หน้า 1 จากทั้งหมด 1

รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2007 9:42 pm
โดย poloplow
คืออย่างงี้ครับ  เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ก่อน  มีเพื่อนของผมคนนึงชื่อ อาร์ท(เป็นผู้หญิง  ค่อนข้างบ้าการ์ตูน)
เค้าได้มาเปิดกระเป๋าผมดูเล่น  แล้วก็เจอกับพันธสัญญาใหม่(เล่มที่พี่Holyแจก)

ตอนแรกเค้าบอกว่าอยากอ่านเรื่องอะไรซักอย่าง  ซึ่งอยู่ในพันธสัญญาเดิม  แต่ผมบอกเค้าไปว่า
เล่มนี้น่ะ  มีแต่เรื่องราวหลังพระเยซูประสูติ

แต่กระนั้นอาร์ทก็ยังหยิบเอาไปอ่าน  โดยที่ผมยังไม่ว่าอะไร  เพราะดูเหมือนเค้าอยากอ่านเกี่ยวกับ
อิทธิ์  ปาฏิหาริย์  อำนาจของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมซะล่ะมากกว่า ::010::

วันนั้นอาร์ทก็ได้ยืมพันธสัญญาใหม่ ฉบับ โปรฯ ของผมไปอ่าน(จริง ๆ ผมจะเป็นคาทอลิกนะ!-_-)

วันจันทร์ที่ 21 พ.ค.(วันนี้)  คาบที่ 3 วิชาสารสนเทศ  ผมเห็นอาร์ทเค้าSearchชื่อพระเยซูใน google

ผมก็งงเลยถามว่า  อาร์ทหาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูไปทำไม?

อาร์ทได้ตอบคำถามที่ทำให้ผมตกตะลึงออกมาคือ...        เค้าอ่านเรื่องพระเยซูแล้วร้องให้ :huh:

ผมถามเค้าว่า  เค้าร้องไห้ทำไม  เค้าบอกว่า  เค้าร้องให้เรื่องพระเยซูตอนที่ยูดาสอายัดพระองค์ 
แล้วก็ตอนที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง    เค้าบอกว่าเค้าเสียใจกับเรื่องของพระองค์มาก ๆ

ผมถามเค้าว่าเค้าได้อ่านของอีก 3 คนรึเปล่า  เค้าบอกว่ามันซ้ำ ๆ กันเลยไม่ได้อ่านต่อ  แล้วข้ามไปอ่านกิจการอัครทูต  แล้วเค้าบอกว่าจะยืมพันธสัญญาใหม่ไปอ่านจบจนแล้วค่อยคืน  ซึ่งผมก็แอบดีใจอยู่ ::003::

จากเรื่องที่ผมได้พบมาวันนี้  ผมพบว่าตัวผมยังรักพระองค์น้อยไป  ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อนมาอ่านเรื่องของพระองค์  ยังเสียใจกับเรื่องของพระองค์ขนาดนี้

ในขณะที่ผมตอนอ่านในพระคัมภีร์ตอนดังกล่าว  ผมยังรู้สึกเฉย ๆ ซะด้วยซ้ำ ::008::

ก่อนที่จะไปเฝ้าพระองค์(น่าจะอีกนาน)  ผมคงต้องพัฒนาศรัทธาให้มากขึ้นซะแล้ว

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 21, 2007 10:02 pm
โดย Batholomew
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่เพื่อนของคุณแล้วครับ

พระองค์ทรงเรียกลูกแกะของพระองค์ให้กลับเข้าคอกแกะแล้วครับ

ลองหาหนังสือเสริมศรัทธาอื่น ๆ ให้เค้าอ่านสิครับ ให้เค้าเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมยูดาสถึงทรยศพระองค์

ทำไมเปโตรถึงปฏิเสธพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนบนกางเขน


ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ว่าตัวเองศรัทธาน้อยเกินไป ตราบใดที่ยังสวดภาวนา

นึกถึงพระองค์ในทุกกิจการ พยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์

ก็เรียกว่า ศรัทธาแล้วครับ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 22, 2007 12:27 am
โดย Dis volentibus
ของบางอย่างมันต้องใช้เวลาเเละการไขว่คว้า(หาความรู้)ค่ะ...
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า

เราได้รู้จักพระองค์มากเท่าไหร่ เราก็รักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น

ป.ล. การเเสดงออกหรือความรู้สึกตอบสนองของมนุษย์เเต่ละคนล้วนต่างกัน :grin: :shocked: :cry: :tongue: :lipsrsealed: :smiley: :undecided:
ป.ล.2 ความเเรงของศรัทธา ไม่ได้อยู่ที่การไปร่วมพิธีกรรมบ่อย(โดยปราศจากความรักเเละความเข้าใจในพระเจ้า)

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 22, 2007 1:18 am
โดย Buddy
นักบุญเทเรซา อาวิลา  เป็นคนนึงที่ไม่รู้สึกอะไร (หมายถึงร้องไห้  เศร้าใจ)  เมื่อรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า  .... เหมือนที่น้องเจนบอก "การเเสดงออกหรือความรู้สึกตอบสนองของมนุษย์เเต่ละคนล้วนต่างกัน"  ::001::

เราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นนะคะ  การโตในชีวิตจิตเราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร  เราไม่จำเป็นต้องได้รับประสบการณ์เหมือนใคร  แต่การที่เรายินดีกับเพื่อนและพยายามให้เราศรัทธาขึ้นเป็นสิ่งที่ดี  แต่เป้าหมายต้องอยู่ที่พระ  ไม่ใช่อยู่ที่จะให้เหมือนเพื่อน    ::001::

Keep doing good!!  ::013::

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 22, 2007 4:22 pm
โดย Florian
สบายใจได้ครับน้องชาย

พี่เคยเล่าไปแล้วทีนึง ว่าตั้งแต่เกิดมา พี่ร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้า ผู้ทรงรับทนทรมานเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นเองครับ  ::004::

ถ้าพวกเราร้องไห้ ไม่ว่าจะเพราะเกิดปีติยินดีในจิตใจ หรือเพราะสงสารพระเยซูเจ้า ก็จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณนี้เถิดครับ แต่พอขอบพระคุณแล้วก็อย่าไปยึดติด การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยในตัวเราไม่ได้อยู่ที่จำนวนน้ำตาว่าเราร้องไห้ออกมากี่หยาดกี่หยดนะครับ  ::001::

ฉะนั้น น้องอาจไม่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้า ก็ไม่ได้แปลว่าน้องไม่ศรัทธา ในทางตรงกันข้าม น้องอาจเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่าคนที่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้าด้วยซ้ำไปครับ   : xemo026 :

ถ้าเช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน หรือคนแบบใดจึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา  ::017::

หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาชอบสะสมรูปพระ มีรูปพระมากมาย มองไปทางไหน ก็มีแต่พระเจ้า แม่พระ นักบุญ บุญราศี แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนคงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเขาก็ไม่ได้มีเงินซื้อรูปพระมาเก็บสะสม ในทางตรงกันข้ามผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจมีแค่กางเขนเก่าๆ 1 รูป สายประคำธรรมด๊าธรรมดาอีกแค่เส้นเดียว

หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่เคยได้รับการประจักษ์มาจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยฝันเห็นบุคคลจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีพระพรพิเศษเหนือธรรมชาติที่คนทั่วไปไม่มี  ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลย แต่ใช้ชีวิตในแต่ละวันเฉกเช่นคนธรรมดาอย่างศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่านั้น

หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาสนใจไปเยี่ยมศาสนสถานต่างๆ มีงานฉลองทางศาสนาที่ไหนก็ไปหมด วัดวาอารามแห่งหนตำบลใด ก็ไปแสวงบุญฝากรอยเท้ามาแล้วทุกที่ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่มีโอกาสไปแสวงบุญที่ไหนเลยแม้สักที่เดียว ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยไปไหนต่อไหนเลย อยู่แต่ที่วัดของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้

หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาร้องเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมได้หลายเพลง และแถมยังร้องได้ไพเราะอีกด้วย หรืออาจเล่นดนตรีเพลงวัดได้หลายเพลงอย่างไพเราะและชำนิชำนาญ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเล่นดนตรีก็ไม่เป็นสักชนิด ร้องเพลงก็ไม่ค่อยได้ แถมร้องแล้วเสียงอย่างกับควายออกลูก ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถในทางการดนตรีและบทเพลงเลยก็เป็นได้

หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขามีความรู้ในทางศาสนามากมาย แถมแสดงอรรถให้ลุ่มลึกซาบซึ้ง แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะมีความรู้คำสอนเพียงระดับชาวบ้านเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่ได้รับการศึกษาสูงๆ อธิบายอรรถข้อเชื่ออะไรก็มิใคร่จักเป็น

เพราะอะไร ?  ก็เพราะ...

เรื่องรูปพระ ใครก็สะสมได้ คนต่างศาสนาที่ชื่นชมรูปพระและสิ่งคล้ายศีลในฐานะเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง พวกเขาก็สะสมได้

เรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ คนต่างศาสนาหลายคนก็เคยมีประสบการณ์ทำนองอิทธิปาฏิหารย์ ที่พวกเขาก็อาจเอ่ยอ้างได้ว่าเป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติเช่นกัน

เรื่องการท่องเที่ยวแสวงบุญ ใครๆก็ไปได้ คนต่างศาสนาหลายคนก็ไปเยี่ยมชมศาสนสถานในฐานะนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชมอภิเชษฐ์ในงานศิลปะ

เรื่องเพลงและดนตรีศักดิ์สิทธิ์  ใครๆก็มีส่วนร่วมได้ คนต่างศาสนาหลายคนได้ฟังเพลงในพิธีกรรมก็สามารถร้องตามได้ ที่สุดก็อาจร้องได้มากเพลง และอาจร้องได้มากกว่าคริสตชนเองด้วยซ้ำไป นอกจากนี้หลายคนอาจเข้าร่วมคณะขับร้องประสานเสียงในวัด และเกือบทุกคนที่อ่านโน้ตเพลงออกและเล่นดนตรีเป็น ก็สามารถเล่นเพลงในพิธีกรรมได้ด้วยเช่นกัน

เรื่องความรู้ทางศาสนาและความสามารถในการแสดงอรรถข้อเชื่อได้ลุ่มลึกและซาบซึ้งนั้น หลายคนก็ทำได้ คนต่างศาสนาที่มีสติปัญญาดีก็ทำได้  พวกเขาสามารถเป็นนักเทววิทยาที่ปราดเปรื่องได้ และอาจเป็นได้ดีกว่านักเทววิทยาที่เป็นคริสตชนด้วยซ้ำ

ครับ นั่นสิ แล้วความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา

สำหรับพี่แล้ว ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ "ความนบนอบต่อพระเจ้าในการปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระองค์" ต่างหากเล่าครับ  ::017::

คนที่มีความศรัทธาแท้และจัดว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ คือคนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติตาม  พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำของเรา พระบิดาจะทรงรักเขา และพระบิดาพร้อมกับเราจะมาหาเขา และพำนักอยู่กับเขา"  ช่างเป็นบุญเสียนี่กระไรครับที่คนๆหนึ่งจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าสูงสุด พระองค์ประทับอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวและเป็นมิตรกับเขา

หรือเมื่อมีคนบอกพระเยซูเจ้าว่า มารดาและพี่น้องของพระองค์มาหา พระองค์ตรัสตอบว่า "ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามนั้นแหละคือมารดาและพี่น้องของเรา" ช่างเป็นความสุขสุดๆสำหรับคนๆหนึ่งโดยแท้ที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า เพราะเขาได้กลับกลายเป็นพี่น้องกับพระเยซูเจ้า

แม้ในวันพิพากษา เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวต่อพระตุลาการผู้ทรงความยุติธรรม เพราะพระองค์ไม่ใช่พระตุลาการสำหรับเขา แต่พระองค์คือมิตรและพี่น้องของเขาต่างหาก  ::017::

และคนแบบนี้แหละ(ที่ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า)คือผู้ที่มีความศรัทธาแท้และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์   : xemo028 :

ขอยกตัวอย่างเป็นการสาธกให้เห็นภาพเล็กน้อย คำสอนอันเป็นมรดกสำคัญของพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ประการหนึ่ง ก็คือ "ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันอย่างที่เรารักท่าน"  การที่เราจะรักคนอื่นได้ เราก็ต้องละ"ตัวกูของกู"ก่อน เพราะถ้าเรายังมี"ตัวกูของกู" เราก็จะเห็นแต่ตัวเอง และมองไม่เห็นเพื่อนพี่น้อง  น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนละ"ตัวกูของกู"ไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด แม้แต่ความพยายามที่จะละ"ตัวกูของกู"ก็ไม่มี ยังคงยึดติดอยู่กับตัวเอง มีชีวิตอยู่กับตัวเองและเพื่อตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป  ::001::

แต่การเป็นคริสตชนนั้น จะละ"ตัวกูของกู"แค่นั้น หาเพียงพอไม่ ทว่าต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตเพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวมึงของมึง"ด้วย  นั่นก็หมายความว่า คริสตชนเรานอกเสียจากจะปฏิเสธน้ำใจตนเองแล้ว ยังต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ เพื่อนพี่น้องรอบข้างด้วย  น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนก้าวข้ามไปไม่ถึงจุดนี้  ยังมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวกูของกู" เท่านั้น  ::004::

หลายคนกว่าจะได้รับศีลล้างบาปช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน แต่พอได้รับศีลล้างบาปที่รอมานานแสนนาน ก็กลับไม่ได้ตระหนักถึงความรักที่เราพึงมีต่อพี่น้องรอบข้าง อย่างดีก็แค่ทำดีเฉพาะตัวเองเท่านั้น(ฉันไปวัด รับศีล สวดภาวนา ก็ถือว่า"ตัวฉัน"ทำดีแล้ว ปฎิบัติตามพระบัญญัติแล้ว ไม่สนใจเพื่อนพี่น้องคนอื่นเลย เป็นต้น เช่นนี้จะเหมือนพวกฟาริสีมากๆ สนใจแต่บทบัญญัติ แต่ไม่นำพาต่อเพื่อนพี่น้อง ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงกฎแห่งความรักเอาเสียเลย) ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นคริสตชนไม่ใช่การมีความสุขอยู่กับตนเอง หลายคนได้รับประสบการณ์แห่งความปีติฝ่ายจิต แต่ถ้าเราคงความปีตินี้อยู่กับตัวเอง ก็ไม่เป็นการเพียงพอ เพราะเราเป็นคริสตชน  การนิ่งเฉยไม่สนใจใยดีต่อพี่น้องรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ นับว่าไม่ใช่วิสัยของคริสตชนที่ดี  คริสตชนที่ดีไม่ควรเป็นคนดูดาย แต่ต้องออกจากตัวเอง แล้วมองไปรอบข้าง สนใจพี่น้องรอบตัว มีความอารีอารอบ  การเป็นคริสตชนที่ดีจึงเปรียบได้เหมือนกับการเข้าประตูแคบ ส่วนการดูดาย ไม่สนใจพี่น้องรอบข้างเลย แต่มัวพะวงกับเรื่องบาป กฎเกณฑ์ อย่างที่พวกฟาริสีเป็นนั้น ถือเป็นประตูกว้างที่ดูจะปฏิบัติง่ายกว่า แค่ปฏิบัติตามกฎที่ห้ามนั่นห้ามนี่ หยุมๆหยิมๆ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ขอเน้นว่าสิ่งนั้นไม่เป็นการเพียงพอสำหรับผู้ที่เป็นคริสตชนเลยครับ  ::020::

ดูตัวอย่างจากเรื่องของลาซารัส  ลาซารัสนอนอดอยากอยู่หน้าบ้านเศรษฐี ในขณะที่เศรษฐีอิ่มหนำสำราญอยู่ในบ้านของตน ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้ทำอะไรลาซารัส ไม่ได้ส่งคนไปด่าทอ ทำร้าย เพียงแต่ไม่ได้ใยดีต่อลาซารัส ดูดาย ปล่อยให้เขานอนลำบากยากแค้นอยู่หน้าบ้านนั้นต่อไป แต่สุดท้ายเศรษฐีซึ่งไม่ได้ทำร้ายอะไรลาซารัสเล้ยยยยยยกลับต้องไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในถิ่นเนรเทศ  นี่แสดงให้เห็นมาตรฐานของพระเจ้าว่า คริสตชนไม่ควรเป็นคนดูดายต่อคนรอบข้าง แต่ต้องมีความอารีอารอบ สนอกสนใจผู้อื่นรอบข้างเสมอ  ::013::

หลายคนไปวัด ร่วมมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าเขาไปวัด ร่วมมิสซา และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ แต่ออกมาทำบาป ไม่รักเพื่อนพี่น้อง ดูดายเพื่อนพี่น้อง ไม่สนอกสนใจ อยู่แต่กับตัวเองและคนที่ตัวเองพอใจจะอยู่ด้วย(เช่น แฟน กิ๊ก ฯลฯ)เท่านั้น เขาก็ไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า  ::012::

จากพระวาจาที่สั่งสอนว่า"ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันดังที่เรารักท่าน"  คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ก็จะฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าประการนี้  เขาจะสละน้ำใจตนเองและมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้เพื่อนพี่น้องรอบข้าง ไม่ดูดาย ไม่อยู่แต่เพียงกับตนเอง และคนที่ตนเองพอใจจะอยู่ด้วยเท่านั้น แต่จะมีความสนอกสนใจ อารีอารอบ ต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้างเสมอ ไม่ว่าเพื่อนพี่น้องจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือนั้นออกมาหรือไม่ก็ตามครับ  ::018::

นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวของ"การฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้า"เท่านั้นนะครับ  นอกจากพระวาจาที่สอนให้"รักกันและกัน"ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงก็จะปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนประการอื่นๆทุกประการที่พระเจ้าทรงสั่งสอนด้วยเช่นกันครับ  : emo045 :

ฉะนั้น พี่ขอสรุปว่า ถ้าน้องจะไม่เคยร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้าเลย น้องก็อย่าได้ไม่สบายใจไปครับ  อย่าไปเข้าใจว่าตัวน้องไม่มีความศรัทธา  เกณฑ์การวัดความศรัทธาไม่ได้อยู่ที่น้ำตาที่หลั่งออกมา แต่อยู่ที่ว่าน้องได้ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าหรือไม่ต่างหากครับ  ถ้าน้องฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง น้องจะก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุดครับ

ดังนั้น ให้พวกเราเริ่มต้นฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าแต่บัดนี้เลย ดีไหมครับ  ::004::  ::020::  ::017::

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 22, 2007 6:58 pm
โดย แบกะดิน
เอาน่า .. คนเราไม่เหมือนกัน  ความรู้สึกต่างกัน ...  บางคนอาจจะเข็มแข็ง บางคนอ่อนไหว
แต่บางคนที่เข้มแข็งอ่ะ ลึกๆๆเค้าอาจจะอ่อนไหวง่ายก้อได้



อันนี้เกี่ยวปะเนี้ย 55

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 10:05 am
โดย comme des poppy
ผมว่าไม่ค่อยเเปลกหรอกคับที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีความเชื่อพอ เพราะว่าไม่มีใครสมบูรณ์เเบบหรอกคับ ผมว่ารู้สึกอย่างงี้ยังดีกว่าพวกที่เที่ยวบอกคนอื่นว่าตัวเองมีความศรัทธามากๆหรือเคร่งมากๆเช่นพิธีกรชื่อดังบางคนที่พูดออกทีวีเมื่อเดือนก่อน ::019:: เเต่กลับดูไม่เห็นถึงความศรัทธาจิงๆเลย  สู้ๆคับ : xemo017 :

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 3:08 pm
โดย ~@Little lamb@~
อาจจะเป็นเพราะเพื่อนเราเป้นผู้หญิง  แล้วน้องเป็นผู้ชายงัย
ความอ่อนไหวมันอาจจะต่างกัน  ผู้หญิงจะอ่อนไหวมากกว่า
ยิ่งบ้าการ์ตูน  ความอินกับการอ่าน และ การเข้าเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องที่อ่านจะมากกว่า

พี่แนะนำว่า ให้น้องดูหนัง The passion จ๊ะ
เชื่อว่าน้องจะรู้สึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้ามากกว่าอ่าน
เพราะอันนี้เห็นภาพด้วย  ลำพังน้องอ่านอาจจะจินตนาการภาพไม่ออก  ::017::

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2007 6:50 pm
โดย holy holy holy
เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2007 8:15 pm
โดย Batholomew
holy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับ ::001::

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2007 9:15 pm
โดย Zaliaus
น่าปลาบปลื้มใจมากครับ เรื่องของพี่โฮลี่ก็เช่นเดียวกัน (ถึงจะยาวไปหน่อย เพราะพี่แกแนว) แต่ผมอ่านทีไรก้ไม่เห็นร้องไห้นะครับ สงสัยอยู่ที่ความอ่อนไหวของอารณ์อย่างที่พี่ลูกแกะพูดแหละครับ อิอิ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2007 9:55 pm
โดย Edwardius
พระทรงบอกเราแล้วฤๅมิใช่              ว่าจะให้ลูกแกะหลงคงกลับมา
ดีพระทัยมากกว่านี้มิมีนา                  กล่าวคือว่าให้แกะหลงจงกลับคืน
แต่อย่าได้คิดว่าพระไม่รัก                อย่าทึกทักว่าพระทิ้งและขัดขืน
เหตุความรักพระเจ้านั้นยั่งยืน            จงอย่าฝืนเดินตามน้ำพระทัย
พระทรงเรียกคนบาปให้กลับจิต        ให้ศักดิ์สิทธิ์เหมาะสม ธ แก้ไข
ทรงสั่งสอนให้เชื่อฟังและเข้าใจ        ว่าเราไซร้เป็นบุตรแห่งพระบิดา

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2007 11:46 pm
โดย Phulasso
อาร์ท เขามาช่วยเตือนศรัทธา
มายืนยันว่า ไบเบิ้ลคือพระวาจาของพระ
นี่แหละอัศจรรย์ ที่เขาได้เริ่มรู้จักพระ

ขอทรงพระเมตตาเทอญ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 12:40 pm
โดย holy holy holy
Batholomew เขียน:
holy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับ ::001::
เชื่อและยอมรับด้วยครับ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 5:20 pm
โดย Batholomew
holy holy holy เขียน:
Batholomew เขียน:
holy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับ ::001::
เชื่อและยอมรับด้วยครับ
งั้นก็มีแล้วหล่ะครับ ::001::

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 5:33 pm
โดย Joseph
เรื่องการเดินกับพระต้องใช้เวลา ค่อยๆ เดินไป เหมือนเด็กที่เริ่มหัดคลาน แล้วก็หัดเดิน แต่ขออย่าให้ทิ้งเป้าหมายเป็นใช้ได้

รูปภาพ
เอาภาพนี้ไปดูก่อน เป็นคุณพ่อแบบนี้เท่ไหม

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 5:40 pm
โดย Zaliaus
มีหนังเรื่องนี้ด้วยหรือเพ่...อยากดู
ปล.ถ้าเป็นคุณพ่อแล้วเท่อย่างนี้ ชักจะอยากบวชแล้ว อิอิ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 24, 2007 9:15 pm
โดย holy holy holy
Batholomew เขียน:
holy holy holy เขียน:
Batholomew เขียน: แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับ ::001::
เชื่อและยอมรับด้วยครับ
งั้นก็มีแล้วหล่ะครับ ::001::
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 25, 2007 10:53 am
โดย Batholomew
holy holy holy เขียน:
Batholomew เขียน:
holy holy holy เขียน: เชื่อและยอมรับด้วยครับ
งั้นก็มีแล้วหล่ะครับ ::001::
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ  ::010:: ผมว่าพระองค์ทรงสอนเราในเชิงอุปมานะครับ

คือว่าให้เรามีความเชื่อในพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถพบสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ

แล้วก็อย่าเอาความเชื่อของเราไปทดสอบองค์พระเจ้านะครับ ไม่ควร ๆ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 25, 2007 11:33 am
โดย holy holy holy
Batholomew เขียน:
holy holy holy เขียน:
Batholomew เขียน: งั้นก็มีแล้วหล่ะครับ ::001::
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ   ::010:: ผมว่าพระองค์ทรงสอนเราในเชิงอุปมานะครับ

คือว่าให้เรามีความเชื่อในพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถพบสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ

แล้วก็อย่าเอาความเชื่อของเราไปทดสอบองค์พระเจ้านะครับ ไม่ควร ๆ
"อย่าบังอาจทดสอบพระเป็นเจ้าของท่าน" - Matt., 4:7

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 12:10 pm
โดย Joseph
Zaliaus เขียน: มีหนังเรื่องนี้ด้วยหรือเพ่...อยากดู
ปล.ถ้าเป็นคุณพ่อแล้วเท่อย่างนี้ ชักจะอยากบวชแล้ว อิอิ
เสริชเจอก็เลยเอามาให้ดู

รูปภาพ

Re: รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 28, 2007 8:35 am
โดย Florian
Zaliaus เขียน: มีหนังเรื่องนี้ด้วยหรือเพ่...อยากดู
ปล.ถ้าเป็นคุณพ่อแล้วเท่อย่างนี้ ชักจะอยากบวชแล้ว อิอิ
ว่าที่คุณหมอ แน่ใจแล้วรึ  ::018::