แวะมาทักทายครับ(ด้วยมิตรและไมตรี)

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
YUT_KOP
โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 02, 2008 11:51 pm

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 12:13 am

สวัสดีครับ ทุกท่านที่นับถือ คริสศาสนา ทุกท่าน
ผมเป็นพุทธนะครับ แต่ก็คิดว่าคุยกันได้อยู่แล้ว เพราะในสังคม พวกเราก็อยู่กับอย่างปกติสุข
แต่ด้วยความเชื่อและความเข้าใจบางอย่างที่ อาจจะไม่เหมือนกันไปบ้าง
ที่มาทักทายก็ไม่มีอะไร เห็นว่า ในนี้ก็ มีมิตรที่ดีได้
ขอให้ ลูกแกะ ทุกท่าน ตั้งใจ และศึกษาหลักธรรมคำสอนให้ดี ผมก็อยากให้ทุกท่านสมหวังในสิ่งที่หวังด้วยความดีและความถูกต้อง ส่วนตัวผมก็จะตั้งใจ ศึกษาและเข้าใจหลักธรรมคำสอนและปฏิบัติธรรมตามแนวของ พุทธศาสนา
Remark : 1.ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า ท่านก็สอนให้เราปฏิบัติดีด้วยกันทั้งนั้น
            2. เป็นเพื่อนกันนะครับ แล้วถ้าผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักธรรมหรือหลักปฏิบัติของ ศริสศาสนาผมจะแวะมาถามนะครับ เพราะว่า น้องชายแท้ๆผมก็เป็น ศริสเตียน นะครับ บ้างครั้งผมอาจจะไม่เข้าใจสิ่งที่น้องกระทำว่ากล่าวผิด หรือ ถูกจะมาหาคำตอบในนี้ละกันนะครับ (เพราะผมรู้มาว่าแต่และ วัดของศริส สอนไม่เหมือนกัน บ้างที่ตรงข้ามกันก็มี )
เลยกลัวน้องจะนับถือแบบหลงผิด (นับถือศริส ไม่ว่า แต่ก็อยากให้อยู่ในที่ที่เค้าสอนดี สอนถูกแค่นั้น )
              3.ต้องขอโทษด้วยข้อ 2 ยาวไปหน่อย
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 12:49 am

สวัสดีครับ :angel:

ยินดีต้อนรับ(ด้วยมิตรและไมตรี)นะครับ  : emo027 :
ในที่บอร์ดแห่งนี้เราเน้นสันติและความเป็นหนึ่งเดียวกันครับ
เพียงแค่ศาสนาต่างกัน ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราไม่สามารถเป็นมิตรกันได้
อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกันนะครับ หากมีข้อขุ่นข้องหมองใจเราย่อมควรที่จะพูดคุย และปรึกษาทำความเข้าใจกัน
หากสงสัยประการใดขอให้ถามมาได้เลยครับ ผมยินดีตอบเท่าที่ความรู้ของผมจะมี และผมก็คิดว่าพี่น้องทุกคนในที่นี้ก็ยินดีตอบเช่นกัน

ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ
สันติถาพและความดี แด่ทุกท่าน
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 1:17 am

ครับ
ทักทายๆๆ
::011::
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 7:00 am

ยินดีต้อนรับ ด้วยมิตรภาพ ภราดรภาพ และสันติภาพ : xemo026 :

เจี๊ยบเป็นคริสเตียน มาจากครอบครัวพุทธ และเคยนับถือพุทธ ยินดีให้คำตอบ อย่างใจกว้างขวางครับ

ขอพระเจ้าทรงอวยพร คุณ Yut_Kop คร้าบ :grin:
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 11:05 am

ฉันจะตอบทุกคำถาม ฉันจะมอบแต่คำหวาน
หากเธอต้องการความรักที่ดี คนที่นี่ นั้นมีให้เธอ......โว้ โว
ภาพประจำตัวสมาชิก
แบกะดิน
โพสต์: 1085
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 7:49 pm

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 1:52 pm

ยินดีที่รู้จักค้ะ  : xemo016 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Kichinto
โพสต์: 532
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 17, 2007 7:34 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 2:10 pm

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ สำหรับผู้ร่วมอุดมการณ์ สำหรับสันติภาพในโลกและจิตใจ ... และมีวิธีช่วยนิดหน่อยครับว่า ... อะไรก็ตามที่ดูแปลกๆไปบ้าง ขอให้เอา มโนธรรมความดี และเหตุผลเป็นบรรทัดฐานครับ โดยดูที่(รูปแบบ + วิธีการ + ผลลัพธ์) ว่าอะไรก็ตามที่ออกมาดี ก็ควรจะส่งเสริมได้ครับ

ส่วนผมนั้น ก็ให้การดลใจจาก พระจิตเจ้า(พระเจ้า) มาช่วยเหลือมโนธรรมของตนเองในการคิด พิจารณา ในการกระทำต่างๆ และรับพระหรรษทานจากพระเจ้าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 8:54 pm

ยินดีต้อนรับจ้า ว่างๆ ชวนน้องมาอ่านที่เว็ปนี้บ้างนะครับ

ปลง .ไม่รู้ผมตาฝาดไหมแต่รูสึกว่าคำว่า "คริสต์" คุณ YUT_KOP จะใช้ ศ (ศาลา) พิมพ์นะครับ  ::010::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 10:54 pm

ยินดีต้อนรับครับ ::001::
Dis volentibus

อาทิตย์ ก.พ. 03, 2008 11:31 pm

ยินดีต้อนรับค่าาาาาาาาาาาาาาาาาา :angel:

ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ก.พ. 04, 2008 2:55 pm

ยินดีต้อนรับผู้ที่มาอย่างสันติค่ะ
บอร์ดเราเน้น ศาสนสัมพันธ์อยู่แล้ว
ทุกคนที่เข้ามาเผื่อเป็นมิตร  เรายินดีต้อนรับค่ะ
  : emo038 :
YUT_KOP
โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 02, 2008 11:51 pm

จันทร์ ก.พ. 04, 2008 11:33 pm

สวัสดีครับ ยินดีกับไมตรี และมิตรภาพที่กลับมา นั้นผมขอถามเลยนะครับ
1.กฏ 10% ของรายได้ที่ต้องเสียเงินให้ กลับสถานที่ไปทำพิธีต่างๆ ทำไมต้องมีกฏนี้ด้วยครับ
2.การเข้ารวมกิจกรรมต่างๆที่จัดให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้กลับบ้านได้เดือนล่ะ 1ครั้ง (น้องผม อยู่หอ เพราะเรียนต่างจังหวัด) ผมว่ามันน้อยมาก แล้วเวลาที่กลับเจอหน้า พ่อ-แม่ ไม่เกิน 3-4 ชม.ต้องรีบกลับล่ะ
Remark.ผมก็สงสารน้องนะ ผมเข้าใจว่า น้องเองก็อยากกลับมาหา พ่อ-แม่บ่อยๆ แต่ด้วยตารางต่างๆ ทั้งเรียนและกิจกรรม ทางศริสเตียนทำให้ หาเวลากลับบ้านได้น้อยมากๆๆๆๆๆ แม่-พ่อ เสียใจแบบสุดๆเลยล่ะครับ
ผมควรทำไงดี ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.พ. 05, 2008 12:45 am

ไม่ใช่ทุกโบสถ์และทุกนิกายที่จะมีการเน้นถวาย10ลด และไม่ใช่ทุกโบสถ์และทุกนิกายที่จะมีกิจกรรมมากครับ น้องคุณอาจจะเผอิญไปเข้าคริสตจักรที่เน้นถวาย10ลด และเน้นกิจกรรมมากครับ ผมเองไม่ทราบจะแนะนำยังไงดี เพราะใครจะเข้าคริสตจักรไหน ก็เป็นการตัดสินใจของเขา และผมก็ไม่ทราบว่าเขาอยู่คริสตจักรไหน ดังนั้น ผมจึงมีความหวังว่า เขาจะได้เข้าคริสตจักรที่ดี ที่จะทำให้ทั้งตัวเขาและครอบครัวได้พบทางแห่งสันติสุขแท้จริง




เรื่องสิบลดอ่านที่นี่นะครับ



(จาก สารานุกรม พระคริสตธรรมคัมภีร์ โดยดอนเฟล็มมิ่ง หน้า 590-592 ตีพิมพ์โดยคริสเตียนศึกษา แบ๊ปติสต์ 1991)



สิบลด

TITHES


ธรรมเนียมโบราณ

ดูเหมือนว่าการถวายทศางค์ (ที่นิยมเรียกว่า สิบลด คือสิบลดหนึ่งหรือสิบชักหนึ่ง) เป็นธรรมเนียมที่เขาปฎิบัติกันตั้งแต่สมัยปฐมกาลมาแล้ว คือการยกหนึ่งในสิบจากทรัพย์สินของที่มีอยู่ไปถวายพระเจ้า เป็นทั้งการนมัสการและการขอบพระคุณพระองค์ ที่พระองค์เป็นผู้สูงสุดผู้จัดการทุกอย่างในชีวิตมนุษย์ และเป็นผู้ประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้ การถวายสิบลดนี้ เป็นสิ่งที่ต้องทำด้วยความสมัครใจตั้งแต่สมัยปฐมกาล ซึ่งในสมัยนั้น พระเจ้ายังไม่ได้ประทานธรรมบัญญัติให้อิสราเอลโดยทางโมเสส

ตัวอย่างการถวายสิบลดในสมัยดึกดำบรรพ์นั้นมีสองเรื่องคือ

ครั้งหนึ่งอับราฮัมได้รับชัยชนะต่อศัตรูในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาให้ท่าน ท่านจึงชักหนึ่งในสิบจากของที่ริบในสงครามนั้น นำไปถวายพระเจ้า โดยเมลคีเซเดค ปุโรหิตของพระเจ้าเป็นผู้รับของถวายแทนพระองค์ (ปฐก. 14:17-24;  ฮบ. 7:4-10)

ตัวอย่างที่สองคือ ยาโคบ เมื่อท่านกำลังหนีไปแผ่นดินอื่นเพื่อเอาชีวิตรอด ท่านบนตัวกับพระเจ้าไว้ว่า ถ้าพระองค์ทรงนำตัวท่านกลับมาอยู่บ้านเมืองเดิมอย่างปลอดภัย ท่านจะยกหนึ่งในสิบจากททรัพย์สมบัติของท่านถวายพระเจ้า (ปฐก. 28:20-22)

การถวายสิบลดทั้งสองเรื่องเป็นการแสดงความขอบพระคุณที่พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมเหตุการณ์ในชีวิตมนุษย์ และเป็นผู้ประทานสิ่งของให้เขาทุกอย่าง

ธรรมบัญญัติของโมเสส

ตามบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้โดยโมเสสนั้น ชาวอิสราเอลทุกคนต้องถวายหนึ่งในสิบของผลจากไร่นาและฝูงสัตว์ การชักส่วนหนึ่งนี้เขาต้องทำอย่างซื่อสัตย์และยุติธรรม ไม่ใช่เลือกเอาสิ่งที่เลวหรือที่ตนเองไม่ต้องการมาถวาย

ตัวอย่างการเลือกหนึ่งในสิบของฝูงสัตว์เขาต้องทำดังนี้คือ เขายืนนับสัตว์กำลังเข้าคอก และคัดเอาทุกตัวที่สิบไม่ว่าดีหรือไม่ดี เพื่อนำไปถวายพระเจ้า ถ้าคนอยากจะถวายเงินแทนพืชผลหรือสัตว์เลี้ยงของเขา ก็ทำตามราคาที่ปุโรหิตคำนวณไว้ และเขาต้องเพิ่มเงินอีกหนึ่งในห้าของราคานั้นเป็นค่าปรับ เพราะเขาได้เอาสิ่งที่มอบถวายพระเจ้าแล้วกลับมาใช้เอง (ลนต. 27:30-33)

ทศางค์ที่ถวายพระเจ้าเหล่านี้ ประชาชนนำไปถวายให้พวกเลวี เหมือนดังเป็นรายได้ของพวกเลวี เพราะพวกเขาไม่มีโอกาสทำมาหากินเหมือนอย่างคนอื่น จึงต้องอาศัยการอุดหนุนจุนเจือจากพี่น้องชาวอิสราเอล พวกเขารับใช้พี่น้องร่วมชาติในศาสนกิจต่าง ๆ และเสี่ยงชีวิตแทนประชาชน เพราะถ้าเขาปฎิบัติพิธีต่าง ๆ เกี่ยวกับพลับพลาโดยท่าทีที่ไม่สมควรต่อพระเจ้า เขาต้องหายนะแน่นอน ดังนั้นทศางค์ที่พวกเขาได้รับจากประชาชนนับว่าเป็นบำเหน็จที่สมควร

อีกอย่างหนึ่งเผ่าเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งเขตที่ดินในคานาอัน แต่ได้กระจัดกระจายไปทั่วแผ่นดินเพื่อปฎิบัติกิจการทางศาสนา แต่การรับทศางค์จากอีก 11 เผ่าก็นับว่าเป็นการทดแทนเพียงพอที่เขาไม่ได้รับเขตที่ดิน (กดว. 18:21-24)

เมื่อได้รับทศางค์เป็นรายได้แล้ว คนเลวีเองก็ต้องถวายทศางค์เข่นกัน เขาถวายหนึ่งในสิบของรายได้ให้พวกปุโรหิตอีกทีหนึ่ง ถึงแม้ของถวายนั้นเป็นของคนอื่น แต่พระเจ้าทรงโปรดรับเหมือนกับเป็นของคนเลวีเอง ทั้งทรงโปรดให้เขาใช้ของที่เหลือเหมือนกับเป็นของจากไร่นาและฝูงสัตว์ของเขา (กดว. 18:25-32)

พิธีถวายทศางค์หรือสิบลดนี้ ประชาชนนำของไปที่พลับพลา (หรือพระวิหารในสมัยต่อมา) และร่วมในการกินเลี้ยงกับพวกเลวีเพื่อแสดงสามัคคีธรรมด้วยกัน  ไม่ใช่แต่หัวหน้าบ้านเท่านั้นที่ร่วมการกินเลี้ยง ทุกคนในบ้านของเขาก็ร่วมด้วย รวมทั้งภรรยา บุตรหลาน และลูกจ้าง (ฉธบ. 12:5-7;  17-19) ถ้าบ้านของผู้ถวายอยู่ห่างจากพลับพลามาก ทำให้ขนของลำบาก เขาก็ขายของนั้นในตำบลของตนได้ และนำเงินมาถวายแทน (ฉธบ. 14:22-27)

ในทุกสามปี แทนที่จะนำทศางค์ไปพลับพลา ก็แจกจ่ายในตำบลของตน เพื่อคนยากจนจะรับส่วนแบ่งจากพวกเลวีด้วย ในโอกาสนั้น เมื่อทำพิธีถวายเสร็จแล้ว ผู้ถวายต้องขึ้นไปยังพลับพลา และให้คำสัตย์สาบานต่อพระเจ้าว่า กระทำหน้าที่สำเร็จทุกอย่างลุล่วงไปตามพระบัญญัติของพระองค์เรียบร้อยแล้ว (ฉธบ. 14:28,  29;  26:12-15)

นอกจากการถวายสิบลด ยังมีการถวายอื่นๆ ด้วย ซึ่งบางอย่างเป็นข้อบังคับตามบัญญัติ บางอย่างก็เป็นการถวายด้วยความสมัครใจ (2  พศด.  31:5-6; นหม.  10:37-38;  12:44;  มลค.  3:8-10)

---------------------------------

สมัยพระคัมภีร์ใหม่

ศตวรรษต่อ ๆ มา พวกธรรมาจารย์ชาวยิวได้เพิ่มเติมข้อปฎิบัติและข้อห้ามมากมายในธรรมบัญญัติ ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องจุกจิก เขาทำอย่างนี้เรื่องมาจนถึงสมัยพระเยซู ธรรมบัญญัติเกี่ยวกับทศางค์และธรรมเนียมอื่น ๆ ก็กลายเป็นภาระหนักที่ชาวยิวแบกแทบไม่ไหว พวกอาจารย์สอนประชาชนว่า เขาต้องรักษาบัญญัติเหล่านี้อย่างเข้มงวดละเอียดละออ พระเจ้าจึงจะพอพระทัยพวกเขา

แต่พระเยซูกลับสอนว่า ถึงแม้คนจะเคร่งครัดทางขนบธรรมเนียประเพณีก็ตาม แต่ถ้าพวกเขาขาดความรัก ความเมตตา ความยุติธรรม หรือความเชื่อ พระเจ้าไม่พอพระทัยเขาเลย ตรงกันข้าม พระองค์จะลงโทษด้วย (มธ.  23:4,  23;  ลก.  11:42,  46;  18:12)

ไม่มีบัญญัติในพระคัมภีร์ใหม่ที่บังคับคริสเตียนให้ถวายสิบลดเหมือนชาวยิว แต่ก็ยังมีหลักปฎิบัติไว้ว่า ควรจะถวายส่วนหนึ่งของรายได้ตามแต่มีมากหรือน้อย (1คร.  16:2;  2คร.  8:12-14) พระเจ้าประสงค์ให้คริสเตียนถวายอย่างเต็มใจและสุดความสามารถ ไม่ใช่ถวายด้วยนึกเสียดาย หรือด้วยความฝืนใจ (2คร. 8:3;  9:7) พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า คนที่ถวายมากไม่ต้องกลัวขัดสน เพราะพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของสรรพสิ่งทั้งปวง จะทรงพิทักษ์รักษาจัดเตรียมไว้ให้พอสำหรับตัวเสมอ และจะทรงเพิ่มเติมให้อีกด้วย เป็นพระพรที่ผู้ถวายคาดไม่ถึงเลย (2คร.  9:8-10)






สรุปคือ การถวาย10ลด คริสตจักรส่วนมากเขาจะไม่บังคับกันครับ และพระศาสนจักรใหญ่ๆอย่างคาทอลิค หรือ ออโธดอก หรือโปรแตสแตนนท์สายใหญ่ๆ ก็จะไม่มีการบังคับเรื่องนี้ครับ จากการสังเกตส่วนตัว คริสตจักรที่เน้นถวายเงิน10ลดมากๆ ส่วนมากจะเป็นคริสตจักรที่ตั้งใหม่ หรือนิกายที่เกิดใหม่ไม่นานครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร ก.พ. 05, 2008 12:49 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อังคาร ก.พ. 05, 2008 10:48 am

sasuke เขียน: สวัสดีครับ :angel:

ยินดีต้อนรับ(ด้วยมิตรและไมตรี)นะครับ  : emo027 :
ในที่บอร์ดแห่งนี้เราเน้นสันติและความเป็นหนึ่งเดียวกันครับ
เพียงแค่ศาสนาต่างกัน ไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เราไม่สามารถเป็นมิตรกันได้
อย่างไรเราก็เป็นพี่น้องกันนะครับ หากมีข้อขุ่นข้องหมองใจเราย่อมควรที่จะพูดคุย และปรึกษาทำความเข้าใจกัน
หากสงสัยประการใดขอให้ถามมาได้เลยครับ ผมยินดีตอบเท่าที่ความรู้ของผมจะมี และผมก็คิดว่าพี่น้องทุกคนในที่นี้ก็ยินดีตอบเช่นกัน

ขอพระเจ้าอวยพรนะครับ
สันติถาพและความดี แด่ทุกท่าน
"ฟรังซิส อัสซีซี" มากเลย ... สันติภาพและความดีด้วย อิ อิ   ::011:: ::014::  ::012::
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

อังคาร ก.พ. 05, 2008 3:50 pm

มีกฏเรื่องการถวายสิบลดจริงครับ แต่ก็ไม่ได้มีการตรวจสอบว่าทุกคนถวาย 10% ตามจำนวนเป๊ะจริงหรือเปล่า  คือ ใครพอจะถวายได้เท่าไหร่ก็ถวาย แต่ก็เรียกว่า  สิบลด  ผมคิดว่ามันเป็นภาระใจของผู้จะถวายเองมากกว่า  ส่วนเรื่องความเป็นมาของการถวายสิบลดนั้น  คิดว่าพี่โฮลี่ คงให้ความกระจ่างได้ดีเยี่ยมแล้วครับ
เรื่องกิจกรรมของทางคริสตจักรนั้น  ก็ขึ้นอยู่กับเราเหมือนกันว่า  เราพอจะเข้าร่วมกิจกรรมใดได้บ้าง ถ้าเราไม่ว่างจริง ๆ การที่เราขาดกิจกรรมก็ไม่น่าจะเป็นอะไรครับ
ทางที่ดีผมว่าเราควรให้กำลังใจน้องเค้าครับ หากเห็นว่ากิจกรรมเยอะแล้วเราเข้าร่วมไม่ไหวก็เลือกเข้าเฉพาะกิจกรรมที่เราอยากเข้าจริง ๆ ก็ได้ครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะครับ ในความคิดเห็นของผมนะครับ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ก.พ. 06, 2008 3:52 am

คุณมีพระเจ้าอยู่ในหัวใจนะคะ  เพราะคุณมีความรัก  คุณรักน้อง กล้าหาญที่จะปกป้องน้อง  พระเป็นเจ้าทรงเมตตาคนเหล่านี้  เพราะเขามีหัวใจรักเหมือนพระองค์

ไม่รู้น้องคุณสัมผัสพระเป็นเจ้าทางไหน  แต่ถ้าเค้าได้เห็นพี่ชายเค้าแบบนี้  เค้าจะเห็นพระเป็นเจ้า  คอยดูแล  ห่วงใย  แต่หลายครั้งที่เราไม่เห็น  และไม่รู้
YUT_KOP เขียน: 2.การเข้ารวมกิจกรรมต่างๆที่จัดให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้กลับบ้านได้เดือนล่ะ 1ครั้ง (น้องผม อยู่หอ เพราะเรียนต่างจังหวัด) ผมว่ามันน้อยมาก แล้วเวลาที่กลับเจอหน้า พ่อ-แม่ ไม่เกิน 3-4 ชม.ต้องรีบกลับล่ะ
Remark.ผมก็สงสารน้องนะ ผมเข้าใจว่า น้องเองก็อยากกลับมาหา พ่อ-แม่บ่อยๆ แต่ด้วยตารางต่างๆ ทั้งเรียนและกิจกรรม ทางศริสเตียนทำให้ หาเวลากลับบ้านได้น้อยมากๆๆๆๆๆ แม่-พ่อ เสียใจแบบสุดๆเลยล่ะครับ
ผมควรทำไงดี ???
ลองเปิดใจอธิษฐานกับพระเป็นเจ้ามั้ยคะ  ถ้ายังไม่อยาก  ก็ลองบอกน้องก็ได้ว่า ให้น้องเชื่อในพระองค์ว่า  พระองค์จะให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเรา  ครอบครัวเป็นหน่วยความรักที่สำคัญ  พระเจ้าเป็นองค์ความรัก พระองค์ไม่ปล่อยให้ลูกของพระองค์ขาดความรัก  ความสัมพันธ์ที่ควรจะมีหรอกค่ะ  บอกให้น้องอธิษฐานกับพระองค์ว่า  ขอให้พระองค์ช่วยให้ลูกได้อยู่กับพ่อแม่  กับพี่เยอะขึ้น  และขอให้พระองค์มาอยู่ในครอบครัวเรา

น้องเป็นคริสต์  น้องจะต้องเรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า  ซึ่งความรักและความสัมพันธ์นั้นจะเสริมสร้างความรักที่มีให้แน่นแฟ้นขึ้นค่ะ  พระเจ้าไม่ได้รักแค้น้องคนเดียว  แต่รักทุกคนในครอบครัว  พระองค์เรียกน้องให้มารับพระพรจากพระองค์แล้ว  พระองค์ไม่ปล่อยให้พ่อแม่และคนในครอบครัวต้องว้าเหว่แน่นอนค่ะ  พระองค์เป็นองค์ความรัก  และพระองค์มีความรัก  พระองค์รู้ความรู้สึกของพ่อแม่และคนในครอบครัวดีค่ะ  ... 

ขอให้เชื่อใจและวางใจนะคะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดานุ้งพุงระเบิด
โพสต์: 518
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
ที่อยู่: อุบลราชธานี

พุธ ก.พ. 06, 2008 8:14 am

ขอให้สันติสุขของพระคริสตเจ้าสถิตกับท่านและครอบครัวของท่าน

ลองบอกน้องมาอ่านศึกษาข้อมูลต่างๆ ในเว็ปนี้ดูสิครับ แล้วก็บอกน้องให้ภาวนาขอให้พระเจ้านำทาง ให้เข้าทางเลือกที่ถูกต้อง เหมาะสม และดีสำหรับทุกฝ่าย : emo045 :
YUT_KOP
โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 02, 2008 11:51 pm

พุธ ก.พ. 06, 2008 7:55 pm

ขอบคุณกับการเสนอแนะที่ดี และ คำตอบเรื่อง สิบลด ผมก็ไม่อยากจะขัดด้วยเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ(ด้านความเชื่อ)
แต่ผมคิดว่า การให้สิบลด ที่ระบุบไว้ว่าไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ ให้เน้นด้านความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอันนี้
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
แต่บางบ้านที่เค้าอาจสอนให้ว่า ถ้าให้สิบลด(ให้ครบจริงๆ 1ใน 10 จริง)ก็จะทำให้พระเจ้ารักคนนั้นมากกว่า มีโอกาศที่จะไปอยู่กับพระองค์มากกว่า อันนี้ผมว่าแปลกสุดๆ ทำไม ไม่เน้นด้านความรัก อย่างที่พระองค์ประกาศไว้ล่ะ เพราะการให้ สิบลด(ตามคนที่มีเชื่อพระองค์) คงจะไม่กล้าหลอกพระองค์แบบว่าให้ไม่ครบแน่ๆ แต่ถ้าเรียกว่าให้ด้วยศรัทษา เท่าไหร ก็น่าจะดีที่สุดนะ
ปล.ผมสงสารน้องที่เงินจะไม่พอใช้ เพราะต้องเก็บ10ส่วนให้พระองค์10ส่วนใช้จริงๆ80ส่วน
แต่ถ้าลองมาแบ่งย่อย80ส่วน อาจจะมีรายจ่ายที่แน่นอน อยู่แล้วถึง60ส่วนแล้วกินเหลือ20ส่วน/เดือน นี้มันจะอดได้นะครับ
-บ้างครั้งผมจะต้องให้เงินน้องบ้างเพราะสงสาร พ่อผมยังรับไม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนผมที่ให้เพราะผมเชื่อว่าน้องผมไม่ได้เอาเงินตรงนี้ไปทำอะไรที่มันเป็น อกุศล แน่ๆ คิดว่ายังไงบ้างครับกับความเห็นของผมเผื่อจะได้แนะนำน้องได้
-น้องผมเป็นเอามากถึงขนาดไม่เชื่อคำพูดผม ไม่เคารพผมเลย เพราะคิดว่าตัวเอง คิดได้ดีกว่าผม (เวรแท้ๆ) แต่หลังๆนี้ก็เริ่มอ่อนๆกับผมบ้างแล้วล่ะ เหนื่อยใจจริงๆเนอะผม
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ก.พ. 06, 2008 9:15 pm

YUT_KOP เขียน: ขอบคุณกับการเสนอแนะที่ดี และ คำตอบเรื่อง สิบลด ผมก็ไม่อยากจะขัดด้วยเหตุผลที่ผมไม่เข้าใจ(ด้านความเชื่อ)
แต่ผมคิดว่า การให้สิบลด ที่ระบุบไว้ว่าไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ ให้เน้นด้านความรักต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอันนี้
น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
แต่บางบ้านที่เค้าอาจสอนให้ว่า ถ้าให้สิบลด(ให้ครบจริงๆ 1ใน 10 จริง)ก็จะทำให้พระเจ้ารักคนนั้นมากกว่า มีโอกาศที่จะไปอยู่กับพระองค์มากกว่า อันนี้ผมว่าแปลกสุดๆ ทำไม ไม่เน้นด้านความรัก อย่างที่พระองค์ประกาศไว้ล่ะ เพราะการให้ สิบลด(ตามคนที่มีเชื่อพระองค์) คงจะไม่กล้าหลอกพระองค์แบบว่าให้ไม่ครบแน่ๆ แต่ถ้าเรียกว่าให้ด้วยศรัทษา เท่าไหร ก็น่าจะดีที่สุดนะ
ปล.ผมสงสารน้องที่เงินจะไม่พอใช้ เพราะต้องเก็บ10ส่วนให้พระองค์10ส่วนใช้จริงๆ80ส่วน
แต่ถ้าลองมาแบ่งย่อย80ส่วน อาจจะมีรายจ่ายที่แน่นอน อยู่แล้วถึง60ส่วนแล้วกินเหลือ20ส่วน/เดือน นี้มันจะอดได้นะครับ
-บ้างครั้งผมจะต้องให้เงินน้องบ้างเพราะสงสาร พ่อผมยังรับไม่ได้อย่างแน่นอน ส่วนผมที่ให้เพราะผมเชื่อว่าน้องผมไม่ได้เอาเงินตรงนี้ไปทำอะไรที่มันเป็น อกุศล แน่ๆ คิดว่ายังไงบ้างครับกับความเห็นของผมเผื่อจะได้แนะนำน้องได้
-น้องผมเป็นเอามากถึงขนาดไม่เชื่อคำพูดผม ไม่เคารพผมเลย เพราะคิดว่าตัวเอง คิดได้ดีกว่าผม (เวรแท้ๆ) แต่หลังๆนี้ก็เริ่มอ่อนๆกับผมบ้างแล้วล่ะ เหนื่อยใจจริงๆเนอะผม
คุณมีความเป็นคริสตชนมากกว่าน้องนะคะ  เพราะคุณเข้าใจความรัก และคุณรัก  ::001::

คือสิ่งที่น้องเป็นในตอนนี้  เราก็จะมองว่า  เค้าตกในบาปจองหองน่ะค่ะ  แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแย่ขนาดนั้น  เพราะเราทุกคนเป็นคนบาป  แต่ละคนก็จะมีบาป ตกในบาปที่ต่างกัน  แต่ความหวังของเราอยู่ที่พระเยซูคริสต์  นั่นคือ  พระองค์เอาชนะความตายแล้ว  และเอาชนะบาปทั้งปวง 

ซึ่งถ้าเจอแบบนี้  เราจะสวดให้เค้าค่ะ  ให้เค้าได้รับพระพรของพระเป็นเจ้า  เพื่อให้เค้าไม่ตกในบาป  เพื่อให้ปีศาจปล่อยตัวเค้า  ปีศาจจองหองเป็นปีศาจที่ร้ายกาจ  เราต้องสวดให้เค้าเยอะๆ

ที่บอกให้คุณสวดให้น้องก็เพราะคุณจะสวดให้เค้าได้อย่างดีที่สุด  เพราะคุณรักน้องที่สุด  คนอื่นช่วยสวดได้  แต่พูดกันตรงๆเลยก็คือ  เราจะรักน้องคุณไม่เท่าที่คุณรัก  คำภาวนาที่ทรงพลังที่สุดคือ  การภาวนาจากหัวใจ  ด้วยความรัก  มันยากมากที่จะภาวนาเพื่อคนบาป  และมันยากมากที่จะทนความบกพร่องของคน  คนที่รักเท่านั้นที่จะทำได้ อย่างที่คุณอดทนกับน้องทุกวันนี้  คุณทำได้เพราะคุณรัก..  ::001::

การสวดอาจทำในลักษณะเหมือนที่คุณนั่งสมาธิ  แผ่เมตตาก็ได้  แต่ขอให้ใจคุณมีรัก  รักน้องให้มาก และยกจิตขึ้นสูงสู่เบื้องบน  ให้น้องได้กลับมาเป็นน้องคนเดิม  ให้น้องได้มีความรักมากขึ้น  และเห็นความรักที่แท้จริง  ::001::

แต่ถ้าไม่อยากสวด  ก็ลองไปขอมิสซาที่วัดมั้ยคะ  เป็นอะไรที่ง่ายที่สุดแล้ว  พ่อแม่ตัวเองก็พุทธเหมือนกัน  เค้าก็ไปขอมิสซาให้บ่อยๆ  คือเค้าจะรู้ว่า  เราจะทำบุญแบบพุทธไม่ได้แล้ว  เค้าก็จะทำแบบคริสต์ให้เราแทน

คริสตชนเราถูกสอนให้รักผู้อื่น  เหมือนที่พระเจ้ารักเรา  แต่ความรักเราก็ยังไม่สมบูรณ์  เราต้องฝึก  ต้องพัฒนา  ต้องภาวนาวอนขอให้รักมากขึ้น  คนที่รักอยู่แล้วถือเป็นพระพร  อันนี้จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า  ทำไมเรารักน้องคุณไม่เท่าที่คุณรัก  (แต่มีนะคะ  คนที่รักได้อย่างคุณ  หรือมากกว่า  แต่ต้องเข้าใจว่า  อันนั้นคือ  จิตเค้าสูง  มีความรักเหมือนพระเป็นเจ้า  ซึ่งไม่ใช่คนส่วนใหญ่  อันนี้พูดกันตรงๆนะคะ)  ยอมลำบากเพื่อน้อง  คอยปกป้องความผิดน้องไม่ให้พ่อรู้  (เหมือนพระบุตรที่ยอมตายเพื่อเรา  เพื่อให้เรารอด)

คุณเหมือนพระคริสตเจ้านะคะ  คุณมีความรักเหมือนพระองค์  ไม่แปลกเลยที่เค้าบอกว่า  มีความรอดนอกพระศาสนจักร  มีคนอย่างคุณอีกมากที่ไม่ได้รับการล้างบาป  แต่มีจิตใจเหมือนพระเยซูคริสต์

จะสวดให้เป็นพิเศษนะคะ  ::001::
YUT_KOP
โพสต์: 4
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ ก.พ. 02, 2008 11:51 pm

อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 2:11 am

สวัสดีครับผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเรื่อง
เมื่อวันนี้น้องผมได้บอกว่าจะมีคนจีน(นักศึกษาแลกเปลี่ยน)มาอยู่ด้วยที่ห้องเช่า(น้องผมอยู่คนเดียว)เพราะว่าเค้าต้องการที่พักเนื่องจากครบกำหนดอยู่หอมหาวิทยาลัยแล้ว(จำเป็นต้องย้ายออก) แต่โดยส่วนตัวผม ผมไม่อยากให้น้องอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักอะไรมากมาย(พอรู้จักกันในเบื้องต้นตอนไป โบสถ์) เพราะว่า นิสัยส่วนตัวน้องผมเป็นดังนี้
1.เป็นคนนอนหลับยาก ถ้ามีเสียงดังนิหน่อยจะนอนไม่ค่อยจะหลับ
2.เป็นคนต้องการการเป็นส่วนตัวสูง
3.น้องเรียน ป.โท ต้องการเวลาในการทำรายงานและอ่านหนังสือมาก
ด้วยเหตุผลหลักๆนี้น้องผมเคยบ่นและย้ายหอ2-3รอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ตอนนั้นผมได้สอนให้เค้าค่อยๆปรับตัวเวลาอยู่กับคนอื่นทั้งเรื่องเรียน การนอน การส่วนตัว และอื่นๆที่ใช้ชีวิตแบบหอพัก
แต่ตอนนั้นน้องผมยกเหตุผลส่วนตัวมากมายบอกว่า ยากที่ผมจะเข้าใจ ผมจึงยอมให้เค้าย้ายไปอยู่คนเดียว
แต่มาบันนี้ เพราะคนในโบสท์แนะนำให้ปรับตัวเลย ยอมให้คนจีนมาอยู่ด้วยที่ห้องพัก(พี่ชายแท้ๆพูดไปเป็นปีไม่เชื่อ ถ้าไม่ใช้คนในโบสถ์ พูดคงไม่เชื่อผมอยู่ดี)
ผมเลยแนะนำน้องไปว่า
ผม การที่น้องเอาคนอื่นมาอยู่ด้วยผมเห็นด้วยนะ แต่ผมอยากให้เป็นคนไทย คนที่รู้จักนิสัยกันมากกว่านี้ เพราะการนอนด้วยกัน อยู่ห้องเดียวกันจะต้องสนิดกันพอสมควร แล้วภายหน้าถ้าน้องเริ่มอึดอัดทนอยู่ด้วยไม่ได้ คนที่จะลำบาคใจก็หนีไม่พ้นจะเป็นเรานั้นเอง จะบอกให้เค้าออก ก็ลำบาค จะย้ายออกเองก็ลำบาค(เป็นเจ้าของห้อง)แล้วจะทำยังไง
น้อง ถ้ายังไม่ได้อยู้ด้วยกันจะรู้ได้ไงว่าอยู่ด้วยไม่ได้ มันอาจจะอยู่ด้วยกันได้ดีก็ได้
ผม ถ้าอยู่ด้วยดีได้ ก็ดีสิ แต่ไม่ได้คิดถึงตอนที่มันแย่ๆบ้างหรอตอนนั้นจะทำไง
น้อง ถ้ามันไม่ดีจริงๆถึงตอนนั้นคงต้องลองดู
น้อง เท่าที่เห็นตอนนี้เค้าก็ดีนะไม่เห็นมีอะไรเลย
ผม การนอนด้วยกัน การเริ่มสนิดกันจะทำให้ คนๆนั้นเปลี่ยนจากเกรงใจเป็นเริ่มไม่เกรงใจกันทีละเล็กทีละน้อง
จนสุดท้าย เราจะเป็นฝ่ายต้องทนอยู่ ผมบอกเลยว่าน้องอยู่กับคนนี้ได้ไม่นานหรอก ไม่เกิน6เดือนรู้กันว่าจะย้ายออกหรือจะเป็นอย่างไร ที่ผมกังวลก็คือ
1.เป็นคนต่างชาติ ที่วัฒนธรรม ประเพณีแตกต่างกัน
2.การรู้จักนิสัยใจคอแบบ เผินๆยังน้อยเกินไปที่จะอยู่ด้วยกัน
3.ไม่รู้จักประวัติ ที่มาที่ไป แม้นว่าจะมีคน รับรองให้ก็ตาม เราก็ไม่แน่ใจพิ้นฐานครอบครัว คนจีน คนนี้ได้
สุดท้ายก็ ผมก็บอกน้องไปแล้วว่า คำแนะนำ คำเป็นห่วง คำเตือนผม ผมก็ได้พูดไปหมดแล้ว คนที่ตัดสิ้นใจจริงๆว่าจะให้อยู่ด้วยหรือไม่ก็คือน้องผม คนเดียว และน้องก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอก พ่อ-แม่ แน่ๆจนกว่าจะอยู่ด้วยกันได้ดี ถึงค่อยเล่าให้ฟัง แต่สุดท้ายถ้าไปไม่รอด มีเรื่องกัน คนที่จะต้องรับผิดชอบจะเป็นผมคนเดียวที่ปล่อยให้น้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าต่างชาติแบบนี้ แล้วไม่บอกให้พ่อ-แม่ ทราบ คนในโบสถ์(ที่แนะนำให้อยู่ด้วย) จะไปรับผิดชอบได้เท่ากับคนในครอบครัวไหม....
แก้ไขล่าสุดโดย YUT_KOP เมื่อ อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 2:17 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ ก.พ. 17, 2008 6:55 am

YUT_KOP เขียน: สวัสดีครับผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเรื่อง
เมื่อวันนี้น้องผมได้บอกว่าจะมีคนจีน(นักศึกษาแลกเปลี่ยน)มาอยู่ด้วยที่ห้องเช่า(น้องผมอยู่คนเดียว)เพราะว่าเค้าต้องการที่พักเนื่องจากครบกำหนดอยู่หอมหาวิทยาลัยแล้ว(จำเป็นต้องย้ายออก) แต่โดยส่วนตัวผม ผมไม่อยากให้น้องอยู่กับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักอะไรมากมาย(พอรู้จักกันในเบื้องต้นตอนไป โบสถ์) เพราะว่า นิสัยส่วนตัวน้องผมเป็นดังนี้
1.เป็นคนนอนหลับยาก ถ้ามีเสียงดังนิหน่อยจะนอนไม่ค่อยจะหลับ
2.เป็นคนต้องการการเป็นส่วนตัวสูง
3.น้องเรียน ป.โท ต้องการเวลาในการทำรายงานและอ่านหนังสือมาก
ด้วยเหตุผลหลักๆนี้น้องผมเคยบ่นและย้ายหอ2-3รอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ตอนนั้นผมได้สอนให้เค้าค่อยๆปรับตัวเวลาอยู่กับคนอื่นทั้งเรื่องเรียน การนอน การส่วนตัว และอื่นๆที่ใช้ชีวิตแบบหอพัก
แต่ตอนนั้นน้องผมยกเหตุผลส่วนตัวมากมายบอกว่า ยากที่ผมจะเข้าใจ ผมจึงยอมให้เค้าย้ายไปอยู่คนเดียว
แต่มาบันนี้ เพราะคนในโบสท์แนะนำให้ปรับตัวเลย ยอมให้คนจีนมาอยู่ด้วยที่ห้องพัก(พี่ชายแท้ๆพูดไปเป็นปีไม่เชื่อ ถ้าไม่ใช้คนในโบสถ์ พูดคงไม่เชื่อผมอยู่ดี)
ผมเลยแนะนำน้องไปว่า
ผม การที่น้องเอาคนอื่นมาอยู่ด้วยผมเห็นด้วยนะ แต่ผมอยากให้เป็นคนไทย คนที่รู้จักนิสัยกันมากกว่านี้ เพราะการนอนด้วยกัน อยู่ห้องเดียวกันจะต้องสนิดกันพอสมควร แล้วภายหน้าถ้าน้องเริ่มอึดอัดทนอยู่ด้วยไม่ได้ คนที่จะลำบาคใจก็หนีไม่พ้นจะเป็นเรานั้นเอง จะบอกให้เค้าออก ก็ลำบาค จะย้ายออกเองก็ลำบาค(เป็นเจ้าของห้อง)แล้วจะทำยังไง
น้อง ถ้ายังไม่ได้อยู้ด้วยกันจะรู้ได้ไงว่าอยู่ด้วยไม่ได้ มันอาจจะอยู่ด้วยกันได้ดีก็ได้
ผม ถ้าอยู่ด้วยดีได้ ก็ดีสิ แต่ไม่ได้คิดถึงตอนที่มันแย่ๆบ้างหรอตอนนั้นจะทำไง
น้อง ถ้ามันไม่ดีจริงๆถึงตอนนั้นคงต้องลองดู
น้อง เท่าที่เห็นตอนนี้เค้าก็ดีนะไม่เห็นมีอะไรเลย
ผม การนอนด้วยกัน การเริ่มสนิดกันจะทำให้ คนๆนั้นเปลี่ยนจากเกรงใจเป็นเริ่มไม่เกรงใจกันทีละเล็กทีละน้อง
จนสุดท้าย เราจะเป็นฝ่ายต้องทนอยู่ ผมบอกเลยว่าน้องอยู่กับคนนี้ได้ไม่นานหรอก ไม่เกิน6เดือนรู้กันว่าจะย้ายออกหรือจะเป็นอย่างไร ที่ผมกังวลก็คือ
1.เป็นคนต่างชาติ ที่วัฒนธรรม ประเพณีแตกต่างกัน
2.การรู้จักนิสัยใจคอแบบ เผินๆยังน้อยเกินไปที่จะอยู่ด้วยกัน
3.ไม่รู้จักประวัติ ที่มาที่ไป แม้นว่าจะมีคน รับรองให้ก็ตาม เราก็ไม่แน่ใจพิ้นฐานครอบครัว คนจีน คนนี้ได้
สุดท้ายก็ ผมก็บอกน้องไปแล้วว่า คำแนะนำ คำเป็นห่วง คำเตือนผม ผมก็ได้พูดไปหมดแล้ว คนที่ตัดสิ้นใจจริงๆว่าจะให้อยู่ด้วยหรือไม่ก็คือน้องผม คนเดียว และน้องก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอก พ่อ-แม่ แน่ๆจนกว่าจะอยู่ด้วยกันได้ดี ถึงค่อยเล่าให้ฟัง แต่สุดท้ายถ้าไปไม่รอด มีเรื่องกัน คนที่จะต้องรับผิดชอบจะเป็นผมคนเดียวที่ปล่อยให้น้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าต่างชาติแบบนี้ แล้วไม่บอกให้พ่อ-แม่ ทราบ คนในโบสถ์(ที่แนะนำให้อยู่ด้วย) จะไปรับผิดชอบได้เท่ากับคนในครอบครัวไหม....
ตอนแรกคิดว่า  น้องอายุ 17-18  ::001::

ขอแนะนำแบบนี้นะคะ  จากหัวอกคนเป็นพี่คนโตเหมือนกัน

1. น้องโตแล้วนะคะ  ที่จริงต้องปล่อยให้น้องได้โตด้วย  ที่น้องเชื่อคนอื่นง่ายเพราะ น้องคุ้นเคยกับความอบอุ่น  ปลอดภัยที่ได้รับคำแนะนำมาตลอด  เมื่อน้องต้องเผชิญเอง  เค้าก็กลับไปหาสิ่งที่คุ้นเคยคือ  คำแนะนำจากคนที่เค้าเชื่อใจ  เค้าไม่ได้คิดเอง  (บอกตรงๆนะคะ  เค้าจะคิดเองไม่เป็นด้วย  เพราะไม่เคยถูกปล่อยให้คิดเอง)  ...  เค้าคิดว่า  เค้าโต  เค้าอิสระจากที่บ้าน  แต่ที่จริงก็ไม่ใช่  เค้ายังเป็นน้องที่ต้องการนำจากคนอื่นตลอด

2. ขอให้ไว้ใจและเชื่อใจน้อง  ที่สำคัญคือ  เชื่อว่า  เราสอนเค้ามาเยอะแล้ว  ตอนนี้เป็นหน้าที่ของเค้าแล้ว  ที่เค้าต้องโต  เราจะอยู่ปกป้องน้องตลอดไม่ได้  เพราะเราเอง  เราก็ไม่รู้ว่า  เราจะไปเมื่อไหร่  ตอนนี้อาจจะน้อยใจนะคะว่า  น้องไม่เห็นความสำคัญ  แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า  เค้ารักเราที่สุดแล้วล่ะ  วันนึง  เค้าจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำให้เค้าทั้งหมด

3. น้องต้องการอิสระบ้าง  แต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ปล่อย  พอจะมีอิสระจริงๆ  ก็จะกลัวๆเหมือนกัน  ไม่กล้าตัดสินใจ  อันนี้ต้องไว้ใจเค้านะคะ  ต้องให้เค้าได้เรียนรู้  ให้เค้ามีความมั่นใจในการใช้ชีวิต  ....  เราเป็นพี่นะคะ  ไม่ใช่ "พ่อ" (ถึงพ่อก็เหมือนกัน  พ่อก็ต้องปล่อยวางเหมือนกัน) เราจะดูเค้าได้ประมาณนึง  แต่ที่สุดแล้ว  ชีวิตเป็นของเค้า  เราต้องปล่อยวาง  ไม่งั้นเค้าไม่โต

4. เรื่องคนจีน  อย่าเพิ่งไปตัดสินอะไรเลยค่ะ  คนเราอยู่ได้ด้วยการปรับตัว  อย่างที่น้องบอก  ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆ  ก็ค่อยหาทางปรับกันไป  เค้าเป็นคนจีน  แต่เค้าก็เป็นคนเหมือนเรา  คุยกันได้  ปรับความเข้าใจกันได้  อันนี้ต้องให้น้องเรียนรู้นะคะ  ...  บอกน้องถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น  และให้เค้าเผชิญ  บอกแค่ว่า  ถ้ามีปัญหาอะไร  พี่จะอยู่ตรงนี้ตลอด  มาหาได้เสมอ

::001::  เข้าใจว่า  จะถูกปลูกฝังมาแต่เด็กให้ดูแลน้อง  เป็นสิ่งที่ดีนะคะ  แต่ต้องอย่าดูจนเราเครียด  และดูจนน้องไม่โต  ตัดสินใจอะไรเองไม่ได้  พระเป็นเจ้ารักเรามาก  พระองค์ยังให้เราตัดสินใจเองเลยนะคะ  ถึงแม้ว่า  การตัดสินใจของเราจะหันออกไปจากพระองค์ก็ตาม  พระองค์ก็ให้  เพราะความรักคือ  การให้อิสระกัน  ไม่งั้นก็เหมือนกับเรารักตัวเอง  เรากลัวว่า  ถ้าน้องเป็นอะไรไป  พ่อแม่จะว่าเรา  กลัวว่า  เราจะเสียใจมากจนทำใจไม่ได้  เรากำลังปกป้องตัวเองนะคะ  ไม่ใช่ปกป้องน้อง  (ถ้าคิดแบบนั้นนะ)  ดังนั้น  ให้อิสระเค้านะคะ  และคอยดูอยู่ห่างๆ  เพื่อให้เค้าเดินเองได้นะคะ  ::001::
ตอบกลับโพส