‎เล่าเรื่องไปทัวร์แสวงบุญที่ยุโรป Part 2 - Salamanca - Fatima

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
kk-chan
โพสต์: 45
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2005 3:38 pm

อาทิตย์ ธ.ค. 16, 2007 10:43 pm

เอาล่ะ มาต่อกันเลยกับเรื่องราวของวันที่ 2 ^-^
วันนี้จะค่อนข้างยาวนิดนึงนะ(ค่อนไปทางยาวมากๆๆๆ) เพราะว่ามีเรื่องเล่ามากมาย

May 31, 2007

6.00 น. ตื่นมาพร้อมเสียงเพลง Melissa สุดมันจากมือถือ ดังขนาดที่ว่าคุณน้องสุดที่รักก็ตื่นด้วย (ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก) แต่ก็แค่วันนี้วันเดียวแหละ สงสัยจะยังแปลกที่

7.00 น. ลงลิฟท์ไปเดินเล่นเตร็ดเตร่หน้าโรงแรมรอเวลาห้องอาหารเปิด นึกว่าจะไม่หนาวมากเลยไม่ได้เอาเสื้อหนาวลงไป เพราะตอนแรกไม่ได้กะจะออกไปหน้าโรงแรมด้วยล่ะ แต่เนื่องจากว่าระหว่างรอไม่ีมีอะไรทำก็เลยออกไปสูดอากาศซะหน่อย ที่ไหนได้ เช้าตรู่กับกลางคืนนี่มันเหมือนกันเลยนี่หว่า หนาวจับจิต เดินไปสั่นไป แต่ชอบนะ อากาศเย็นๆนี่มันสบายที่สุดเลย~~ จากนั้นพอห้องอาหารเปิดพวกเราคนไทยก็กรูกันเข้าไปเป็นกลุ่มแรก โอ้โห อาหารเช้าแบบ Continental นึกว่าจะมีแต่ไข่กับแฮม ที่ไหนได้ โรงแรมนี้อาหารเช้าดีมากๆ มีสารพัดแฮมที่ไม่เคยเห็นให้เลือกกิน พายมันฝรั่งอบ ไข่ดาว ไข่คน ขนมปังประมาณเปิดร้านเบเกอรี่ได้ แยม แฮม น้ำผลไม้เยอะแยะ แต่ดันติดชื่อทุกอย่างเป็นภาษาสเปนเลยต้ิองเดาเอาว่าอะไรเป็นอะไร เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่น่ากินสุดๆไปเลยล่ะ อิ่มแปล้แต่เช้า อิอิ

8.00 น. เช็คเอ๊าท์ ขึ้นรถเตรียมตัวออกเดินทาง วันนี้เราจะเดินทางข้ามประเทศกันละ จากมาดริด ผ่านเมืองมหาลัยฯอันมีชื่อเสียงของสเปน ซาลามันค่า (Salamanca) ระหว่างทางก็ดูวิวไปเรื่อย แต่จะนอนเอาแรงซะส่วนใหญ่ เมื่อเข้าเขตเมืองก็จะเห็นสถาปัตยกรรมอะไรซักอย่างที่ดูไกลๆเหมือนปราสาทหรือวิหารบนยอดเขาที่ดูใหญ่โตอลังการมาก เห็นมาแต่ไกลเลย ด้านบนจะเป็นยอดโดมใหญ่ๆ ดูรูปเอาดีกว่านะ บรรยายไม่ถูก เอาเป็นว่าขนาดเห็นจากไกลๆยังสวยมากแล้วก็ชัดมาก เพราะมันใหญ่จริงๆ ถ้าได้ไปดูใกล้ก็คงจะดีมาก น่าเสียดายว่าได้แค่นั่งรถผ่านไป

อากาศวันนี้ฝนตกปรอยๆ ท้องฟ้าไม่มีแดดเลย เมืองนี้จะมีมหาลัยฯเยอะมาก หอพักนักศึกษาก็เต็มไปหมดเลย ตึกส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะเป็นหอพัก แล้วก็มีนักศึกษาเดินกันเต็มเมืองไปหมด อ้อใช่ ที่นี่มีสนามสู้วัวกระทิงด้วยนะ เค้าเรียกว่า La Plaza de Toros

13.00 น. ได้เวลาอาหารเที่ยงที่ El Bardo Restaurante เป็นร้านที่ตกแต่งได้สวยทีเดียว มี 2 ชั้นคือบนดินกับใต้ดิน บนโต๊ะอาหารก็สารพัดอุปกรณ์การกิน ที่ขาดไม่ได้ก็คือไวน์และขนมปัง(แข็งโป๊ก)เหมือนเดิม พอนั่งได้ซักพักเค้าก็ยกอาหารจานแรกมา "Volovan de Atun" เป็นพัฟไส้ปลาและกุ้ง อร่อยดี จานที่ 2 Main course ของโปรดข้าพเจ้าอีกแล้ว เสต็กหมูและเฟรนช์ฟราย เติมไม่อั้น ยัดได้ยัดเข้าไป แต่เวลาขอเติมนะ ไม่ว่าจะพูดภาษาอะไรกับเค้า เค้าก็จะตอบมาเป็นภาษาสเปน ประมาณว่าโลกนี้ทุกคนต้องพูดสเปนได้ อย่ามาเมืองไทยมั่งละกัน >_< จากนั้นพออิ่มเรียบร้อยก็ตบท้ายด้วยของหวานเป็นพุดดิ้งโรยหน้าด้วยผง cinnamon (อบเชย) คุณพี่ชายชอบมากกก แต่เราไม่ไหวอะ กินได้นิดเดียว มันเลี่ยน+อิ่มมากแล้ว (ไม่อยากจะบอกว่ากินเสต็กไปกี่ชิ้น เหอๆ ^^) 

อิ่มแล้วก็ออกมาเดินย่อยซะหน่อย รอเวลารถมารับ พวกผู้ใหญ่บางคนก็ไปดื่มกาแฟในร้านแถวๆนั้น พอดีว่าใกล้ๆกับร้านอาหารมีซุปเปอร์ก็เลยเข้าไปช้อปกัน ได้ขนมและน้ำติดไม้ติดมือกันมาอีกแล้ว ได้โลชั่นของ Dove (Spanish version) มา 1 ขวดเพราะของเราที่พกไปมันเอาไม่อยู่ ของฝรั่งเค้า Moisturizer เข้มข้น จริงๆก็ไม่เกี่ยงยี่ห้อนะ แต่ดมๆแล้วขวดนี้หอมสุดก็เลยเอา ที่นี่เค้าจะให้บริการตัวเองเรื่องเอาของใส่ถุง แต่เค้าคงรำคาญเห็นคนไทยแกะถุงพลาสติกไม่ออกซักกะที ก็มันเล่นติดซีลปากถุงเลย ดึงยังไงก็ไม่ออก คนขายเลยส่ายหน้าด้วยความสังเวช เค้าทำมือใส่น้องเราประมาณว่ายูนี่เป็นแคชเชียร์ไม่ได้ แล้วก็ใส่ให้หมด อิอิ

14.30 น. ข้ามพรมแดนเข้าโปรตุเกสไปสู่เมือง ฟาติมา เมืองที่แม่พระประจักษ์มาให้เด็กเลี้ยงแกะ 3 คน ชื่อ ลูชีอา ยาชินทา และฟรังซิสโก ที่ตำบลอีเรีย เมืองฟาติมา ประเทศโปรตุเกส จะเล่าให้ฟังคร่าวๆนะ

ในการประจักษ์ครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 1917 แม่พระได้ขอให้เด็กทั้งสามกลับมาที่เดิมทุกวันที่ 13 ของทุกเดือนติดต่อกันจนถึงเดือนตุลาคม ขอให้สวดสายประคำ และทำพลีกรรม สู้ทนความยากลำบาก เพื่อให้คนบาปกลับใจ เด็กๆทั้งสามต้องพบกับความยากลำบากมากมาย เพราะผู้คนหลายคนไม่เชื่อพวกเขาและขู่จะทำร้าย แต่เด็กๆก็ยังยืนยันคำพูดของพวกเขาว่าแม่พระได้ประจักษ์มาต่อหน้าพวกเขาจริงๆ

ทุกๆเดือนผู้คนที่ไปชุมนุม ณ จุดแม่พระจักษ์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กได้ขอให้แม่พระช่วยทำอัศจรรย์เพื่อที่คนทั้งหลายจะได้เชื่อ และแล้วในวันที่ 13 ตุลาคม 1917มีผู้คนมาชุมนุมกันประมาณ 70,000 คน มีทั้งนักข่าว ช่างภาพ และผู้คนมากมายที่มาเป็นสักขีพยานเพื่อพิสูจน์ว่าเด็กๆนั้นพูดจริงหรือโกหก รวมทั้งผู้ที่เชื่อก็ได้สวดสายประคำระหว่างรอ วันนั้นฝนตกหนัก และมีดินโคลนเลอะเทอะเต็มไปหมด ทันใดนั้นเอง แม่พระก็ได้ประจักษ์มาต่อหน้าเด็กทั้งสามเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับกล่าวว่า


"เราคือแม่พระแห่งสายประคำ เรามาเพื่อเตือนพวกลูกให้ปรับปรุงวิถีทางการดำเนินชีวิต และขอให้พวกลูกได้เป็นทุกข์ถึงบาปของตน ลูกไม่ควรลบหลู่พระเจ้า เพราะบาปของมนุษย์นั้นก็ทำให้พระองค์เป็นทุกข์พอแล้ว จงสวดสายประคำ และจงสวดติดต่อกันทุกวันเป็นประจำ "

และก่อนที่แม่พระจะจากไป พระนางได้ชี้ไปที่ดวงอาทิตย์ ทันใดนั้น ฝนก็หยุดตก ก้อนเมฆแยกจากกัน ดวงอาทิตย์ที่สว่างสุกใสก็เริ่มหมุนวนอยู่บนท้องฟ้าอย่างรุนแรง พร้อมกับเปล่งประกายสีรุ้งกระจายออกไปรอบทิศทาง ทำให้บริเวณนั้นทั้งหมดได้สว่างขึ้น ดวงอาทิตย์หมุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เหมือนจะพุ่งลงมาจากท้องฟ้าเข้ากระแทกกับผืนดิน ทำให้คนบางคนคิดว่าเป็นวันสิ้นโลก อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นและคงอยู่เป็นเวลาถึง 12 นาที ผู้คนที่อยู่ที่นั่นทั้งหมดได้เห็น และได้เชื่อ เมื่อพวกเขารู้สึกตัวหลังดวงอาทิตย์กลับเป็นปกติแล้ว เสื้อผ้าของพวกเขาแห้งสนิทและสะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยของดินโคลนหลงเหลืออยู่อีกเลย

ต่อมา ณ ที่นั้นก็ได้มีการสร้างวิหารอันสวยงามใหญ่โตขึ้นชื่อว่า Santuario de Fatima และสร้างวัดน้อยคร่อมบริเวณจุดที่แม่พระมาประจักษ์ให้แก่เด็กทั้งสาม ไปดูในรูปก็ได้ ถ่ายมาเยอะแยะ


ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาไปดูตามลิ้งค์ด้านล่างสุดได้ค่ะ

วันนี้เรานั่งรถกันเกือบทั้งวันเพราะว่าจากสเปนข้ามมาโปรตุเกสนี่ก็ไกลพอสมควร ภูมิประเทศของโปรตุเกสเท่าที่เห็นจะค่อนข้างต่างจากสเปนอย่างเห็นได้ชัด ภูเขาก็มีต้นไม้ปกคลุมเกือบหมด ก้อนหินค่อนข้างจะเยอะ แล้วก็แดดแรงมาก ระหว่างทางผ่านโรงงานนิวเคลียร์ด้วย เห็นแล้วนึกถึงขวดสาเกสองขวดตั้งคู่กัน...ประมาณนั้น จริงๆก็หลับเกือบตลอดทาง แต่ก็พอมีเสียงขับกล่อม(ร้องเพลง)ของชาวคณะให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ พร้อมกับแข่งกันยิงมุข ก็จะตื่นมาฟังบ้างหลับบ้างแบบนี้ อ้ออ เกือบลืมแน่ะ Rest Area ตรงชายแดนโปรตุเกส-สเปนโทรมสุดๆ เดินเข้าไปในซุปเป้อร์เจอ M16 แขวนอยู่พร้อมกับปืนอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี่ขายนะ อีกมุมก็มีขาหมูตากแห้งห้อยอยู่เพียบ ระทึกมาก

18.30 น. ถึงฟาติมา แดดเหมือนประมาณบ่ายสาม เช็คอินเข้าโรงแรมชื่อ Hotel de Fatima โรงแรมของเราจะอยู่ใกล้กับ Santuario de Fatima (อาสนวิหารแม่พระแห่งฟาติมา) มากที่สุด เดินไปนิดเดียวก็ถึง ตอนแรกแปลกใจมาก ทำไมมองไปทางไหนก็มีแต่ทหารเต็มไปหมดล่ะเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้น?!! ตกลงว่าที่ทหารมาเยอะๆนี่เค้าก็มาแสวงบุญเหมือนกัน คาดว่ามาขอพรจากแม่พระ แต่ยกกันมาเป็นกองทัพเลยนะ มีทั้งทหารบก ทหารอากาศ ทหารเรือ ที่สำคัญ ไม่คิดไม่ฝันว่าผู้ชายโปรตุเกสจะหน้าตาดีๆทั้งนั้นเลย โฮะๆ อาหารตาเพียบ ^-^ ใครสนใจคนในเครื่องแบบกรุณามาเมืองนี้นะคะ อิอิ

หลังจากเอาข้าวของไปเก็บในห้องกันเรียบร้อยแล้วเราก็ไปเดินสำรวจวัดฟาติมากัน ปีนี้เค้าฉลองครบรอบ 90 ปีแม่พระประจักษ์พอดีเลย ก็พากันเดินออกจากโรงแรมตามแนวต้นไม้ไป พอเลี้ยวหัวมุมเข้าไปเราก็....โอ้โห.....อึ้ง เป็นลานที่กว้างมากๆๆ จุคนได้นับหมื่น ตัววิหารหลักตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆตรงสุดลาน ทางด้านซ้ายจะมีวัดน้อย หรือที่ทำพิธีมิสซาขนาดเล็กสร้างขึ้นคร่อมจุดแม่พระประจักษ์ ซึ่งจะมีมิสซาทุกชั่วโมงตลอดทั้งวัน ตอนที่เราไปถึงเป็นมิสซาภาษาสเปน มีคนมาร่วมมิสซาพอสมควร บางคนก็กำลังเดินเข่าอยู่ (จะอธิบายทีหลัง) หลังจากหยุดยืนตะลึงกันพักนึงก็รีบคว้ากล้องเลย และแล้วสองพี่น้องผู้มีกล้องติดตัวตลอดเวลาก็ตะลุยถ่ายรูปอย่างเมามัน อิอิ ไปดูรูปแล้วจะรู้ว่าสวยแค่ไหน บางคนนี่เค้าแบกขาตั้งกล้องมากันเลยนะ ที่นี่มุมไหนๆก็สวย 

20.00 น. ได้เวลาข้าวเย็นละ วันนี้เราจะกินกันที่ห้องอาหารในโรงแรม เมืองนี้ขึ้นชื่อว่าหมูอร่อย อาหารมื้อนี้เริ่มต้นด้วยซุปฟักทอง สามพี่น้องมาสายเพราะว่ามัวแต่ไปเดินสำรวจวัดแล้วก็ตะลุยถ่ายรูปกันเพลินไปนิดนึง กลับมาเค้าก็เริ่มกินกันไปหน่อยแล้ว เกิดมาเพิ่งเคยกินซุปฟักทองนี่ล่ะ (เพราะถ้ายังกินไม่หมด เค้าจะไม่เสิร์ฟอย่างอื่น) กินกับขนมปังก็โอเคนะ จากนั้นก็มาถึง main course ที่รอคอย เค้าจะยกมาเป็นจานเปลใหญ่มาก บนนั้นก็จะมีข้าวผัด หมูอบแล่บางๆ แล้วก็มันฝรั่ง แล้วเค้าก็จะตักแจกแต่ละคน จะเอาเท่าไหร่ก็ตามใจ เติมได้ไม่อั้นๆๆๆ อิ่มแปล้ไปอีกหนึ่งมื้อ ตบท้ายด้วยไอติมสามสีเช่นเคย

20.30 น. ทีนี้พออิ่มกันแล้วเราก็ออกไปสำรวจวัดกันอีกทีหนึ่ง มองเห็นวัดเริ่มเปิดไฟละ กำลังสวยเลย (อย่าลืมดูรูปประกอบ) ตอนอยู่บนรถคุยกันว่าจะมาเดินเข่ากัน เพราะว่าใครที่มาแสวงบุญที่นี่ส่วนใหญ่แล้วจะมาเดินเข่ากันทั้งนั้น สงสัยล่ะสิว่าการ"เดินเข่า"คืออะไร

การเดินเข่า ก็คือการเดินด้วยเข่านั่นแหละ หรือที่บางคนเรียกว่าคลานเข่า คนที่มาแสวงบุญจะมาแสดงความศรัทธาและพลีกรรมด้วยการเดินเข่าไปตามทางกระเบื้องที่เค้าปูไว้ให้ บางคนก็คลานรอบวัด ได้ยินว่าเมื่อก่อนก็เป็นพื้นคอนกรีตธรรมดานี่แหละ แต่คนที่มาเดินเข่าจนได้แผลเลือดอาบก็มีเยอะ (พวกเราก็เป็นหนึ่งในนั้น) เค้าก็เลยปูกระเบื้องหินอ่อนไว้ให้ (ดูรูปแล้วจะเห็น)

ตอนอยู่บนรถ พวกเราตกลงกันว่าจะมาเดินกันโดยมีแจน(น้องสาวสุดที่รัก)กับครูเป๋งเป็นแกนนำ ตอนแรกเราก็ยังลังเลอยู่อะนะ ว่าจะเดินเข่าดีรึปล่าว เพราะมันก็ไกลใช้ได้เลย ไอ้หนูแจนมาถึง เอาเลย ชั้นไปแล้ว กระดึ๊บๆไปนู่นแล้ว เค้าให้เดินเข่านะ ไหงเธอคลานสี่ขาล่ะ พี่ๆทั้งสองก็เลย...เอาวะ มาถึงแล้วทั้งที เดินซะหน่อย ครั้งหนึ่งในชีวิต

แค่คุกเข่าลงไปเท่านั้นเองนะ ก็รู้สึกได้เลยว่าคนที่ทำได้เนี่ย ต้อง spirit มากๆ เพราะว่าพื้นมันนอกจากจะแข็งแล้วยังเย็นเฉียบเลย ขนาดปูหินอ่อนลื่นๆแล้วนะ ไปได้ทีละอย่างมากก็ประมาณทีละคืบ เพราะมันเจ็บมาก พอไปได้ซักพักก็เริ่มไม่ไหว ต้องใช้มือช่วยยันบ้าง พูดง่ายๆก็คือคลานนั่นแหละ แต่ก็ไปได้นิดเดียวเพราะว่ามันเจ็บกว่าเดินอีก ก็เลยกลับมาเดินเข่าแบบปกติ เดินไปก็สวดขอแม่พระไปว่าขอให้ลูกทำได้ด้วยเถอะ ขอแม่โปรดเป็นกำลังให้ลูกด้วย น่าแปลกนะ พอสวดๆไปเรื่อยมันจะทำให้เจ็บน้อยลง ก็ไปตามทางเรื่อยๆ 

ตอนที่เริ่มเดินเข่า ตลอดทางไม่มีใครเลย แจนเป็นผู้บุกเบิก ตามด้วยอร(kk-chan เองค่ะ) พี่ตูน แล้วก็คุณป้าเต้ พี่สุธรรม และคนอื่นๆอีกสองสามคน บางคนอายุมากแล้วเดินเข่าไม่ไหวก็เดินให้กำลังใจไปเป็นเพื่อน พอไปได้ประมาณครึ่งทางฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ จนมองเห็นแต่แสงไฟจากวิหารหลักและวัดน้อย แจนนำไปไกลมองไม่เห็นแล้ว ผู้คนก็เริ่มทยอยกันมาเรื่อยๆเพราะว่าสามทุ่มครึ่งจะมีพิธีแห่โคม คนก็มองๆ พวกนี้เดินเข่าด้วยแฮะ บางคนก็ทำตามนะ บางคนก็เดินผ่านไป บางคนก็ถ่ายรูป ก็มีหลากหลาย แล้วแต่สะดวก เราก็ไปๆหยุดๆสลับกันอยู่แบบนี้ หลังๆมันเจ็บมากจนต้องนั่งพับขาไปข้างหลังแล้วก็กระดึ๊บๆไปแบบนั้นสลับกับเดินเข่า ไม่งั้นไม่ไหวจริงๆ ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดคนก็ยิ่งมาก ผู้คนเริ่มจุดโคมกันแล้วเพราะพิธีใกล้จะเริ่มแล้ว นี่เราเดินเข่าเกือบชั่วโมงแล้วนะเนี่ย ตอนนี้พระอาทิตย์หายลับไปแล้ว พระจันทร์เต็มดวงโผล่หน้าออกมาแทน และแล้วๆๆๆๆ ในที่สุดเราก็ไปถึงจนได้!!! จะมีป้ายปักไว้บอกว่า "Here our Lady appeared" เย้ๆๆ ชั้นมาถึงแล้ว หนูทำได้แล้วค่า ยืนขึ้นมาทีแทบจะทรุดลงไปใหม่ เจ็บเข่ามากๆ มีคนมาขอลูบเข่าเอาบุญไปหลายคนเลยแฮะ ^-^

21.30 น. พิธีแห่โคมเริ่มแล้ว โดยจะเริ่มจากการมีมิสซาที่วัดน้อยแม่พระประจักษ์ ผุ้คนมากมายต่างก็ถือโคมที่จุดไฟสว่างไสวไว้ในมือ มองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงเทียน เค้าจะให้ตัวแทนผู้มาแสวงบุญจากหลายๆประเทศขึ้นไปสวดบทวันทามารีอาเป็นภาษาของตนเองบนพระแท่น แล้วผู้คนด้านล่างก็จะขานรับด้วยภาษาของตนเช่นกัน (วันนี้คณะคนไทยยังไม่ขึ้น) พอท่อนคอรัสเพลง "Ave Maria" ดังขึ้น ทุกคนก็จะชูโคมของตัวเองขึ้นตามเสียงเพลง Ave, Ave, Ave Maria! Ave, Ave, Ave Maria!

เนื่องจากว่าเราเข้าไปทีหลังจึงต้องยืนข้างนอกวัดน้อย (ข้างในที่เต็มไปนานแร้ว) อากาศข้างนอกหนาวมากๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาว ประมาณ 8-9 องศา ยืนสั่นพั่บๆอยู่พักนึงจนทนไม่ได้ต้องไปกอดอาม่าหง อาม่าหงน่ารักมากเลย เสื้อขนมิ้งค์(?)นี่มันอุ่นดีเนอะ อิอิ จากนั้นเราก็เดินตามขบวนแห่กางเขนไปตามทางรอบลานกว้างจนครบรอบ กลับมาฟังพระสงค์ปิดพิธี ฟังอะไรไม่รู้เรื่องแต่ได้ยินว่า "Boa Noite. Buenas Noches. Buona Notte. Good Night!" 4 ภาษา โอเค ราตรีสวัสดิ์ จบแล้วแน่ๆ

ดูนาฬิกาโบสถ์ก็เที่ยงคืนครึ่งเข้าไปละ ตาจะปิดแล่ว รีบกลับโรงแรมไปอาบน้ำนอน ระหว่างรอห้องน้ำก็ลองสำรวจเข่าตัวเองดู ขนาดใส่กางเกงยีนส์นะ ก็ยังได้เลือดมาเหมือนกันแฮะ โดนน้ำแล้วแสบน้ำตาแทบเล็ด จนถึงวันนี้ก็ยังเป็นแผลเป็นยังไม่หายเลย สรุปกว่าจะได้นอนจริงๆก็ประมาณเกือบตีสอง ช่างเป็นวันอันยาวนานจริงๆนะ

Buenas Noches!
See you next time!
โปรดติดตามตอนต่อไป...

kk-chan ^-^


ดูรูปที่ Salamanca ได้ที่นี่จ้า
http://picasaweb.google.com/kazekay01/SalamancaMay312007

ดูรูปที่ฟาติมาได้ที่นี่จ้า
http://picasaweb.google.com/kazekay01/FatimaMay312007


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลเพิ่มเติมของเหตุการณ์แม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา
 
Official website ของ Santurio de Fatima
http://www.santuario-fatima.pt/portal/index.php?lang=EN

เรื่องเกี่ยวกับการประจักษ์มาของแม่พระที่ฟาติมา (English)
http://www.miraclerosarymission.org/fatima.htm  โดย ซิสเตอร์ลูซีอา (แบบละเอียด)
[email]http://en.wikipedia.org/wiki/Our_Lady_of_Fatima[/email]
http://www.loveandmercy.org/loveandmercy/fatima.htm

ข้อมูลโดยย่อ แต่เก็บรายละเอียดสำคัญๆไว้ได้เกือบทั้งหมด (Thai)
http://www.geocities.com/Athens/Thebes/3517/saint6.html

ส่วนนี่เป็นข้อมูลจากเวปผู้จัดการ ค่อนข้างจะเยอะทีเดียว ข้อมูลอาจจะมีผิดพลาดบ้างนิดหน่อยอย่างเช่นชื่อเรียกของแม่พระ แล้วก็รูปเด็กคนกลางคือฟรังซิสโก ไม่ใช่ลูซีอา นอกนั้นก็จัดว่าใช้ได้เลย
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9490000067583  
kohtheboy

อาทิตย์ ธ.ค. 16, 2007 11:53 pm

รูปพระที่ร้านต่างประเทศ สวยจังอยากได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Jack Sparrow
โพสต์: 353
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 26, 2007 3:06 am

จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 12:02 am

ยุโรปประเทศไหนๆ ก็สวยไปหมด
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 12:08 am

น่าไปจังเลยสวยครับ โดยเฉพาะอิตาลี่ พี่ว่าสวยมากๆ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 12:24 am

อยากไปมั่งอ่า

พี่ฟิมของตังค์ ::011::
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 10:43 am

Batholomew เขียน: อยากไปมั่งอ่า

พี่ฟิมของตังค์ ::011::

::010:: เดี๋ยวโอนไปให้จ้า ::018::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 4:42 pm

:+: seraphim :+: เขียน:
Batholomew เขียน: อยากไปมั่งอ่า

พี่ฟิมของตังค์ ::011::

::010:: เดี๋ยวโอนไปให้จ้า ::018::
พูดจริง ๆ นะพี่ ::011::
ภาพประจำตัวสมาชิก
kk-chan
โพสต์: 45
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ม.ค. 30, 2005 3:38 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 10:04 pm

Joseph เขียน: น่าไปจังเลยสวยครับ โดยเฉพาะอิตาลี่ พี่ว่าสวยมากๆ
เสียดายว่าทริปนี้ไม่ได้ไปแวะอิตาลีอะค่ะ เราเน้นที่ฟาติมากับลูร์ดเป็นหลัก เพราะว่าปีนี้ฟาติมาครบรอบ 90 ปีพอดี
ถ้ารวมอิตาลีด้วยสงสัยงบจะพุ่งกระฉูดแล้วก็คงต้องไปซัก 2 อาทิตย์ จะได้เที่ยวแบบเต็มพิกัดนะ ^-^
ตอบกลับโพส