ประวัติความเป็นมาของศีลอภัยบาปโดยสังเขป
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 06, 2007 4:02 pm
ศีลอภัยบาป
โดย สำราญ วงศ์เสงี่ยม
จากหนังสือแสงธรรมปริทัศน์ ราย 4 เดือน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน
ประวัติความเป็นมาของศีลอภัยบาปโดยสังเขป
การถือปฏิบัติในสมัยอัครสาวกและศตวรรษแรก ๆ ( ที่ 1-2 )
จากหลักฐานในพระวรสารเอง เราพอจะมองเห็นการถือปฏิบัติศีลอภัยบาปในสมัยเริ่มแรก
นี้ พระศาสนจักรในสมัยอัครสาวกได้รับรู้ว่าตัวเองทำบาป และมีการอภัยให้แก่พี่น้องคริสตชนที่
กระทำผิด การรู้ตัวเช่นนี้กระทำให้บรรดาสมาชิกต่างพยายามหนีบาปโดยตั้งใจเป็นตัวอย่างที่ดีแก่
กันและกัน ตักเตือน และภาวนาให้แก่กัน การกลับใจและการ “คืนดี” ของคริสตชนที่กระทำผิดใน
สมัยนั้น มีวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่ 2 แบบคือ แบบที่หนึ่ง เป็นการว่ากล่าวตักเตือนแบบพี่
น้อง การภาวนาในที่ประชุมและการสารภาพผิดต่อพี่น้อง แบบที่สอง ซึ่งใช้ถือปฏิบัติในกรณีที่เป็น
ความผิดขั้นอุกฉกรรจ์ และเป็นบาปประเภทที่เรียกว่า บาป “เปิดเผย” ( ฆ่าคน – มีชู้-ผิดประเวณี-
ละทิ้งศาสนา) มีการปฏิบัติที่มีพิธีรีตองมากกว่าแบบแรกมาก ประกอบด้วย 2 วาระคือ วาระแรก
แยกคนบาปออกจากสังคมคริสตชน ด้วยกลัวว่าเขาอาจทำให้สังคมคริสตชนทั้งกลุ่มเสียหาย พร้อม
กันนั้นก็แก้ไขและตักเตือนในกลับใจ วาระต่อมาคือการ “คืนดี” ( กับพระเจ้าและศาสนจักร)
พร้อมกันรับเข้ามาอยู่ในสังคมคริสตชนเสียใหม่ เมื่อแน่ใจว่า เขาผู้นั้นกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว
การถือปฏิบัติเรื่องศีลอภัยบาปนี้ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักร ถือว่าเกี่ยวข้องกับ
สมาชิกพระศาสนจักรทั้งกลุ่ม โดยมีผู้อภิบาลสัตบุรุษ ( อัครสาวกและผู้สือบต่อ) ผู้ที่ได้รับหน้าที่
พิเศษเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง พระวรสารโดยนักบุญมัทธิว 16, 18 -19 และ 18,18 และโดยนักบุญ
ยอห์น 22,3 ต่างอ้างเป้นพยานยืนยันว่าการถือปฏิบิตเช่นนี้ เป็นพระประสงค์ของพระคริสตเจ้า ผู้
มอบอำนาจการอภัยบาปคริสตชนที่กระทำผิดแก่พระศาสนจักรของพระองค์ ซึ่งมีผู้อภิบาลสัตบุรุษ
( อัครสาวกและผู้สืบต่อ ) เป็นหัวหน้า โดยตั้งเงื่อนไขบางประการให้คนบาปถือปฏิบัติ เพื่อเป็น
เครื่องชี้และเป็นหลักประกันว่า พวกเขากลับใจแล้วจริง ๆ
ต่อมาในสมัยอัครสาวก พระศาสนจักรสมัยแรก ๆ คือ ศตวรรษที่ 1-2 เราพบหลักฐานใน
หนังสือ Didache( เขียนราว ค.ศ. 150 ) ว่า
“ในวันพระเจ้า ทุกคนต่างมาร่วมชุมนุมกัน บิขนมปังและกล่าวคำขอบพระคุณพระเจ้า (
ร่วมถวายบูชามิสซา – ผู้เขียน ) หลังจากที่พวกท่านสารภาพผิดแล้ว การถวายบูชาของท่านจึงจะ
สะอาดบริสุทธิ์ ใครก็ตามที่มีข้อผิดพ้องหมองใจกับพี่น้อง อย่าให้มาร่วมในที่ประชุมกับพวกท่าน
จนกว่าจะคืนดี กันเสียก่อน เพื่อมิให้การถวายบูชาของท่านมีราคี”
เห็นได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งสอนและวิธีการของอัครสาวกนั่นเอง ว่า “การคืนดี”
หรือศีลอภัยบาปเป็นเงื่อนไขจำเป็นข้อแรกเพื่อให้คำภาวนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีศีลมหาสนิท
เป็นไปอย่างเหมาะสมและแท้จริง
สรุปการถือปฏิบัติของคริสตชนสมัยดั้งเดิมคือ คนบาปต้องเป็นทุกข์เสียใจและรับรู้ว่า
ตัวเองป็นคนบาปเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า และต่อหน้าชุมชนคริสตัง พระศาสนจักรทั้งครบ ไม่
ว่าผู้มีอำนาจปกครองหรือสัตบุรุษต่างภาวนาพร้อมกัน ต่อจากนั้นเป็นการร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายใน
การแก้ไขความผิดพลาด และการอภัยบาปของสมณะเป็นขั้นสุดท้าย
การถือปฏิบิตในสมัยต่อ ๆ มา
อาจกล่าวได้ว่าพระศาสนจักรถือปฏิบัติเรื่องนี้แตกต่างกันไปเป็น 4 ระยะด้วยกันคือ
1. ระยะแรก ศตวรรษที่ 2- 3 พระศาสนจักรตระหนักว่ามีคนทำบาปหนักในพระศาสนจักร จึง
หาวิธีการให้มีการปลดเปลื้องแก้ไข
2. ระยะ 2 ศตรวรรษที่ 3-4 และ 5-6 เป็นระยะแห่งการคืนดีมีสันติภาพของคนบาปหนักกับ
พระศาสนจักร
3. ระยะ 3 ศตวรรษที่ 7 มีศีลอภัยบาป “ส่วนตัว” ( แก้บาปทีละคน หรือ ตัวต่อตัว )
4. ระยะ 4 การค้นหากฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวในสังคายนาแห่งเตรนโต ( ค.ศ.1551 )
ระยะแรก ศตวรรษที่ 2- 3
ในศตวรรษที่ 2- 3 นี้ เป็นสมัยแห่งการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงและโหด*****ม
ที่สุด คริสตังบางคนทนการถูกทรมานไม่ได้ ได้ละทิ้งพระศาสนาไป ( อาโปสตาตา ) พระศาสน
จักรพยายามหาวิธีการอภัยบาปขึ้น แต่ก็ยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว หลักฐานที่พออ้างอิงได้
คือ Didascalia Apostolorum ( เขียนที่ซีเรียเหนือ ราว ค.ศ 220 ) สรุปได้ดังนี้
1. บาปทุกประการมีการแก้ไขอภัยได้
2. สังฆราชปกมือเหนือคนบาป ( เพื่ออภัยบาป ) มีสังฆานุกรอยู่ใกล้ชิด
การบัพพาชนีกรรม ( ถูกตัดขาดจากสังคมพระศาสนจักร ) ถือเป็นการ “เยียวยา” จนกว่าจะ
เห็นว่าคนบาปเป็นทุกข์เสียใจและใช้โทษบาปมานานพอสมควร
ระยะ 2 ศตวรรษที่ 3-4 และ 5-6
ในศตวรรษที่ 3-4 มีมิจจาทิษฐิ ( เฮเรติก )เกิดขึ้นมากมาย ( เช่น Donatism ,
Arianism, Montanism , Novatianism เป็นต้น ) พระศาสนจักรก็ยิ่งเข้มงวดกับ
คนบาปมากขึ้น การโปรดอภัยบาป ย่อมโปรดเป็นทางการต่อหน้าสาธารณชน และการ “คืนดี”
ย่อมกระทำอย่างเป็นพิธีรีตองเสมอ ( Canonical penitence ) แม้ว่าบางกรณีคนบาปจะมา
สารภาพผิดต่อพระสังฆราชเป็นการส่วนตัวแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันหรือ “เยียวยา” บาปประเภท
มิจฉาทิฐินี้เป็นต้น พระศาสนจักรเคร่งครัดถึงกับหลังจากคนบาปกลับใจแล้ว ยังถูกจำกัดสิทธิหลาย
อย่างไปจนตลอดชีวิต เช่น ทำงานประเภทบริการประชาชน ( Public service ) ไม่ได้ ฝ่าย
สามีหรือภรรยาตายแล้ว จะแต่งงานอีกหนไม่ได้ รับศีลมหาสนิทในเวลามิสซาไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
ผลที่ตามมาคือ หลายคนหมดความอดทน ทิ้งวัดไปเลยก็มี
ในศตวรรษที่ 5-6
วิธีการปลดเปลื้องบาป มีแบบแผนอย่างมีพิธีรีตอง ในวันพุธศักดิ์สิทธิ์คน
บาปประเภทบาป “เปิดเผย” ( ฆ่าคน มีชู้ ผิดประเวณี ละทิ้งศาสนา) จะถูกนำออกมาจากคุก เพื่อทำ
พิธี “คืนดี” กับพระศาสนจักร ( เห็นได้ว่าสมัยนั้นการเมืองกับศาสนายังปะปนกันอยู่ ) ในวัน
พฤหัส ฯ ศักดิ์สิทธิ์ คนบาปจะถูกนำตัวมากราบจรดพื้นหน้าพระสังฆราช สังฆานุกรจะกล่าวนำพิธี
ถึงวันเวลาแห่งความรอด ความตาย – ชีวิต ความยินดีของพระศาสนจักรที่มีคนกลับเข้ามาใหม่ นับ
ได้ว่าเป็นความเจริญของพระศาสนจักรเองกล่าวถึงการคืนดีซึ่งเกี่ยวกับกันศีลล้างบาป ต่อจากนั้น
พระสังฆราชกล่าวตักเตือนถึงความสุภาพ ความเมตตาของพระเจ้า ความหวังของคนบาป และกล่าว
คำภาวนา
สำหรับคนบาป จะต้องกระทำดังต่อไปนี้
- ภาวนา
- เป็นทุกข์เสียใจ และใช้โทษบาป
- ขอโทษ และขอคืนดีเข้าไปอยู่ในสังคมคริสตชนใหม่
- ไม่เพียงแต่ขอให้พระศาสนจักรอภัยบาป แต่ยังขอภาวนาอุทิศให้ด้วย
น่าสังเกตว่าพิธีอภัยบาปนี้ กระทำในระหว่างประกอบมหาบูชามิสซา โดยแทรกอยู่ในภาควจน
พิธีกรรมกับภาคเสกศีล ฯ
ระยะ 3 ศตวรรษที่ 7-13
ในราวศตวรรษที่ 7 -8 ได้มีวิธีการแก้บาปแบบ “ส่วนตัว” ( ทีละคนหรือตัวต่อตัว)
เกิดขึ้นในพระศาสนจักร อันมีกำเนิดมากการกฎที่ยกเว้นสำหรับพวกนักพรต ( ฤษี ) ว่าไม่ต้อง
ถือตามกฎการอภัยบาป “เปิดเผย” สำหรับสามัญชนทั่ว ๆ ไป
น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่าเมื่อพวกนักพรตทำบาปหนัก กิจใช้โทษบาปก็ไม่เหมือนกับคน
อื่น เช่นว่ามีการถอดถอนตำแหน่งหน้าที่ ( ตัวอย่างจากรองเจ้าอธิการมาเป็นคนทำสวน ) ดังนี้
เป็นต้น นอกจานักพรตแล้ว ยังมีพวกที่เรียกว่า “ผู้กลับใจ” ( conversi ) พวกนี้แม้จะไม่อยู่
ในอารามนักพรต แต่ก็ดำเนินชีพแบบนักพรตคือรักษาศีลพรหมจรรย์และบำเพ็ญตบะ พวก
เหล่านี้ได้รับการยกเว้นเช่นกันไม่ต้องถือตามกฎการอภัยบาปในที่สาธารณะอย่างเป็นพิธีรีตอง (
Cononical penitence ) การอภัยบาปและการใช้โทษบาปแบบส่วนตัวในอาราม
นักพรตได้ค่อย ๆ แพร่หลายนอกอาราม สืบเนื่องมาจากบรรดามิสชันนารีที่เป็นนักพรตนำ
วิธีการอภัยบาปแบบของตัวนี้ไปใช้ในดินแดนที่ประกาศสอนศาสนา เรียกการอภัยบาปแบบนี้
ว่า Tariff penitence ซึ่งมี
1. คนบาปสารภาพบาปส่วนตัว ตัวต่อตัว กับพระสงฆ์ ไม่ใช่กับพระสังฆราชและอย่างเปิดเผย
แบบ Canonical penitence.
2. พระสงฆ์ให้กิจใช้โทษบาปตามความหนักเบาของบาป ( ซึ่งเรียกว่า tariff = พิกัดอัตรา
ภาษี จึงเรียกว่า Tariff penitence ) กิจใช้โทษบาปแบบนี้ปกติมีการภาวนาหรือขอ
มิสซาเพื่ออภัยบาป.
3. เมื่อคนบาปทำกิจใช้โทษบาปดังกล่าวข้างต้นแล้ว กิจใช้โทษบาปหนัก ๆ แบบอื่นตามวิธี
อภัยบาปแบบ canonical penitence ( เช่นห้ามทำงานประเภทบริการประชาชน
รับศีลมหาสนิทในเวลามิสซาไม่ได้ ยืนเท้าเปล่าในฤดูหนาวหน้าวัดเวลามีการประกอบ
พิธีกรรม ) เป็นอันยกเลิก
4. เมื่อคนบาปพลาดพลั้งตกในบาปอีก ก็มาทำพิธีปลดเปลื้องบาปแบบนี้ได้อีก ( ซึ่งจะยากมาก
ถ้าเป็นกรณีอภัยบาปแบบ “เปิดเผย” หรือ Canonical penitence
ในศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา วิธีอภัยบาปมีอยู่ 2 แบบ ตามประเภทของบาป คือ ถ้าบาปประเภท
“เปิดเผย” ( ฆ่าคน มีชู้ ผิดประเวณี ละทิ้งศาสนา ) ก็ใช้วิธีอภัยบาป “เปิดเผย” หรือ
canonical penitence หากเป็นบาปประเภท “ลับเฉพาะ” หรือนอกเหนือไปจากบาป
“เปิดเผย” ก็ใช้วิธีอภัยบาปแบบ เฉพาะส่วนตัว หรือตัวต่อตัวกับพระสงฆ์
ในศตวรรษที่ 10
วิธีอภัยบาปแบบ “เปิดเผย” หรือ canonical penitence มีผิด
แผกกับแบบในศตวรรษที่ 5-6 อยู่บ้าง เช่นว่าพิธีหน้าประตูโบสถ์ พระสังฆราชเป็นผู้เรียกคน
บาปให้เดินเข้าไปหาท่าน ( เครื่องหมายแสดงถึงการเรียกและพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า )
พระสังฆราชพร้อมกับคนบาปต่างก้มกราบจรดพื้นดินเพื่อสารภาพบาปต่อพระเป็นเจ้า ( ความ
สุภาพถ่อมตัวของพระสังฆราช แม้ว่าจะอยู่ในฐานะหัวหน้าผู้แทนของชุมชนพระศาสนจักรก็
ตาม )
ในศตวรรษที่ 13
วิธีการอภัยบาปแบบ canonical penitence เป็นไปอย่าง
สลับซับซ้อน แต่ว่ามีพิธีรีตองภายนอกเหล่านั้น เน้นถึงบาปและเทวศาสตร์ว่าด้วยศีลอภัยบาป
อย่างมาก ( พระเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า การร่วมมือของคนบาปกับพระเป็นเจ้า การ
ร่วมมือของคนบาปกับพระเป็นเจ้าในการกลับใจ แสงสว่างแห่งปาสกา ซึ่งเป็นความหวังและ
ความยินดีที่จะได้กลับฟื้นคืนชีพในองค์พระคริสตเจ้า ฯลฯ )
ระยะ 4 สมัยสังคายนาแห่งเตรนโต ( ค.ศ. 1551 )
สังคายนาแห่งเตรนโต สมัยที่ 14 พูดถึงศีลอภัยบาป ( 1551 ) ประกาศว่า
- พระศาสนจักร อาศัยอำนาจพระเจ้า ( Divine law ) สามารถอภัยบาปได้ ( ต่อสู้พวกที่
ถือว่าพระสงฆ์ไม่ได้อภัยบาป ( absolution ) เพียงแต่ประกาศ ว่า บาปหลุดแล้วเท่านั้น
จากผลแห่งความเชื่อในพระสัญญาและพระวาจาพระเจ้า ( ไม่ได้มองพระศาสนจักรในแง่
เป็นพระคริสตเจ้า ที่แลเห็นเห็นได้สืบต่อมาในโลก ) ( ความจริงจะว่าพระศาสนจักรอาศัย
Divine law ในการอภัยบาปนั้น ถ้าเป็นแบบ direct หรือโดยตรงคงไม่ถูกแน่ แต่
เป็นแบบ indirect หรือ โดยอ้อม เหตุว่าบาปทุกประการมีลักษณะผิดต่อสังคม หรือ
พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า นั้นคือพระศาสนจักร พระศาสนจักรจึงมีสิทธิที่จะกำหนด
วิธีการและกิจใช้โทษบาปด้วย
- ศีลอภัยบาปไม่ใช่เพียงแค่กลับใจมายังพระเท่านั้น ( ซึ่งบาปหลุดจริงก่อนไปสารภาพบาป )
แต่เพราะคนบาปเป็นสมาชิกของชุมชนพระศาสนจักร จึงต้องทำตามเงื่อนไขของพระศา
สนจักร และพิธีกรรมของชุมชนพระศาสนจักรด้วย
- สังคายนาพูดถึงการไปแก้บาปอย่างน้อยปีละหน และแก้บาปหนักทุกข้อ
- ศีลอภัยบาปยังเป็นวิธีการที่พระประทานพระหรรษทานและพระคุณแก่คนบาปมิให้ตกใน
บาปในอนาคตด้วย
โดย สำราญ วงศ์เสงี่ยม
จากหนังสือแสงธรรมปริทัศน์ ราย 4 เดือน ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน
ประวัติความเป็นมาของศีลอภัยบาปโดยสังเขป
การถือปฏิบัติในสมัยอัครสาวกและศตวรรษแรก ๆ ( ที่ 1-2 )
จากหลักฐานในพระวรสารเอง เราพอจะมองเห็นการถือปฏิบัติศีลอภัยบาปในสมัยเริ่มแรก
นี้ พระศาสนจักรในสมัยอัครสาวกได้รับรู้ว่าตัวเองทำบาป และมีการอภัยให้แก่พี่น้องคริสตชนที่
กระทำผิด การรู้ตัวเช่นนี้กระทำให้บรรดาสมาชิกต่างพยายามหนีบาปโดยตั้งใจเป็นตัวอย่างที่ดีแก่
กันและกัน ตักเตือน และภาวนาให้แก่กัน การกลับใจและการ “คืนดี” ของคริสตชนที่กระทำผิดใน
สมัยนั้น มีวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกันอยู่ 2 แบบคือ แบบที่หนึ่ง เป็นการว่ากล่าวตักเตือนแบบพี่
น้อง การภาวนาในที่ประชุมและการสารภาพผิดต่อพี่น้อง แบบที่สอง ซึ่งใช้ถือปฏิบัติในกรณีที่เป็น
ความผิดขั้นอุกฉกรรจ์ และเป็นบาปประเภทที่เรียกว่า บาป “เปิดเผย” ( ฆ่าคน – มีชู้-ผิดประเวณี-
ละทิ้งศาสนา) มีการปฏิบัติที่มีพิธีรีตองมากกว่าแบบแรกมาก ประกอบด้วย 2 วาระคือ วาระแรก
แยกคนบาปออกจากสังคมคริสตชน ด้วยกลัวว่าเขาอาจทำให้สังคมคริสตชนทั้งกลุ่มเสียหาย พร้อม
กันนั้นก็แก้ไขและตักเตือนในกลับใจ วาระต่อมาคือการ “คืนดี” ( กับพระเจ้าและศาสนจักร)
พร้อมกันรับเข้ามาอยู่ในสังคมคริสตชนเสียใหม่ เมื่อแน่ใจว่า เขาผู้นั้นกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว
การถือปฏิบัติเรื่องศีลอภัยบาปนี้ ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของพระศาสนจักร ถือว่าเกี่ยวข้องกับ
สมาชิกพระศาสนจักรทั้งกลุ่ม โดยมีผู้อภิบาลสัตบุรุษ ( อัครสาวกและผู้สือบต่อ) ผู้ที่ได้รับหน้าที่
พิเศษเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่ง พระวรสารโดยนักบุญมัทธิว 16, 18 -19 และ 18,18 และโดยนักบุญ
ยอห์น 22,3 ต่างอ้างเป้นพยานยืนยันว่าการถือปฏิบิตเช่นนี้ เป็นพระประสงค์ของพระคริสตเจ้า ผู้
มอบอำนาจการอภัยบาปคริสตชนที่กระทำผิดแก่พระศาสนจักรของพระองค์ ซึ่งมีผู้อภิบาลสัตบุรุษ
( อัครสาวกและผู้สืบต่อ ) เป็นหัวหน้า โดยตั้งเงื่อนไขบางประการให้คนบาปถือปฏิบัติ เพื่อเป็น
เครื่องชี้และเป็นหลักประกันว่า พวกเขากลับใจแล้วจริง ๆ
ต่อมาในสมัยอัครสาวก พระศาสนจักรสมัยแรก ๆ คือ ศตวรรษที่ 1-2 เราพบหลักฐานใน
หนังสือ Didache( เขียนราว ค.ศ. 150 ) ว่า
“ในวันพระเจ้า ทุกคนต่างมาร่วมชุมนุมกัน บิขนมปังและกล่าวคำขอบพระคุณพระเจ้า (
ร่วมถวายบูชามิสซา – ผู้เขียน ) หลังจากที่พวกท่านสารภาพผิดแล้ว การถวายบูชาของท่านจึงจะ
สะอาดบริสุทธิ์ ใครก็ตามที่มีข้อผิดพ้องหมองใจกับพี่น้อง อย่าให้มาร่วมในที่ประชุมกับพวกท่าน
จนกว่าจะคืนดี กันเสียก่อน เพื่อมิให้การถวายบูชาของท่านมีราคี”
เห็นได้ว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งสอนและวิธีการของอัครสาวกนั่นเอง ว่า “การคืนดี”
หรือศีลอภัยบาปเป็นเงื่อนไขจำเป็นข้อแรกเพื่อให้คำภาวนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพิธีศีลมหาสนิท
เป็นไปอย่างเหมาะสมและแท้จริง
สรุปการถือปฏิบัติของคริสตชนสมัยดั้งเดิมคือ คนบาปต้องเป็นทุกข์เสียใจและรับรู้ว่า
ตัวเองป็นคนบาปเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า และต่อหน้าชุมชนคริสตัง พระศาสนจักรทั้งครบ ไม่
ว่าผู้มีอำนาจปกครองหรือสัตบุรุษต่างภาวนาพร้อมกัน ต่อจากนั้นเป็นการร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายใน
การแก้ไขความผิดพลาด และการอภัยบาปของสมณะเป็นขั้นสุดท้าย
การถือปฏิบิตในสมัยต่อ ๆ มา
อาจกล่าวได้ว่าพระศาสนจักรถือปฏิบัติเรื่องนี้แตกต่างกันไปเป็น 4 ระยะด้วยกันคือ
1. ระยะแรก ศตวรรษที่ 2- 3 พระศาสนจักรตระหนักว่ามีคนทำบาปหนักในพระศาสนจักร จึง
หาวิธีการให้มีการปลดเปลื้องแก้ไข
2. ระยะ 2 ศตรวรรษที่ 3-4 และ 5-6 เป็นระยะแห่งการคืนดีมีสันติภาพของคนบาปหนักกับ
พระศาสนจักร
3. ระยะ 3 ศตวรรษที่ 7 มีศีลอภัยบาป “ส่วนตัว” ( แก้บาปทีละคน หรือ ตัวต่อตัว )
4. ระยะ 4 การค้นหากฎเกณฑ์แน่นอนตายตัวในสังคายนาแห่งเตรนโต ( ค.ศ.1551 )
ระยะแรก ศตวรรษที่ 2- 3
ในศตวรรษที่ 2- 3 นี้ เป็นสมัยแห่งการเบียดเบียนพระศาสนจักรอย่างรุนแรงและโหด*****ม
ที่สุด คริสตังบางคนทนการถูกทรมานไม่ได้ ได้ละทิ้งพระศาสนาไป ( อาโปสตาตา ) พระศาสน
จักรพยายามหาวิธีการอภัยบาปขึ้น แต่ก็ยังไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว หลักฐานที่พออ้างอิงได้
คือ Didascalia Apostolorum ( เขียนที่ซีเรียเหนือ ราว ค.ศ 220 ) สรุปได้ดังนี้
1. บาปทุกประการมีการแก้ไขอภัยได้
2. สังฆราชปกมือเหนือคนบาป ( เพื่ออภัยบาป ) มีสังฆานุกรอยู่ใกล้ชิด
การบัพพาชนีกรรม ( ถูกตัดขาดจากสังคมพระศาสนจักร ) ถือเป็นการ “เยียวยา” จนกว่าจะ
เห็นว่าคนบาปเป็นทุกข์เสียใจและใช้โทษบาปมานานพอสมควร
ระยะ 2 ศตวรรษที่ 3-4 และ 5-6
ในศตวรรษที่ 3-4 มีมิจจาทิษฐิ ( เฮเรติก )เกิดขึ้นมากมาย ( เช่น Donatism ,
Arianism, Montanism , Novatianism เป็นต้น ) พระศาสนจักรก็ยิ่งเข้มงวดกับ
คนบาปมากขึ้น การโปรดอภัยบาป ย่อมโปรดเป็นทางการต่อหน้าสาธารณชน และการ “คืนดี”
ย่อมกระทำอย่างเป็นพิธีรีตองเสมอ ( Canonical penitence ) แม้ว่าบางกรณีคนบาปจะมา
สารภาพผิดต่อพระสังฆราชเป็นการส่วนตัวแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันหรือ “เยียวยา” บาปประเภท
มิจฉาทิฐินี้เป็นต้น พระศาสนจักรเคร่งครัดถึงกับหลังจากคนบาปกลับใจแล้ว ยังถูกจำกัดสิทธิหลาย
อย่างไปจนตลอดชีวิต เช่น ทำงานประเภทบริการประชาชน ( Public service ) ไม่ได้ ฝ่าย
สามีหรือภรรยาตายแล้ว จะแต่งงานอีกหนไม่ได้ รับศีลมหาสนิทในเวลามิสซาไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น
ผลที่ตามมาคือ หลายคนหมดความอดทน ทิ้งวัดไปเลยก็มี
ในศตวรรษที่ 5-6
วิธีการปลดเปลื้องบาป มีแบบแผนอย่างมีพิธีรีตอง ในวันพุธศักดิ์สิทธิ์คน
บาปประเภทบาป “เปิดเผย” ( ฆ่าคน มีชู้ ผิดประเวณี ละทิ้งศาสนา) จะถูกนำออกมาจากคุก เพื่อทำ
พิธี “คืนดี” กับพระศาสนจักร ( เห็นได้ว่าสมัยนั้นการเมืองกับศาสนายังปะปนกันอยู่ ) ในวัน
พฤหัส ฯ ศักดิ์สิทธิ์ คนบาปจะถูกนำตัวมากราบจรดพื้นหน้าพระสังฆราช สังฆานุกรจะกล่าวนำพิธี
ถึงวันเวลาแห่งความรอด ความตาย – ชีวิต ความยินดีของพระศาสนจักรที่มีคนกลับเข้ามาใหม่ นับ
ได้ว่าเป็นความเจริญของพระศาสนจักรเองกล่าวถึงการคืนดีซึ่งเกี่ยวกับกันศีลล้างบาป ต่อจากนั้น
พระสังฆราชกล่าวตักเตือนถึงความสุภาพ ความเมตตาของพระเจ้า ความหวังของคนบาป และกล่าว
คำภาวนา
สำหรับคนบาป จะต้องกระทำดังต่อไปนี้
- ภาวนา
- เป็นทุกข์เสียใจ และใช้โทษบาป
- ขอโทษ และขอคืนดีเข้าไปอยู่ในสังคมคริสตชนใหม่
- ไม่เพียงแต่ขอให้พระศาสนจักรอภัยบาป แต่ยังขอภาวนาอุทิศให้ด้วย
น่าสังเกตว่าพิธีอภัยบาปนี้ กระทำในระหว่างประกอบมหาบูชามิสซา โดยแทรกอยู่ในภาควจน
พิธีกรรมกับภาคเสกศีล ฯ
ระยะ 3 ศตวรรษที่ 7-13
ในราวศตวรรษที่ 7 -8 ได้มีวิธีการแก้บาปแบบ “ส่วนตัว” ( ทีละคนหรือตัวต่อตัว)
เกิดขึ้นในพระศาสนจักร อันมีกำเนิดมากการกฎที่ยกเว้นสำหรับพวกนักพรต ( ฤษี ) ว่าไม่ต้อง
ถือตามกฎการอภัยบาป “เปิดเผย” สำหรับสามัญชนทั่ว ๆ ไป
น่าสังเกตอีกประการหนึ่งว่าเมื่อพวกนักพรตทำบาปหนัก กิจใช้โทษบาปก็ไม่เหมือนกับคน
อื่น เช่นว่ามีการถอดถอนตำแหน่งหน้าที่ ( ตัวอย่างจากรองเจ้าอธิการมาเป็นคนทำสวน ) ดังนี้
เป็นต้น นอกจานักพรตแล้ว ยังมีพวกที่เรียกว่า “ผู้กลับใจ” ( conversi ) พวกนี้แม้จะไม่อยู่
ในอารามนักพรต แต่ก็ดำเนินชีพแบบนักพรตคือรักษาศีลพรหมจรรย์และบำเพ็ญตบะ พวก
เหล่านี้ได้รับการยกเว้นเช่นกันไม่ต้องถือตามกฎการอภัยบาปในที่สาธารณะอย่างเป็นพิธีรีตอง (
Cononical penitence ) การอภัยบาปและการใช้โทษบาปแบบส่วนตัวในอาราม
นักพรตได้ค่อย ๆ แพร่หลายนอกอาราม สืบเนื่องมาจากบรรดามิสชันนารีที่เป็นนักพรตนำ
วิธีการอภัยบาปแบบของตัวนี้ไปใช้ในดินแดนที่ประกาศสอนศาสนา เรียกการอภัยบาปแบบนี้
ว่า Tariff penitence ซึ่งมี
1. คนบาปสารภาพบาปส่วนตัว ตัวต่อตัว กับพระสงฆ์ ไม่ใช่กับพระสังฆราชและอย่างเปิดเผย
แบบ Canonical penitence.
2. พระสงฆ์ให้กิจใช้โทษบาปตามความหนักเบาของบาป ( ซึ่งเรียกว่า tariff = พิกัดอัตรา
ภาษี จึงเรียกว่า Tariff penitence ) กิจใช้โทษบาปแบบนี้ปกติมีการภาวนาหรือขอ
มิสซาเพื่ออภัยบาป.
3. เมื่อคนบาปทำกิจใช้โทษบาปดังกล่าวข้างต้นแล้ว กิจใช้โทษบาปหนัก ๆ แบบอื่นตามวิธี
อภัยบาปแบบ canonical penitence ( เช่นห้ามทำงานประเภทบริการประชาชน
รับศีลมหาสนิทในเวลามิสซาไม่ได้ ยืนเท้าเปล่าในฤดูหนาวหน้าวัดเวลามีการประกอบ
พิธีกรรม ) เป็นอันยกเลิก
4. เมื่อคนบาปพลาดพลั้งตกในบาปอีก ก็มาทำพิธีปลดเปลื้องบาปแบบนี้ได้อีก ( ซึ่งจะยากมาก
ถ้าเป็นกรณีอภัยบาปแบบ “เปิดเผย” หรือ Canonical penitence
ในศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา วิธีอภัยบาปมีอยู่ 2 แบบ ตามประเภทของบาป คือ ถ้าบาปประเภท
“เปิดเผย” ( ฆ่าคน มีชู้ ผิดประเวณี ละทิ้งศาสนา ) ก็ใช้วิธีอภัยบาป “เปิดเผย” หรือ
canonical penitence หากเป็นบาปประเภท “ลับเฉพาะ” หรือนอกเหนือไปจากบาป
“เปิดเผย” ก็ใช้วิธีอภัยบาปแบบ เฉพาะส่วนตัว หรือตัวต่อตัวกับพระสงฆ์
ในศตวรรษที่ 10
วิธีอภัยบาปแบบ “เปิดเผย” หรือ canonical penitence มีผิด
แผกกับแบบในศตวรรษที่ 5-6 อยู่บ้าง เช่นว่าพิธีหน้าประตูโบสถ์ พระสังฆราชเป็นผู้เรียกคน
บาปให้เดินเข้าไปหาท่าน ( เครื่องหมายแสดงถึงการเรียกและพระเมตตาจากพระเป็นเจ้า )
พระสังฆราชพร้อมกับคนบาปต่างก้มกราบจรดพื้นดินเพื่อสารภาพบาปต่อพระเป็นเจ้า ( ความ
สุภาพถ่อมตัวของพระสังฆราช แม้ว่าจะอยู่ในฐานะหัวหน้าผู้แทนของชุมชนพระศาสนจักรก็
ตาม )
ในศตวรรษที่ 13
วิธีการอภัยบาปแบบ canonical penitence เป็นไปอย่าง
สลับซับซ้อน แต่ว่ามีพิธีรีตองภายนอกเหล่านั้น เน้นถึงบาปและเทวศาสตร์ว่าด้วยศีลอภัยบาป
อย่างมาก ( พระเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า การร่วมมือของคนบาปกับพระเป็นเจ้า การ
ร่วมมือของคนบาปกับพระเป็นเจ้าในการกลับใจ แสงสว่างแห่งปาสกา ซึ่งเป็นความหวังและ
ความยินดีที่จะได้กลับฟื้นคืนชีพในองค์พระคริสตเจ้า ฯลฯ )
ระยะ 4 สมัยสังคายนาแห่งเตรนโต ( ค.ศ. 1551 )
สังคายนาแห่งเตรนโต สมัยที่ 14 พูดถึงศีลอภัยบาป ( 1551 ) ประกาศว่า
- พระศาสนจักร อาศัยอำนาจพระเจ้า ( Divine law ) สามารถอภัยบาปได้ ( ต่อสู้พวกที่
ถือว่าพระสงฆ์ไม่ได้อภัยบาป ( absolution ) เพียงแต่ประกาศ ว่า บาปหลุดแล้วเท่านั้น
จากผลแห่งความเชื่อในพระสัญญาและพระวาจาพระเจ้า ( ไม่ได้มองพระศาสนจักรในแง่
เป็นพระคริสตเจ้า ที่แลเห็นเห็นได้สืบต่อมาในโลก ) ( ความจริงจะว่าพระศาสนจักรอาศัย
Divine law ในการอภัยบาปนั้น ถ้าเป็นแบบ direct หรือโดยตรงคงไม่ถูกแน่ แต่
เป็นแบบ indirect หรือ โดยอ้อม เหตุว่าบาปทุกประการมีลักษณะผิดต่อสังคม หรือ
พระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า นั้นคือพระศาสนจักร พระศาสนจักรจึงมีสิทธิที่จะกำหนด
วิธีการและกิจใช้โทษบาปด้วย
- ศีลอภัยบาปไม่ใช่เพียงแค่กลับใจมายังพระเท่านั้น ( ซึ่งบาปหลุดจริงก่อนไปสารภาพบาป )
แต่เพราะคนบาปเป็นสมาชิกของชุมชนพระศาสนจักร จึงต้องทำตามเงื่อนไขของพระศา
สนจักร และพิธีกรรมของชุมชนพระศาสนจักรด้วย
- สังคายนาพูดถึงการไปแก้บาปอย่างน้อยปีละหน และแก้บาปหนักทุกข้อ
- ศีลอภัยบาปยังเป็นวิธีการที่พระประทานพระหรรษทานและพระคุณแก่คนบาปมิให้ตกใน
บาปในอนาคตด้วย