหน้า กลับเข้าไปขังตัวเองในตู้ศีลอย่างเดิม…
พลันได้ยินเสียงของพระแม่ของเราปลอบใจว่า…ทนรอ…อีกหน่อยลูกแม่…
อาทิตย์หน้าแม่จะพา… "คนที่ไม่ใจดำ" …มาหาลูก…
viewtopic.php?f=2&t=15092