วันนี้ไปเรียนมนุษยศาสตร์มา

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

พุธ มิ.ย. 27, 2007 3:02 pm

วิชานี้ชื่อ  "คิลปะของการเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า"
ได้เรียนเรื่องการกำเนิดมนุษย์ในแง่ของวิทยาสาสตร์ ปรัชญาและศาสนาด้วย
ตอนท้ายคาบมีเปิดโอกาสให้แลกความคิดเห็น
บางคนว่ามาจากลิงตามทฤษฎีวิทยาสาตร์ ไอ้เราก็บอกว่าเชื่อว่าพระเจ้าสร้าง เลยเคืองๆกันนิดหน่อย พอขำๆ
สุดท้ายเราก้เลยบอกว่า "ผมรับไม่ได้หรอกครับกับทฤษฎีที่ว่าบรรพบุรุษของเราเคยเป็นลิงมาก่อน เพราะลิงเป็นเดียรัจฉาน ผมไม่ดีใจเลยนะครับเมื่อรู้ว่าว่าพ่อแม่ของผมก็เคยเป็นเดียรัจฉานมาก่อน ดาร์วินคงภูมิใจมากที่รู้ว่าต้นตระกูลของเค้าเป็นแค่ลิงเจี๊ยกๆ" แล้วจะนั้นก้เงียบกันทั้งห้อง พอออกห้องมีคนมองด้วยสายตาขุ่นๆ สงสัยเราไปแทงใจดำเข้าอ่ะ อิอิ

ไม่ทราบว่าผมพูดแรงเกินไปหรือเปล่า และผมมีอคติกับวิชาปรัญชา สังคมวิทยา ฯลฯ พวกเขามองความจริงของคริสตศาสนา เป็นแค่นิทานสอนใจ เป็นแค่ศาสนาหนึ่ง แล้วใช้เปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆ ทั้งที่ของเราเป็น "ความจริง" ไม่ใช่แค่ศาสนาที่มีกุศโลบายหลอกให้คนทำความดี เพียงเพื่อขึ้นสวรรค์ เซงมาก แต่ต้องเรียนอ่ะ 
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ มิ.ย. 27, 2007 6:08 pm

ใจเย็นจ้า อดทนเรียนเพื่อรู้เขารู้เรานะ
Matthew
Arch Guardian
Arch Guardian
โพสต์: 297
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ต.ค. 09, 2006 8:19 pm
ที่อยู่: ดินแดนอันไกลโพ้น

พุธ มิ.ย. 27, 2007 6:42 pm

Zaliaus เขียน: "ผมรับไม่ได้หรอกครับกับทฤษฎีที่ว่าบรรพบุรุษของเราเคยเป็นลิงมาก่อน เพราะลิงเป็นเดียรัจฉาน ผมไม่ดีใจเลยนะครับเมื่อรู้ว่าว่าพ่อแม่ของผมก็เคยเป็นเดียรัจฉานมาก่อน ดาร์วินคงภูมิใจมากที่รู้ว่าต้นตระกูลของเค้าเป็นแค่ลิงเจี๊ยกๆ" 
อธิบายซิครับ อย่าไปพูดแค่นั้น เพราะทฤษฎีวิทยาสาตร์ ที่บอกว่าคนมาจากลิงนั้น ก็ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ เนื่องจากว่ายังมีนักวิทยาสาตร์อีกกลุ่มนึงก็มี ทฤษฎีวิทยาสาตร์ และหลักฐาน อีกส่วนว่า มนุษย์ นั้นเป็น มนุษย์อยู่แล้วไม่เคยเป็นลิงมาก่อน โดยมีหลักฐาน อ้างอิงที่เชื่อถือได้และในขณะนี้ดูแล้วจะมี น้ำหนักมากกว่าด้วย ในขณะที่ ทฤษฎีที่ว่า มนุษย์มาจากลิงนั้น กลับยังไม่มีหลักฐานใดๆที่แน่ชัดเลยมีแต่ ค้างๆคูๆ ว่า "อาจจะ" และก็ไม่สามารถ พิจสูจน์ได้ มีเพียงกะโหลก ศรีศระ ที่คล้าย มนุษย์ ที่ โครงกระดูก มนุษย์ ที่เป็น มนุษย์อยู่เดิม นั้นล่าสุดที่ขุดพบ กลับมี อายุประมาณ เดียวกับไอ้ กะโหลก ลิงเดิม ทำให้ น้ำหนัก ของ ทฤษฎี หลัง หนักไปกว่าเก่า ลองอ่าน นิตยสาร อัพเดท ดูซิครับเรื่องนี้มีเยอะ

****ไม่ได้โฆษณาหนังสือนะครับ เพราะผมก็อ่านแต่ใน สำนักวิทยบริการ ของ มหาวิทยลัย อย่างเดียวไม่เคยซื้อเหมือนกัน
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พุธ มิ.ย. 27, 2007 6:56 pm

โห ปรบมือให้ความกล้าหาญครับ ::004::
ภาพประจำตัวสมาชิก
TheOffspring
โพสต์: 102
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 26, 2006 6:54 pm
ที่อยู่: Hope of Chiang Mai
ติดต่อ:

พุธ มิ.ย. 27, 2007 7:05 pm

ชาร์ล  ดาร์วิน เค้าไม่ได้ดีใจนะครับ
เค้าเคยพูดว่า " ผมรู้สึกเสียใจที่มีคนเอาทฤษฎีของผมไปคิดขัดกับศาสนา ทั้งที่ทฤษฎีนี้มันเชื่อถืออะไรไม่ได้เลย"
ทฤษฎีของชาร์ล  ดาร์วิน ก็คงใช้ได้กับสัตว์เท่านั้นแหละครับ

Ps. ฟังพี่จาก YFC เล่ามาอีกทีครับ  ::011::
ภาพประจำตัวสมาชิก
เด็กผี ปีศาจแดง
โพสต์: 42
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 30, 2005 9:17 am

พุธ มิ.ย. 27, 2007 9:23 pm

::015::
นับถือๆ ครับ

เยี่ยมมาก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 7:51 am

Zaliaus เขียน: วิชานี้ชื่อ  "คิลปะของการเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า"
ได้เรียนเรื่องการกำเนิดมนุษย์ในแง่ของวิทยาสาสตร์ ปรัชญาและศาสนาด้วย
ตอนท้ายคาบมีเปิดโอกาสให้แลกความคิดเห็น
บางคนว่ามาจากลิงตามทฤษฎีวิทยาสาตร์ ไอ้เราก็บอกว่าเชื่อว่าพระเจ้าสร้าง เลยเคืองๆกันนิดหน่อย พอขำๆ
สุดท้ายเราก้เลยบอกว่า "ผมรับไม่ได้หรอกครับกับทฤษฎีที่ว่าบรรพบุรุษของเราเคยเป็นลิงมาก่อน เพราะลิงเป็นเดียรัจฉาน ผมไม่ดีใจเลยนะครับเมื่อรู้ว่าว่าพ่อแม่ของผมก็เคยเป็นเดียรัจฉานมาก่อน ดาร์วินคงภูมิใจมากที่รู้ว่าต้นตระกูลของเค้าเป็นแค่ลิงเจี๊ยกๆ" แล้วจะนั้นก้เงียบกันทั้งห้อง พอออกห้องมีคนมองด้วยสายตาขุ่นๆ สงสัยเราไปแทงใจดำเข้าอ่ะ อิอิ

ไม่ทราบว่าผมพูดแรงเกินไปหรือเปล่า และผมมีอคติกับวิชาปรัญชา สังคมวิทยา ฯลฯ พวกเขามองความจริงของคริสตศาสนา เป็นแค่นิทานสอนใจ เป็นแค่ศาสนาหนึ่ง แล้วใช้เปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆ ทั้งที่ของเราเป็น "ความจริง" ไม่ใช่แค่ศาสนาที่มีกุศโลบายหลอกให้คนทำความดี เพียงเพื่อขึ้นสวรรค์ เซงมาก แต่ต้องเรียนอ่ะ 
น้องเรียนวิชาเอกอะไรเหรอครับ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
~*Little`Child*~
~@
โพสต์: 202
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 11:52 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 1:32 pm

ไม่แรงหรอกคะ...เพราะสิ่งที่พูดไปนั้น คือความเป็นจริง

แต่อาจทำให้เกิด การมองกันแปลกๆมากขึ้นอะคะ

เราต้องค่อยๆสอดแทรก เข้าไป 

เพราะยังไงเราก็เป็นมนุษย์มาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วนี่คะ... : emo027 :

คนที่เคยพัฒนามาจากลิง อาจจะเข้าใจอะไรยากหน่อย เป็นธรรมดา

เราต้องใจเย็นๆเข้าไว้คะ  เค้าจะได้มองเห็นบรรพบุรุษตัวเองชัดเจนขึ้น  ::011::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 2:04 pm

Florian เขียน:
Zaliaus เขียน: วิชานี้ชื่อ  "คิลปะของการเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า"
ได้เรียนเรื่องการกำเนิดมนุษย์ในแง่ของวิทยาสาสตร์ ปรัชญาและศาสนาด้วย
ตอนท้ายคาบมีเปิดโอกาสให้แลกความคิดเห็น
บางคนว่ามาจากลิงตามทฤษฎีวิทยาสาตร์ ไอ้เราก็บอกว่าเชื่อว่าพระเจ้าสร้าง เลยเคืองๆกันนิดหน่อย พอขำๆ
สุดท้ายเราก้เลยบอกว่า "ผมรับไม่ได้หรอกครับกับทฤษฎีที่ว่าบรรพบุรุษของเราเคยเป็นลิงมาก่อน เพราะลิงเป็นเดียรัจฉาน ผมไม่ดีใจเลยนะครับเมื่อรู้ว่าว่าพ่อแม่ของผมก็เคยเป็นเดียรัจฉานมาก่อน ดาร์วินคงภูมิใจมากที่รู้ว่าต้นตระกูลของเค้าเป็นแค่ลิงเจี๊ยกๆ" แล้วจะนั้นก้เงียบกันทั้งห้อง พอออกห้องมีคนมองด้วยสายตาขุ่นๆ สงสัยเราไปแทงใจดำเข้าอ่ะ อิอิ

ไม่ทราบว่าผมพูดแรงเกินไปหรือเปล่า และผมมีอคติกับวิชาปรัญชา สังคมวิทยา ฯลฯ พวกเขามองความจริงของคริสตศาสนา เป็นแค่นิทานสอนใจ เป็นแค่ศาสนาหนึ่ง แล้วใช้เปรียบเทียบกับศาสนาอื่นๆ ทั้งที่ของเราเป็น "ความจริง" ไม่ใช่แค่ศาสนาที่มีกุศโลบายหลอกให้คนทำความดี เพียงเพื่อขึ้นสวรรค์ เซงมาก แต่ต้องเรียนอ่ะ 
น้องเรียนวิชาเอกอะไรเหรอครับ  ::001::
วิชาเอกหรือครับ ?? คือว่าวิชานี้เขาบังคับใน นศ.แพทย์ ปี 1 ลงอ่ะครับ เพื่อที่จะได้เข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้น ประมาณว่าจะได้เข้าใจคนไข้มากขึ้นอ่ะครับ (อะไรประมาณนี้)
ปล.ยังมีวิชาสังคมวิยาและมานุษยวิทยา อีกตัว... อันนี้ไม่รู้เรียนไปเพื่อ?? ผมคิดว่าไร้สาระครับ คิดว่าไม่ได้ประโยชน์เลย ถ้าพี่ๆคนไหนเรียนอะไรแนวๆนี้อยู่ ก็ขออภัยที่นะครับ ช่วยอธิบายหน่อยก้ดีครับว่าแก่นของมันคืออะไร
แก้ไขล่าสุดโดย Zaliaus เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 2:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 2:55 pm

ปล.ยังมีวิชาสังคมวิยาและมานุษยวิทยา อีกตัว... อันนี้ไม่รู้เรียนไปเพื่อ?? ผมคิดว่าไร้สาระครับ คิดว่าไม่ได้ประโยชน์เลย ถ้าพี่ๆคนไหนเรียนอะไรแนวๆนี้อยู่ ก็ขออภัยที่นะครับ ช่วยอธิบายหน่อยก้ดีครับว่าแก่นของมันคืออะไร
เรียนเพื่อเข้าใจที่มาที่ไปของคนและบริบทในการก่อให้เกิดพฤติกรรมต่างๆ เท่าที่จำได้วิชาในสายนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์มีเพียงบรรณารักษ์ศาสตร์เท่านั้นที่เป็นวิชาชีพ ส่วนที่เหลือไม่ใช่วิชาชีพครับ วิชาพวกนี้เรียนเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในความเป็นมนุษย์โดยอาศัยการสังเกตุ บันทึก เก็บสถิติ เป็นมารดาของศาสตร์อีกหลายๆศาสตร์ครับ ถ้าลงลึกๆจะเห็นว่ามีวิชาที่แตกย่อยลงไปอีกมากมายเช่น สังคมวิทยาศาสนา สังคมวิทยาการเมือง สังคมวิทยาชนกลุ่มน้อย ฯลฯ

ทีนี้ระบบการเรียนการสอนปัจจุบันมุ่งเน้นการผลิตบุคลากรเพื่อป้อนกล่อง(ออฟฟิต)ทุนนิยม วิชาเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจหรือเพื่อเสริมสร้างศิลปในการดำรงชีวิต หรือวิชาที่เกี่ยวข้องกับสุนทรีย์จึงค่อยๆลดความสำคัญลงไป อันเป็นที่มาของคำว่า
อันนี้ไม่รู้เรียนไปเพื่อ?? ผมคิดว่าไร้สาระครับ คิดว่าไม่ได้ประโยชน์เลย
ไม่ใช่แต่น้องคนเดียวหรอกทีคิดอย่างนี้ พวกสายวิทยาศาสตร์ บริหาร และอีกหลายๆสายมัก (เน้นนะครับว่า "มัก" ไม่ได้เหมารวมทั้งหมด) ไม่ชอบและออกแนวรังเกียจวิชาสายนี้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วสำหรับทุนนิยมมันมีประโยชน์มากในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค
ถ้าเรียนหมอ แล้วไม่เข้าใจวิธีคิดของคนไข้ หรือที่มาที่ไปของวิธีคิดอันมาจากสภาพสังคมก็ดี ปูมหลังก็ดี หมอจะวิเคราะห์คนไข้ได้ตรงเหรอ อย่างเช่นคนไข้โดยทั่วไปกลัวหมอ ทั้งกลัวในเชิงกายภาพ คือกลัวเจ็บกลัวปวด กลัวเข็มกลัวกินยา และก็ยังมีอีกที่กลัวเพราะมองในแง่ชั้นของสังคม เกิดอาการเกรงใจหมอไม่อยากบอกโรคที่ตัวเองเป็นทั้งหมด ไม่กล้าบอกเพราะกลัวหมอจะหาว่าล้าหลัง หรืองมงาย (การแพทย์สมัยใหม่ที่ยังไม่ยอมรับการแพทย์แผนไทยมีมากกว่าที่ยอมรับ) พวกนี้นอกจากจะมองจากจิตวิทยาซึ่งคิดว่าน้องคงจะได้เรียนอยู่เหมือนกันแล้ว การมองจากมุมมองของมานุษยและสังคมวิทยาก็ช่วยให้มีความทะลุปรุโปร่งได้ดียิ่งๆขึ้นด้วยครับ

ลองเปลี่ยนทรรศนคติดูนะครับ แล้วจะเห็นว่าโลกมันน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย

จากพี่ผู้เรียนสังคมและมานุษยวิทยารามคำแหง
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 3:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 3:13 pm

ขอบคุณครับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีอ่ะ ผมว่าเราไปวัดฟังคุณพ่อเทศน์ หรือ เอาพระสงฆ์พุทธมาเทศน์ให้ฟัง จะได้ผลดีกว่าอีก ใช้ศาสนาเข้าช่วยเลยอ่ะ ดีที่สุด 
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 3:30 pm

Zaliaus เขียน: ขอบคุณครับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีอ่ะ ผมว่าเราไปวัดฟังคุณพ่อเทศน์ หรือ เอาพระสงฆ์พุทธมาเทศน์ให้ฟัง จะได้ผลดีกว่าอีก ใช้ศาสนาเข้าช่วยเลยอ่ะ ดีที่สุด   
คนเราไม่ได้มีแต่มิติของศาสนานะครับ ศาสนาทำให้เราใจกว้างมีความรัก ศาสตร์ต่างๆทำให้เราเรียนรู้และเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น
ถ้าเอาพระพุทธมาเทศน์ให้ฟังพระบอกว่าฆ่าสัตว์บาป แต่พระคริสต์บอกไม่บาปตรงนี้จะให้เข้าใจยังไงถ้าต่างคนต่างมอง ตรงนี้สังคมวิทยาช่วยให้มองได้ดีขึ้น หรือไทยภาคกลางไม่กินหมา ไทถิ่นบางที่กินหมา เกาหลีกินหมา ฝรั่งไม่กินหมา มันเป็นเรืองเป็นราวกันมาแล้วนะครับ ศาสนาให้เรารักและเข้าใจเขา แต่จะรักยังไงถ้าคิดว่าก็ฉันไม่กินมันยี้ เอาอย่างทางพุทธบางถิ่นเขาเชื่อว่าฆ่าแมวเหมือนฆ่าเณรคนหนึ่ง แล้วจะไปบอกพวกผู้บ่าวกินแมวได้อย่างไร เอาศาสนาไปอธิบายเพื่อให้เขามาเป็นเหมือนเรา?
คือผมว่ามันน่าจะอย่างนี้นะ ศาสนาคือเข็มทิศในชีวิตของเรา หรือสิ่งที่ช่วยจรรโลงใจหรือสิ่งยึดเหนี่ยวของเราทุกคน แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแล้วเราต้องแปรศาสนามาสู่การปฏิบัติซึ่งวิชาพวกนี้จะช่วยให้เราเข้าใจกันยิ่งขึ้น และมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่ศาสนาสอนคืออะไร

จากประสบการณ์ในการเป็นล่ามมาหลายปีอยู่เหมือนกันผมยึดคติบุคคลใดสร้างสันติบุคคลนั้นเป็นสุข(เวลาเป็นล่ามต้องพยายามที่สุดให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกัน ไม่ให้รบกัน หรือถ้ารบกันแล้วเขาต้องการหาข้อสรุปเราต้องช่วยให้เขาบรรลุข้อตกลงที่พอใจทั้งสองฝ่าย) และอธิษฐานเสมอให้ทั้งสองฝ่ายคุยกันดีๆ ให้ผมมีความเข้าใจทั้งสองฝ่ายอย่างดีพอเพื่อจะได้ถ่ายทอดออกมาได้ถูกต้องตรงที่ทั้งสองฝ่ายต้องการ ถ้าอธิษฐานดีพอ ระลึกถึงข้อพระคัมภีร์ที่ใช้เป็นหลักได้ดีพอ บ่อยครั้งที่ผมพบว่าผมนึกสิ่งที่เรียนๆมา หรือสิ่งที่ผมได้ประสบมาจากการสังเกตุหรือสัมผัสซึ่งเป็นวิธีการทางมานุษยและสังคมวิทยาขึ้นมาได้ และทำให้งานผ่านไปด้วยดี

นะครับ อย่าเพิ่งรังเกียจรังงอนวิชานี้นะ มีประโยชน์เยอะจริงๆนะ
ถ้าไม่ผิด น้องน่าจะเป็นคนกรุงเทพเกิดหรือโตในกรุงเทพหรือเมืองใหญ่ หรือในย่านการค้าหรือเปล่าครับ ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 4:03 pm

หุหุ มะใช่ครับ ผมเรียนที่ ม.เชียงใหม่ครับ
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ หวังว่าผมจะเข้าใจอะไรมากกว่านี้ (อย่างน้อยก็พยายามเพื่อเกรดครับ)
อันตน
~@
โพสต์: 4164
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 06, 2005 6:50 pm
ที่อยู่: ภูเก็ต

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 4:05 pm

Zaliaus เขียน: หุหุ มะใช่ครับ ผมเรียนที่ ม.เชียงใหม่ครับ
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ หวังว่าผมจะเข้าใจอะไรมากกว่านี้ (อย่างน้อยก็พยายามเพื่อเกรดครับ)
ว้าแย่จัง เดาผิด
ภาพประจำตัวสมาชิก
~*Little`Child*~
~@
โพสต์: 202
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 11:52 pm

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 4:16 pm

วิชานี้ก็เป็นวิชาพื้นฐานของที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เหมือนกันนะคะ...

เรียนละเอียดเยอะแยะไปหมดเลยละ

มี "ป้าลูซี่" ด้วย ละ!!!
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 6:29 pm

~*Little`Child*~ เขียน: มี "ป้าลูซี่" ด้วย ละ!!!
แหงะ ไม่เข้าใจ ::010::
Dis volentibus

พฤหัสฯ. มิ.ย. 28, 2007 6:34 pm

Batholomew เขียน:
~*Little`Child*~ เขียน: มี "ป้าลูซี่" ด้วย ละ!!!
แหงะ ไม่เข้าใจ ::010::
ลูซิเเฟร์มั๊งคะ เเห่ะๆ ::010::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nano Lamp
โพสต์: 98
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 11, 2006 1:02 pm
ที่อยู่: Chiangmai

อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 2:25 pm

Zaliaus เขียน: หุหุ มะใช่ครับ ผมเรียนที่ ม.เชียงใหม่ครับ
ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นครับ หวังว่าผมจะเข้าใจอะไรมากกว่านี้ (อย่างน้อยก็พยายามเพื่อเกรดครับ)
โอ๊ะ เรียนหมอ มช. เหรอครับ
ผมอยู่บนดอย เชียงใหม่เหมียนกัน
แต่ไม่ได้จบ มช. นะ  :grin:
ภาพประจำตัวสมาชิก
~*Little`Child*~
~@
โพสต์: 202
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 11:52 pm

จันทร์ ก.ค. 02, 2007 10:32 am

Batholomew เขียน:
~*Little`Child*~ เขียน: มี "ป้าลูซี่" ด้วย ละ!!!
แหงะ ไม่เข้าใจ ::010::
" ป้าลูซี่ "

ที่นักวิทยาศาสตร์จำลองขึ้นมา เพื่อยืนยัน วิวัฒนาการจากลิงมาเป็นมนุษย์คะ

หน้ายังเป็นลิงกึ่งคน -*- เริ่มยืนสองขา ตัวไม่โน้มไปด้านหน้า

ด้านหน้าผากเริ่มนูนขึ้นไม่แบน  แสดงถึงสมองที่ใหญ่ขึ้น...

แล้วเป็นเพศเมีย จึงตั้งชื่อไว้ว่า " Lucy "

ที่พิพิธภัณท์วิทยาศาสตร์....ที่เมืองไทย ได้ทำแบบจำลองขนาดเท่าตัวจิงมาตั้งไว้

แล้วก็จะมีวิทยากร เดินแนะนำเด็กๆ เวลาไปดูงาน

ก็จะบอกเด็กๆ " เด็กๆจ๊ะ นี่ป้าลูซี่...บรพพบุรุษของเรา !!! "  : xemo033 :

ตอนได้ไปครั้งแรก ....จิงหรอคะ... : emo036 :



เข้าใจมั้ยอะคะ ??? ไม่รู้อธิบายรู้เรื่องมั้ย

ขอโทษด้วยนะคะ  : xemo031 :
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:41 pm

เข้าใจแล้วครับ : xemo017 :
ตอบกลับโพส