...ภาษาที่พระเป็นเจ้าทรงใช้สร้างสิ่งมีชีวิต...
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 17, 2007 1:30 am
ภาษาของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องการสร้างโลก -- พระเป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างให้บังเกิดขึ้นด้วยพระวาจาที่ตรัสสั่ง "พระเป็นเจ้าทรงตรัส" (ปฐ.1:1-30) -แล้วทุกสิ่งก็บังเกิดขึ้นตามพระวาจานั้น พระวรสารโดยนักบุญยอห์นก็เริ่มต้นว่า
"แต่ปฐมกาล, พระวจนาตถ์ (พระวาจา) ก็ทรงมีอยู่แล้ว พระองค์อยู่ในพระเป็นเจ้า และพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าด้วย พระองค์อยู่ในพระเป็นเจ้าตั้งปฐมกาลแล้ว พระวจนาตถ์ (พระวาจา) ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีขึ้นโดยที่พระองค์มิได้ทรงสร้าง"(ยน. 1: 1-5)
กาลเวลาต่อมา, นักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นถอดรหัสพันธุกรรม(DNA) ของมนุษย์ และได้พบกับบางสิ่งที่ไม่ได้คาดฝัน - "ภาษา" ของพันธุกรรมที่ประกอบด้วยอักษรพันธุกรรมถึง 3 พันล้านตัวอักษร ถือเป็น "การค้นพบที่มหัศจรรย์สุดยอดของศตวรรษที่ 20 "

1866 Gregor Mendel, พระสงฆ์ชาวออสเตรีย, นำเสนอเรื่องของหน่วยพันธุกรรมและให้ชื่อมันว่า "factors" ซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดลักษณะต่างๆจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน ต่อมาหน่วยพันธุกรรมนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "genes." ใน genes ประกอบด้วย DNA

โมเลกุล DNA เป็นตัวนำภาษาพันธุกรรม ตัวมันเองไม่ใช่ข้อมูลแต่เป็นที่สำหรับบรรจุข้อมูล ข้อมูลของรหัสแห่งชีวิตนี้มิความสลับซับซ้อนและข้อมูลที่จำเพาะเจาะจงในการสร้างโปรตีนของอวัยวะทุกส่วน การสร้างสรรค์นี้เป็นสิ่งที่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ ข้อมูลขั้นสูงนี้ย่อมมีแหล่งกำเนิดมาจากสติปํญญาที่ชาญฉลาดเท่านั้น และรหัสอันเป็นภาษาของDNAนั้นมีอยู่ในเซลทุกเซลของมนุษย์
วิทยาศาสตร์และศาสนามาบรรจบพบกันที่ตรงนี้ พระวาจาของพระเจ้าที่ทรงตรัสในการสร้างมนุษย์อันปรากฏในพระคัมภีร์ได้เป็นรูปธรรมที่เห็นได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของรหัสพันธุกรรมใน DNA รหัสพันธุกรรมคือคำสั่งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งให้บังเกิดสิ่งมีชีวิต และพระวาจาของพระเจ้ายังคงสร้างสรรพสิ่งอยู่ตลอดเวลา พระวาจานั้นอยู่ในเซลทุกเซลของมนุษย์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวาจานั้น หากปราศจากพระวาจานั้น,มนุษย์ก็จะต้องตาย
พระเป็นเจ้าทรงกระทำดังนี้เป็นที่ประหลาดอัศจรรย์ในสายตาของเรา (มธ.21.42-43)
พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและทรงซ่อนเร้นวิธีการของพระองค์ไว้ในความลึกลับของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะศึกษาค้นคว้าเปิดเผยความลึกลับนั้นให้เป็นที่กระจ่างแจ้ง พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าคือการปกปิดซ่อนเร้น ส่วนความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์คือการอธิบายสิ่งต่างๆให้เป็นที่ปรากฏแจ้ง"(สุภาษิต.25.2-3) พระคัมภีร์ยกย่องผู้ที่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่ปกปิดซ่อนเร้นว่าเป็นผู้มีอำนาจเหมือนดังพระมหากษัตริย์
ในยุคการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์, นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาโครงสร้างในธรรมชาติหลายคนมีความเชื่อมั่นว่า ระเบียบแบบแผนที่ปรากฏในธรรมชาตินั้นจำเป็นต้องมีเหตุมาจากปรีชาญาณ. ไอแซค นิวตันประกาศในหนังสือที่ท่านแต่งว่า "ระบบแบบแผนอันสวยงามน่าพิศวงของ ดวงอาทิตย์, ดวงดาว และดาวหาง นั้นจะกำเนิดขึ้นมาได้จำเป็นต้องมาจากผู้ทรงปัญญาและทรงฤทธานุภาพเท่านั้น"( "this most beautiful system of the sun, planets, and comets, could only proceed from the counsel and dominion of an intelligent and powerful Being." 1)
รหัสพันธุกรรมใน DNA เป็น "ภาษา" ที่สื่อสารและส่งข้อมูลให้แก่เซล. เซลมีความสลับซับซ้อนมาก. มันจะใช้ข้อมูลคำสั่งมากมายเพื่อควบคุมการทำงานทุกอย่าง. ข้อมูลในDNA มีปริมาณมหาศาล,แม้แต่ในแบคทีเรียเล็กๆเช่น E. coli, ก็มีปริมาณข้อมูลมากกว่าสมุดหนังสือทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้. DNA มีความสลับซับซ้อนแต่แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง. "อักษร" ที่เรียงเป็นภาษาคำสั่งของข้อมูลต้องเรียงตัวได้อย่างถูกต้องแน่นอนที่สุด. เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมา, โครงสร้างของเซลก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งนั่นจะทำให้เซลเกิดการผ่าเหล่าหรือตาย
WASHINGTON, June 26 2000- นักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มได้ประสานงานกันในการถอดรหัสพันธุกรรม, ซึ่งเป็นชุดข้อมูลคำสั่งที่ใช้ในการสร้างอวัยวะของมนุษย์, จนประสบผลสำเร็จ ประธานาธิบดี คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ไวท์เฮาส์ต่อหน้าทีมนักวิจัยสองทีมนี้ "ในวันนี้เรากำลังเรียนรู้ภาษาที่พระเป็นเจ้าทรงใช้สร้างสิ่งมีชีวิต"
"Today we are learning the language in which God created life,"

ข้างบน, Dr. Francis Collins และ J. Craig Venter อยู่กับประธานาธิบดี บิล คลินตัน ที่ไวท์เฮาส์ เมื่อวันจันทร์เพื่อประกาศความสำเร็จในการถอดรหัสต้นฉบับของพันธุกรรมมนุษย์
( ข้อคิด : ในพระคัมภีร์มีพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่สั่งสอนและให้ชีวิตนิรันดรแก่เรา การศึกษาหาความรู้ในวิชาการต่างๆนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ จำเป็นที่เราต้องศึกษาพระวาจาของพระเป็นเจ้า, นำไปไตร่ตรองและปฏิบัติเพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดรด้วย )
--------------------------------------------------------------------------------
1. Isaac Newton, [1687], 1952. "General Scholium," Mathematical Principles of Natural Philosophy, Chicago: Great Books of the Western World. R.M. Hutchins, ed., p. 369
http://uk.geocities.com/palangjai2004/DNA4.html
ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องการสร้างโลก -- พระเป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งต่างให้บังเกิดขึ้นด้วยพระวาจาที่ตรัสสั่ง "พระเป็นเจ้าทรงตรัส" (ปฐ.1:1-30) -แล้วทุกสิ่งก็บังเกิดขึ้นตามพระวาจานั้น พระวรสารโดยนักบุญยอห์นก็เริ่มต้นว่า
"แต่ปฐมกาล, พระวจนาตถ์ (พระวาจา) ก็ทรงมีอยู่แล้ว พระองค์อยู่ในพระเป็นเจ้า และพระองค์เป็นพระเป็นเจ้าด้วย พระองค์อยู่ในพระเป็นเจ้าตั้งปฐมกาลแล้ว พระวจนาตถ์ (พระวาจา) ทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีขึ้นโดยที่พระองค์มิได้ทรงสร้าง"(ยน. 1: 1-5)
กาลเวลาต่อมา, นักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นถอดรหัสพันธุกรรม(DNA) ของมนุษย์ และได้พบกับบางสิ่งที่ไม่ได้คาดฝัน - "ภาษา" ของพันธุกรรมที่ประกอบด้วยอักษรพันธุกรรมถึง 3 พันล้านตัวอักษร ถือเป็น "การค้นพบที่มหัศจรรย์สุดยอดของศตวรรษที่ 20 "

1866 Gregor Mendel, พระสงฆ์ชาวออสเตรีย, นำเสนอเรื่องของหน่วยพันธุกรรมและให้ชื่อมันว่า "factors" ซึ่งเป็นตัวถ่ายทอดลักษณะต่างๆจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน ต่อมาหน่วยพันธุกรรมนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น "genes." ใน genes ประกอบด้วย DNA
โมเลกุล DNA เป็นตัวนำภาษาพันธุกรรม ตัวมันเองไม่ใช่ข้อมูลแต่เป็นที่สำหรับบรรจุข้อมูล ข้อมูลของรหัสแห่งชีวิตนี้มิความสลับซับซ้อนและข้อมูลที่จำเพาะเจาะจงในการสร้างโปรตีนของอวัยวะทุกส่วน การสร้างสรรค์นี้เป็นสิ่งที่นอกเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะทำได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นโดยความบังเอิญ ข้อมูลขั้นสูงนี้ย่อมมีแหล่งกำเนิดมาจากสติปํญญาที่ชาญฉลาดเท่านั้น และรหัสอันเป็นภาษาของDNAนั้นมีอยู่ในเซลทุกเซลของมนุษย์
วิทยาศาสตร์และศาสนามาบรรจบพบกันที่ตรงนี้ พระวาจาของพระเจ้าที่ทรงตรัสในการสร้างมนุษย์อันปรากฏในพระคัมภีร์ได้เป็นรูปธรรมที่เห็นได้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องของรหัสพันธุกรรมใน DNA รหัสพันธุกรรมคือคำสั่งที่พระเจ้าทรงตรัสสั่งให้บังเกิดสิ่งมีชีวิต และพระวาจาของพระเจ้ายังคงสร้างสรรพสิ่งอยู่ตลอดเวลา พระวาจานั้นอยู่ในเซลทุกเซลของมนุษย์ มนุษย์มีชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวาจานั้น หากปราศจากพระวาจานั้น,มนุษย์ก็จะต้องตาย
พระเป็นเจ้าทรงกระทำดังนี้เป็นที่ประหลาดอัศจรรย์ในสายตาของเรา (มธ.21.42-43)
พระเป็นเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งและทรงซ่อนเร้นวิธีการของพระองค์ไว้ในความลึกลับของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะศึกษาค้นคว้าเปิดเผยความลึกลับนั้นให้เป็นที่กระจ่างแจ้ง พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าคือการปกปิดซ่อนเร้น ส่วนความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์คือการอธิบายสิ่งต่างๆให้เป็นที่ปรากฏแจ้ง"(สุภาษิต.25.2-3) พระคัมภีร์ยกย่องผู้ที่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆที่ปกปิดซ่อนเร้นว่าเป็นผู้มีอำนาจเหมือนดังพระมหากษัตริย์
ในยุคการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์, นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาโครงสร้างในธรรมชาติหลายคนมีความเชื่อมั่นว่า ระเบียบแบบแผนที่ปรากฏในธรรมชาตินั้นจำเป็นต้องมีเหตุมาจากปรีชาญาณ. ไอแซค นิวตันประกาศในหนังสือที่ท่านแต่งว่า "ระบบแบบแผนอันสวยงามน่าพิศวงของ ดวงอาทิตย์, ดวงดาว และดาวหาง นั้นจะกำเนิดขึ้นมาได้จำเป็นต้องมาจากผู้ทรงปัญญาและทรงฤทธานุภาพเท่านั้น"( "this most beautiful system of the sun, planets, and comets, could only proceed from the counsel and dominion of an intelligent and powerful Being." 1)
รหัสพันธุกรรมใน DNA เป็น "ภาษา" ที่สื่อสารและส่งข้อมูลให้แก่เซล. เซลมีความสลับซับซ้อนมาก. มันจะใช้ข้อมูลคำสั่งมากมายเพื่อควบคุมการทำงานทุกอย่าง. ข้อมูลในDNA มีปริมาณมหาศาล,แม้แต่ในแบคทีเรียเล็กๆเช่น E. coli, ก็มีปริมาณข้อมูลมากกว่าสมุดหนังสือทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้. DNA มีความสลับซับซ้อนแต่แม่นยำเป็นอย่างยิ่ง. "อักษร" ที่เรียงเป็นภาษาคำสั่งของข้อมูลต้องเรียงตัวได้อย่างถูกต้องแน่นอนที่สุด. เพราะถ้าผิดพลาดขึ้นมา, โครงสร้างของเซลก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งนั่นจะทำให้เซลเกิดการผ่าเหล่าหรือตาย
WASHINGTON, June 26 2000- นักวิทยาศาสตร์สองกลุ่มได้ประสานงานกันในการถอดรหัสพันธุกรรม, ซึ่งเป็นชุดข้อมูลคำสั่งที่ใช้ในการสร้างอวัยวะของมนุษย์, จนประสบผลสำเร็จ ประธานาธิบดี คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกาได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ไวท์เฮาส์ต่อหน้าทีมนักวิจัยสองทีมนี้ "ในวันนี้เรากำลังเรียนรู้ภาษาที่พระเป็นเจ้าทรงใช้สร้างสิ่งมีชีวิต"
"Today we are learning the language in which God created life,"

ข้างบน, Dr. Francis Collins และ J. Craig Venter อยู่กับประธานาธิบดี บิล คลินตัน ที่ไวท์เฮาส์ เมื่อวันจันทร์เพื่อประกาศความสำเร็จในการถอดรหัสต้นฉบับของพันธุกรรมมนุษย์
( ข้อคิด : ในพระคัมภีร์มีพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่สั่งสอนและให้ชีวิตนิรันดรแก่เรา การศึกษาหาความรู้ในวิชาการต่างๆนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอ จำเป็นที่เราต้องศึกษาพระวาจาของพระเป็นเจ้า, นำไปไตร่ตรองและปฏิบัติเพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดรด้วย )
--------------------------------------------------------------------------------
1. Isaac Newton, [1687], 1952. "General Scholium," Mathematical Principles of Natural Philosophy, Chicago: Great Books of the Western World. R.M. Hutchins, ed., p. 369
http://uk.geocities.com/palangjai2004/DNA4.html