Ref.(1)คพ.อำนวย ยุ่นประยงค์,คพ.สมชัย พิทยาพงศ์พร,การฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต(2)OT,NT(3)ความทรงจำจากบทเทศน์
บทนำ
................เราจะสังเกตได้ว่า คริสตชนใหม่ที่จะรับศีลล้างบาป(บางส่วน)นั้น จะได้รับศีลล้างบาปในช่วงสัปดาห์ท้ายและช่วงเวลาสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ที่เข้ากระบวนการรับผู้ใหญ่เป็นคริสตชน(RCIA)มักจะรับศีลล้างบาปในช่วงนี้ ทำไมกันหนอ?หลายคนที่เป็นพึ่งเป็นคริสตชนอาจสงสัย แน่นอนมีคำตอบอยู่
หมายเหตุ.*เป็นไปได้แน่นอนว่า จะมีการล้างบาปนอกจากช่วงเวลาที่กำหนดนี้
................เพราะมหาพรตนับใช้ว่าเป็นช่วงสำหรับพลีกรรมใช้โทษบาป เป็นช่วงเวลาที่เราคริสตชนจะรำลึกถึงศีลล้างบาป โดยสังคายวาติกันได้บอกเราอีกว่า "เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาของการฟังพระวาจาและสวดภาวนา เพื่อให้เราสามารถร่วมฉลองปัสกาได้อย่างสมควร"
................ในบทความการฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต กล่าวว่า มหาพรตเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ และเป็นข้อผูกมัดพระศาสนจักรให้กระทำกิจการต่อไปนี้ คือ
(1)ให้หมู่คณะเตรียมใจรับพระคริสตเจ้าผู้คืนพระชนม์อย่างเหมาะสม การเตรียมใจมีลักษณะเป็นการฟื้นฟูตนเองอาศัยพระวาจาของพระเจ้า การภาวนา การทำบุญให้ทาน หรือ กิจเมตตาต่างๆ และการอดอาหาร
(2)ให้ผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาปเตรียมตัวอย่างเข้มข้น
(3)มีการโปรยเถ้า(ในวันพุธรับเถ้า)เป็นเครื่องหมายเตือนให้เราใช้โทษบาป(ใน 40 วันต่อจากนั้นไป)
ถ้าเราไปมิสซาทุกวันหรือทุกวันอาทิตย์ เราจะเห็นว่าในโครงสร้างปีA(หลายวัดอาจจะกล่าวตอนต้นๆปีว่า ปีนี้ปีA)
จะเน้นให้เราเห็นถึง"ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร" ดังนี้
(คุณสามารถเข้าไปอ่าน บทเทศน์วันอาทิตย์ได้ที่ อัครสังฆมณฑล โดย คพ.วิทยา)
อาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 2:7-9 การสร้างและบาป
บทอ่านที่2:โรม 5:12-19 บาปและการไถ่
บทอ่านที่3:มัทธิว 4:1-11 การประจญของพระเยซูเจ้า
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 12:1-4 กระแสเรียกของอับราฮัม
บทอ่านที่2:2ทิโมธี1:8-10 กระแสเรียกของเรา
บทอ่านที่3:มัทธิว 17:1-9 การจำแลงพระกาย
อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:อพยพ 17:3-7 ความกระหายของอิสราแอล
บทอ่านที่2:โรม 5:1-8 ความรักของพระเจ้าที่หลั่งมายังเรา
บทอ่านที่3:ยอห์น 4:5-42 หญิงชาวสะมาเรีย
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:1ซามูเอล16:1-13 การเจิมดาวิด
บทอ่านที่2:เอเฟซัส 5:8-14 ตื่นขึ้นจากความตาย
บทอ่านที่3:ยอห์น 9:1-41 การรักษาคนตาบอด
อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:เอเสเคียล 37:12-14 เราจะปลุกท่านจากความตาย
บทอ่านที่2:โรม 8:8-11 พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
บทอ่านที่3:ยอห์น 11:1-45 การกลับขึ้นมาเป็นของลาซารัส
เหตุใดจึงต้องประกอบด้วยสามบทอ่าน?
................โดยนัยทั่วไป,เพื่อให้คริสตชนเข้าใจพระวาจาอันทรงชีวิตและจิตตารมณ์ของบทอ่านนั้น ผ่านการฟังบทอ่านและพระวรสาร ทั้งยังถูกขยายความอีกครั้งโดยบทเทศน์ ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นและรับเอาสิ่งที่ฟังไปปฏิบัติด้วยดวงจิตและความจริง ผ่านการตอบรับว่า"ขอขอบพระคุณพระเจ้า" ในบทอ่านที่ 1 และ 2 ดังนั้นการตอบจึงไม่ใช่การตอบส่งๆเพราะจำได้หรือต้องตอบ แต่เป็นสิ่งที่เราระลึกว่าเราได้ฟัง"พระวาจาของพระเจ้า"ทำให้เราต้องแสดงคารวกิจด้วย"การขอบคุณ"และสรรเสริญพระองค์ผ่านบทสดุดี
................สำหรับพระวรสารมีรูปแบบที่พิเศษขึ้น โดยพระสงฆ์เป็นผู้กล่าวเองและมีการทักทายว่า"พระเจ้าสถิตกับท่าน"(วินิจฉัย6:12,ลูกา1:28)เพื่อเน้นอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ในดวงใจเรา(มโนธรรม) และเรากล่าวด้วยความมั่นใจว่า"และสถิตกับท่านด้วย"เพื่อชี้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระวรสารจะถูกชี้นำไปในสายพระเนตรของพระเจ้าแน่นอน ดังนั้นในการอ่านพระวรสารเราจึงต้อง"พนมมือ"เพื่อแสดงถึงความเคารพพระวรสาร(อันเราได้"ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าข้า"ไปแล้ว และโดยมากพระวรสารจะเป็นการโต้ตอบระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับผู้คน เป็นภาพชัดเจนหรือสัญลักษณ์ที่เร้าให้เรารู้สึกถึงความรักและอ่อนโยนของพระ เราจึงแสดงคารวกิจด้วย"ขอพระคริสตเจ้าทรงพระเจริญเทอญ"
โครงสร้างของสามบทอ่านเป็นดังนี้
(1)ข้อความในพันธสัญญาเดิม:เมื่อเราได้ฟังแล้ว จะทำให้เราเห็นถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับพันธสัญญาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนหรือเป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ ทั้งนี้ สิ่งที่เราได้เหมือนกันคือ เราได้เห็นแผนการของพระเจ้า เพราะในพันธสัญญาเก่าเราจะเห็นภาพมนุษย์แท้ๆได้ชัดเจน เราได้สัมผัสถึงมุมมองอันหลากหลายและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่คนมองพระเจ้า ที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการหลากหลายที่พระเจ้าทรงเผยแสดงและตัดสินพระทัยกระทำการสารพัด
(2)ข้อความในจดหมาย:ทำให้เราเห็นในมุมมองของตัวเราเอง เห็นกิจการของผู้รับใช้(ที่เราเรียกท่านว่านักบุญ)เราได้เห็นการแสดงความรู้สึกที่หลากหลายในฐานะมนุษย์ เป็นการเตือนใจตนเองหลายประการ บางครั้งถ้าเราฟังดีๆเราจะพบว่า บทอ่านทั้งสองนี้จะเชื่องโยงกันน่าประหลาด ราวกับบทอ่านที่สองคือคำตอบที่ดีประการหนึ่งของบทอ่านแรก หรือบทอ่านแรกคือทางไปสู่บทอ่านที่สอง
(3)พระวรสาร:เป็นการฟังคำตรัสโต้ตอบของพระเยซูเจ้า ทำให้เราเห็นพระองค์ทรงชีวิตแจ่มชัดมากขึ้น(เพื่อยกจิตใจเราให้สมควรกับการรับปังอันบันดาลชีวิต)ทำให้เราเห็นข้อสรุปของบทอ่านที่หนึ่งว่า พระเจ้าทรงเตรียมการณ์มาเช่นนี้ เพื่อองค์พระบุตรเช่นนี้ หรือ องค์พระบุตรได้ดำเนินตามรอยบทอ่านเช่นนี้
................ดังนั้น,สามบทอ่านจึงสำคัญ เพราะจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นในคำสอน ประกอบกับ มีบทเทศน์ที่ได้ขยายความ ให้ข้อสังเกต ตักเตือนเรา ให้มองเห็นทางที่แจ่มชัดมากขึ้น เรามักจะพบเสมอๆเหมือนกันว่า ทุกครั้งที่เราได้ฟังพระวาจา พระเลือกจะเตือนเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน และน่าแปลกกว่าคือบทอ่านบทเดียวกัน ทำให้จิตใจเราทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องรับมาคิดพิจารณาอย่างทั่วถึงทุกคน(แต่คนละแง่) นี่อาจนับได้ว่าเป็น พระหรรษทานที่ทรงแจกจ่ายให้แก่เราทุกคนในมิสซา(ก่อนรับปัง)ที่หลายคนอาจมองข้าม และละเลย
ดังนั้น เราจึง"ขอสรรเสริญเยินยอพระองค์ ราชาธิราชผู้ทรงเกียรตินิรันดร"
นอกเรื่องซะเยอะ
มีต่อครับ
ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
หมายเหตุ.ผู้เขียนจะไม่พยายามตีความโดยตรง(เพราะการตีความมีสมบูรณ์ในบทเทศน์)ผู้เขียนอยากให้ข้อสังเกต
อาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 2:7-9 การสร้างและบาป
บทอ่านที่2:โรม 5:12-19 บาปและการไถ่
บทอ่านที่3:มัทธิว 4:1-11 การประจญของพระเยซูเจ้า
................พระธรรมเดิมได้บอกเราให้รู้เสียก่อนว่า บาปมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะเหตุใด จากนั้นจึงได้ยกโรมมากล่าวซึ่งสอดคล้องกับปฐมกาล"บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น"ดังนั้น บทอ่านที่1และ2นี้จึงเป็นการบอกให้เราทราบว่า "เราทุกคนบาป บาปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย"แต่ได้ให้หนทางไว้ว่าจงมีคุณธรรม"เชื่อฟัง"
................จากนั้นพระวรสารได้ยกเหตุการณ์การประจญของพระเยซูเจ้าในถื่นทุรกันดาร ซึ่งเราเชื่อมโยงได้มากมายทีเดียว เพียงคำว่า"40วัน40คืน"ก็ทำให้เราได้ข้อสังเกตมากมายแล้ว เช่น เลข40นี้ ย่อมเกี่ยวโยงกับชนชาติอิสราเอลที่ดื้อกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องระเหเร่ร่อนในทะเลทรายถึง 40 ปี และเราจะเห็นอีกว่า พระเยซูเจ้าทรงเอาชนะมีชัยเหนือมารที่มาประจญพระองค์ซึ่งทำให้แตกต่างจากเหตุการณ์ที่แล้วมา เพราะพระองค์ทรงมีความเชื่อมั่นคง และยังทรงกล่าวสำทับอีกว่า"อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า"(เทียบ อพยพ 17:1-7)
................บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกอะไรเรา บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกเราให้เริ่มตระหนักตนว่า"เราคือคนบาป"และพระเยซูเจ้านี้เอง ที่เป็นพระผู้ไถ่แท้จริง เราได้เห็นประวัติของพระองค์ในส่วนที่มีความเชื่อมั่นคง ทรงเอาชนะเสียซึ่งการล่อลวง ดังนั้น ทรงรับเอาสภาพมนุษย์ไว้แต่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนพวกเราที่แพ้การล่อลวง ดังนั้น เราต้องเริ่มที่จะ"ตระหนักในบาปของเราและมีความเชื่อฟัง"และความตระหนักนี้จะทำให้เราดำเนินชีวิตในมหาพรตอย่างสมควรด้วยการพลีกรรมและใช้โทษบาป และความเชื่อฟังนี้จะนำเราไปสู่การฟังพระวาจาอันทรงชีวิต
(ข้อสังเกต)
................จากอาทิตย์ที่1 นี้ทำให้ในอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต เราย่อมมีความรู้สึกพิเศษมากๆกับ การสารภาพบาปตอนเริ่มพิธี"ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็น คนบาป"เพราะอาทิตย์ที่แล้วได้เตือนเราให้ตระหนักเช่นนั้น และยังทำให้เรารู้สึกพิเศษในบทข้าแต่พระบิดาส่วนที่" โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ"ทำให้จิตใจเราถูกยกระดับขึ้นไปหาพระเป็นเจ้าทั้งครบ ผ่านศาสนบริกรและศีลมหาสนิท
เห็นไหมว่ามิสซามีอะไรมากกว่าที่เห็น
มีต่อ
อาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 2:7-9 การสร้างและบาป
บทอ่านที่2:โรม 5:12-19 บาปและการไถ่
บทอ่านที่3:มัทธิว 4:1-11 การประจญของพระเยซูเจ้า
................พระธรรมเดิมได้บอกเราให้รู้เสียก่อนว่า บาปมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะเหตุใด จากนั้นจึงได้ยกโรมมากล่าวซึ่งสอดคล้องกับปฐมกาล"บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น"ดังนั้น บทอ่านที่1และ2นี้จึงเป็นการบอกให้เราทราบว่า "เราทุกคนบาป บาปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย"แต่ได้ให้หนทางไว้ว่าจงมีคุณธรรม"เชื่อฟัง"
................จากนั้นพระวรสารได้ยกเหตุการณ์การประจญของพระเยซูเจ้าในถื่นทุรกันดาร ซึ่งเราเชื่อมโยงได้มากมายทีเดียว เพียงคำว่า"40วัน40คืน"ก็ทำให้เราได้ข้อสังเกตมากมายแล้ว เช่น เลข40นี้ ย่อมเกี่ยวโยงกับชนชาติอิสราเอลที่ดื้อกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องระเหเร่ร่อนในทะเลทรายถึง 40 ปี และเราจะเห็นอีกว่า พระเยซูเจ้าทรงเอาชนะมีชัยเหนือมารที่มาประจญพระองค์ซึ่งทำให้แตกต่างจากเหตุการณ์ที่แล้วมา เพราะพระองค์ทรงมีความเชื่อมั่นคง และยังทรงกล่าวสำทับอีกว่า"อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้า"(เทียบ อพยพ 17:1-7)
................บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกอะไรเรา บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกเราให้เริ่มตระหนักตนว่า"เราคือคนบาป"และพระเยซูเจ้านี้เอง ที่เป็นพระผู้ไถ่แท้จริง เราได้เห็นประวัติของพระองค์ในส่วนที่มีความเชื่อมั่นคง ทรงเอาชนะเสียซึ่งการล่อลวง ดังนั้น ทรงรับเอาสภาพมนุษย์ไว้แต่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนพวกเราที่แพ้การล่อลวง ดังนั้น เราต้องเริ่มที่จะ"ตระหนักในบาปของเราและมีความเชื่อฟัง"และความตระหนักนี้จะทำให้เราดำเนินชีวิตในมหาพรตอย่างสมควรด้วยการพลีกรรมและใช้โทษบาป และความเชื่อฟังนี้จะนำเราไปสู่การฟังพระวาจาอันทรงชีวิต
(ข้อสังเกต)
................จากอาทิตย์ที่1 นี้ทำให้ในอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต เราย่อมมีความรู้สึกพิเศษมากๆกับ การสารภาพบาปตอนเริ่มพิธี"ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็น คนบาป"เพราะอาทิตย์ที่แล้วได้เตือนเราให้ตระหนักเช่นนั้น และยังทำให้เรารู้สึกพิเศษในบทข้าแต่พระบิดาส่วนที่" โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ"ทำให้จิตใจเราถูกยกระดับขึ้นไปหาพระเป็นเจ้าทั้งครบ ผ่านศาสนบริกรและศีลมหาสนิท
เห็นไหมว่ามิสซามีอะไรมากกว่าที่เห็น
มีต่อ
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 12:1-4 กระแสเรียกของอับราฮัม
บทอ่านที่2:2ทิโมธี1:8-10 กระแสเรียกของเรา
บทอ่านที่3:มัทธิว 17:1-9 การจำแลงพระกาย
................จากอาทิตย์ที่ 1 เราได้ยอมรับแล้วว่า"เราคือคนบาป"และบทอ่านจากจดหมายให้ทางเรามาว่าให้"เชื่อฟัง" มาวันอาทิตย์ที่ 2 พระธรรมเดิมจึงได้ยกเรื่องราวของอับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ ซึ่งคริสตชนทุกคนทราบดีว่าท่านนอบน้อมต่อพระเป็นเจ้าเพียงไร ดังนั้น การยกพระธรรมเดิมนี้จึงมีพลัง ในแง่ว่าเราเป็นประชากรของพระเจ้า และอับราฮัมนี้เองเป็นเสมือนบรรพบุรุษผู้สร้างวงศ์วานมากมายดุจเม็ดทราย ในเมื่อ"ต้นวงศ์"เรานอบน้อมพระเป็นเจ้าเพียงนี้ เราไม่นอบน้อมเชื่อฟังหรือไร (เป็นสิ่งกระตุกใจให้คิด) ตรงนี้เป็นสิ่งที่ชี้แรงๆเรื่อง"ต้องเชื่อฟัง"
................ในจดหมายไปถึงทิโมธีก็เช่นกัน สอดคล้องกับพระธรรมเก่าในแง่ของ "สิ่งที่จะปรากฎเป็นลำดับต่อไปเมื่อเรามีความเชื่อแล้ว"นั่นคือ"การเผยแสดง" ทิโมธีกล่าวชัดว่า พระคริสตเยซู ผู้ทรงทำลายความตาย(ทำลายบาป เพราะค่าจ้างของบาปคือความตาย เทียบโรม) และทรงนำชีวิต และความไม่รู้จักตายให้ปรากฎ(2ทิโมธี1:10)จากจุดนี้เราเห็นแล้วว่า จดหมายเร้าให้เราเปิดใจอย่างแท้จริงเพื่อรับข่าวดี เพื่อว่า ความบาปที่เราไม่มีปัญญาทำลายมัน สิ่งที่ติดตัวเราอันเราแก้ไม่ได้ ผู้ไถ่กู้ได้เผยแสดงองค์แล้ว ขอเพียงเราเชื่อ
................พระวรสารมุ่งไปที่การจำแลงพระกาย"แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง"(มัทธิว 17:2) การจำแลงพระกายเป็นรูปลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ มองจากมุมมนุษย์คือการสำแดงพระองค์อย่างรุ่งเรือง(ตามคำแปลใน NT ใหม่) สอดคล้องกับบทอ่านที่ 2 ที่เกริ่นไว้ว่า ทรงเผยแสดงองค์แล้ว และพระวรสารนี้เน้นให้เราทราบเต็มหัวใจว่า "พวกเรารู้ว่าพระองค์ คือผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า เป็นพระบุตรสุดที่รักของพระองค์"
................บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกอะไรเรา บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกเราให้รู้ว่า พระเป็นเจ้าทรงเผยแสดงข่าวประเสริฐ และทรงเป็นพระบุตรผู้ศักดิ์สิทธิ์รุ่งเรือง ทั้งนี้อาศัยความเชื่ออันมั่นคงของเรา บทอ่านยังได้เตือนเราเรื่องคุณธรรมเชื่อฟังและความเชื่อที่มั่นคง(โดยพระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในอาทิตย์ที่1) ซึ่งนั่นหมายความว่า ในอาทิตย์ที่ 2 นี้เราควรปฏิบัติตามพระเยซูเจ้าแล้ว(หลังจากอาทิตย์แรกเหมือนเกริ่นนำ)ในมหาพรคนี้
(ข้อสังเกต)
................จากบทอ่านที่ 1 และ 2 ทำให้เรามีจิตใจที่ชุ่มชื่นด้วยความเชื่อ ทำให้เราร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ได้อย่างมั่นใจ(เช่น พระยาห์เวห์เป็นความสว่าง และเป็นความรอดของข้าพเจ้า)ทำให้เราสวดบทข้าพเจ้าเชื่อได้อย่างแข็งแรงขึ้น(ก่อ ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า รับ ทรงเป็นองค์ความสว่าง จากองค์ความสว่าง)จะเห็นได้ว่าทางเดินของเราในพิธีบูชาขอบพระคุณค่อยๆสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ..
มีต่อ
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 12:1-4 กระแสเรียกของอับราฮัม
บทอ่านที่2:2ทิโมธี1:8-10 กระแสเรียกของเรา
บทอ่านที่3:มัทธิว 17:1-9 การจำแลงพระกาย
................จากอาทิตย์ที่ 1 เราได้ยอมรับแล้วว่า"เราคือคนบาป"และบทอ่านจากจดหมายให้ทางเรามาว่าให้"เชื่อฟัง" มาวันอาทิตย์ที่ 2 พระธรรมเดิมจึงได้ยกเรื่องราวของอับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ ซึ่งคริสตชนทุกคนทราบดีว่าท่านนอบน้อมต่อพระเป็นเจ้าเพียงไร ดังนั้น การยกพระธรรมเดิมนี้จึงมีพลัง ในแง่ว่าเราเป็นประชากรของพระเจ้า และอับราฮัมนี้เองเป็นเสมือนบรรพบุรุษผู้สร้างวงศ์วานมากมายดุจเม็ดทราย ในเมื่อ"ต้นวงศ์"เรานอบน้อมพระเป็นเจ้าเพียงนี้ เราไม่นอบน้อมเชื่อฟังหรือไร (เป็นสิ่งกระตุกใจให้คิด) ตรงนี้เป็นสิ่งที่ชี้แรงๆเรื่อง"ต้องเชื่อฟัง"
................ในจดหมายไปถึงทิโมธีก็เช่นกัน สอดคล้องกับพระธรรมเก่าในแง่ของ "สิ่งที่จะปรากฎเป็นลำดับต่อไปเมื่อเรามีความเชื่อแล้ว"นั่นคือ"การเผยแสดง" ทิโมธีกล่าวชัดว่า พระคริสตเยซู ผู้ทรงทำลายความตาย(ทำลายบาป เพราะค่าจ้างของบาปคือความตาย เทียบโรม) และทรงนำชีวิต และความไม่รู้จักตายให้ปรากฎ(2ทิโมธี1:10)จากจุดนี้เราเห็นแล้วว่า จดหมายเร้าให้เราเปิดใจอย่างแท้จริงเพื่อรับข่าวดี เพื่อว่า ความบาปที่เราไม่มีปัญญาทำลายมัน สิ่งที่ติดตัวเราอันเราแก้ไม่ได้ ผู้ไถ่กู้ได้เผยแสดงองค์แล้ว ขอเพียงเราเชื่อ
................พระวรสารมุ่งไปที่การจำแลงพระกาย"แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง"(มัทธิว 17:2) การจำแลงพระกายเป็นรูปลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ มองจากมุมมนุษย์คือการสำแดงพระองค์อย่างรุ่งเรือง(ตามคำแปลใน NT ใหม่) สอดคล้องกับบทอ่านที่ 2 ที่เกริ่นไว้ว่า ทรงเผยแสดงองค์แล้ว และพระวรสารนี้เน้นให้เราทราบเต็มหัวใจว่า "พวกเรารู้ว่าพระองค์ คือผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า เป็นพระบุตรสุดที่รักของพระองค์"
................บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกอะไรเรา บทอ่านทั้ง 3 นี้บอกเราให้รู้ว่า พระเป็นเจ้าทรงเผยแสดงข่าวประเสริฐ และทรงเป็นพระบุตรผู้ศักดิ์สิทธิ์รุ่งเรือง ทั้งนี้อาศัยความเชื่ออันมั่นคงของเรา บทอ่านยังได้เตือนเราเรื่องคุณธรรมเชื่อฟังและความเชื่อที่มั่นคง(โดยพระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในอาทิตย์ที่1) ซึ่งนั่นหมายความว่า ในอาทิตย์ที่ 2 นี้เราควรปฏิบัติตามพระเยซูเจ้าแล้ว(หลังจากอาทิตย์แรกเหมือนเกริ่นนำ)ในมหาพรคนี้
(ข้อสังเกต)
................จากบทอ่านที่ 1 และ 2 ทำให้เรามีจิตใจที่ชุ่มชื่นด้วยความเชื่อ ทำให้เราร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ได้อย่างมั่นใจ(เช่น พระยาห์เวห์เป็นความสว่าง และเป็นความรอดของข้าพเจ้า)ทำให้เราสวดบทข้าพเจ้าเชื่อได้อย่างแข็งแรงขึ้น(ก่อ ทรงเป็นพระเจ้าจากพระเจ้า รับ ทรงเป็นองค์ความสว่าง จากองค์ความสว่าง)จะเห็นได้ว่าทางเดินของเราในพิธีบูชาขอบพระคุณค่อยๆสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ..
มีต่อ
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ จันทร์ มี.ค. 10, 2008 1:40 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:อพยพ 17:3-7 ความกระหายของอิสราแอล
บทอ่านที่2:โรม 5:1-8 ความรักของพระเจ้าที่หลั่งมายังเรา
บทอ่านที่3:ยอห์น 4:5-42 หญิงชาวสะมาเรีย
................จากอาทิตย์ที่ 1 และ 2 เรายอมรับโดยสิ้นเชิงแล้วว่า เรานั่นบาป แต่เรายังมีความเชื่อในพระคริสตเยซูที่หล่อเลี้ยงเรา ดังนั้น อาทิตย์ที่ 3 จึงพูดถึง "ความกระหายน้ำ" ซึ่งเป็นจุดเร้าให้เรามี"ความกระหายเครื่องดื่มฝ่ายจิต" น้ำเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ปรากฎหลายครั้งในพระธรรมเก่า ในบทอ่านจากหนังสืออพยพที่ยกมานี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เพราะ"ในความกระหายน้ำ พวกเขาได้วิงวอนขอน้ำจากพระองค์"(อพยพ 17:3-7) นี่เป็นสิ่งสำคัญคือ เราได้ทูลขอพระองค์และพระองค์ทรงประทานให้ซึ่งน้ำนั้น ข้อความนี้เป็นสัญลักษณ์แทน ความรอดและอาหารฝ่ายจิตของเรา
................จดหมายโรมได้เฉลยให้เราทราบว่า น้ำเป็นสัญลักษณ์แทนความรักของพระเป็นเจ้าที่ได้หลั่งลงมา(โรม5:5)ที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะจะทำให้เรารอดพ้น ดังนั้นน้ำเหมือนสัญลักษณ์แทนสิ่งที่ให้เรารอด ซึ่งนัยหนึ่งจะสอดคล้องกับคำว่า โลกเรารอดอยู่ได้ด้วยความรัก ประโยคที่เร้าให้เราคิดได้ในโรม เป็นต้นว่า "ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ่งพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป"(โรม5:7-8) ประโยคนี้นอกจากทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นพระมหาไถ่ของพระเป็นเจ้าแล้ว ยังทำให้เรากลับมามองตัวตนของเราที่ยืนอยู่อยู่ในเทศกาลมหาพรตว่าเราได้เลียนแบบพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้ามากน้อยเพียงไร
................พระวรสารที่ยกเรื่องหญิงชาวสะมาเรียดูจะสอดคล้องกับบทอ่านทั้งสองมาก เพราะเป็นการนำสิ่งที่เราได้จากบทอ่านทั้งสองมาเสริมความเข้าใจในพระวรสาร ให้เราเห็นชัดเจนขึ้นถึงความหมายของน้ำและรู้ชัดจาก"พระองค์คือต้นธารน้ำที่หลั่งออกมาเพื่อชีวิตนิรันดร"(ยอห์น4:5-42)เราได้เห็นสัญลักษณ์มากมายจนบทพระวรสารนี้ ในบทความการฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต ได้กล่าวไว้ดี ขอยกมาดังนี้
................พระเยซูเจ้า ผู้ประทานน้ำทรงชีวิต(10-14)น้ำในที่นี้อาจตีความได้สองแนวทาง แนวทางแรกคือ แนวทางของปรีชาญาณ "น่ำ" เป็นสัญลักษณ์ของการไขแสดงของพระเยซู เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าประทานชีวิต(สุภาษิต13:14,18:14,อิสยาห์55:1) แนวทางที่สองหมายถึง"พระจิต"ซึ่งพระเยซูเจ้าประทานมาให้แก่เรา พระธรรมเดิมเองเชื่องโยงน้ำกับพระจิต(อิสยาห์44:3-4)และในพระธรรมใหม่ พระจิตคือผู้ประทานชีวิต(ยอห์น6:63) พระจิตคือพระคุณของปัสกา และยอห์นเองยังโยงพระจิตกับการไขแสดง เพราะพระจิตคือผู้สอนเราให้เข้าใจความจริง(ยอห์น14:26) ซึ่งทำให้เราคิดถึง"ศีลล้างบาป"
(ข้อสังเกต)
................จากบทอ่าน 1 - 3 นี้ทำให้มีความปีติที่จะยืนยันความเชื่อ(Credo) ทำให้รู้สึกเคารพนับถือ"พระจิตเจ้า"อย่างทั้งครบในมิสซา ในช่วงที่พระสงฆ์เสกแผ่นปัง(โปรดทรงพระกรุณาส่งพระจิตเจ้า มาบันดาลให้ปังและเหล้าองุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์) ทำให้ก่อนรับปังเรารู้สึกอิ่มเอิบในความรักที่พระเป็นเจ้าหลั่งมายังเราเมื่อเราเร้าวิงวอน และจากบทอ่านพระวรสารที่กล่าวถึงหญิงชาวสะมาเรีย ทำให้เรามีจิตใจที่จะไม่แบกชนชั้น เชื้อชาติ ให้มีปัญหา โดยเราจะไม่ทำตนขัดขวางงานของพระเยซูเจ้าที่จะประทานสันติสุขแท้จริงให้แก่โลกผ่านการไถ่บาป จากข้อตระหนักนี้ทำให้เรา วิงวอนอย่างตั้งใจและมั่นใจว่า"ลูกแกะพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ทรงพระกรุณาเทอญ"
(พรุ่งนี้มีต่อ-เหนื่อยล่ะ)
บทอ่านที่1:อพยพ 17:3-7 ความกระหายของอิสราแอล
บทอ่านที่2:โรม 5:1-8 ความรักของพระเจ้าที่หลั่งมายังเรา
บทอ่านที่3:ยอห์น 4:5-42 หญิงชาวสะมาเรีย
................จากอาทิตย์ที่ 1 และ 2 เรายอมรับโดยสิ้นเชิงแล้วว่า เรานั่นบาป แต่เรายังมีความเชื่อในพระคริสตเยซูที่หล่อเลี้ยงเรา ดังนั้น อาทิตย์ที่ 3 จึงพูดถึง "ความกระหายน้ำ" ซึ่งเป็นจุดเร้าให้เรามี"ความกระหายเครื่องดื่มฝ่ายจิต" น้ำเป็นสัญลักษณ์ที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ปรากฎหลายครั้งในพระธรรมเก่า ในบทอ่านจากหนังสืออพยพที่ยกมานี้ถือว่าสำคัญยิ่ง เพราะ"ในความกระหายน้ำ พวกเขาได้วิงวอนขอน้ำจากพระองค์"(อพยพ 17:3-7) นี่เป็นสิ่งสำคัญคือ เราได้ทูลขอพระองค์และพระองค์ทรงประทานให้ซึ่งน้ำนั้น ข้อความนี้เป็นสัญลักษณ์แทน ความรอดและอาหารฝ่ายจิตของเรา
................จดหมายโรมได้เฉลยให้เราทราบว่า น้ำเป็นสัญลักษณ์แทนความรักของพระเป็นเจ้าที่ได้หลั่งลงมา(โรม5:5)ที่จะไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะจะทำให้เรารอดพ้น ดังนั้นน้ำเหมือนสัญลักษณ์แทนสิ่งที่ให้เรารอด ซึ่งนัยหนึ่งจะสอดคล้องกับคำว่า โลกเรารอดอยู่ได้ด้วยความรัก ประโยคที่เร้าให้เราคิดได้ในโรม เป็นต้นว่า "ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบธรรม บางครั้งอาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆได้ แต่พระเจ้าทรงพิสูจน์ว่าทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิ่งพระชนม์เพื่อเราขณะที่เรายังเป็นคนบาป"(โรม5:7-8) ประโยคนี้นอกจากทำให้เราเข้าใจถึงความเป็นพระมหาไถ่ของพระเป็นเจ้าแล้ว ยังทำให้เรากลับมามองตัวตนของเราที่ยืนอยู่อยู่ในเทศกาลมหาพรตว่าเราได้เลียนแบบพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเยซูเจ้ามากน้อยเพียงไร
................พระวรสารที่ยกเรื่องหญิงชาวสะมาเรียดูจะสอดคล้องกับบทอ่านทั้งสองมาก เพราะเป็นการนำสิ่งที่เราได้จากบทอ่านทั้งสองมาเสริมความเข้าใจในพระวรสาร ให้เราเห็นชัดเจนขึ้นถึงความหมายของน้ำและรู้ชัดจาก"พระองค์คือต้นธารน้ำที่หลั่งออกมาเพื่อชีวิตนิรันดร"(ยอห์น4:5-42)เราได้เห็นสัญลักษณ์มากมายจนบทพระวรสารนี้ ในบทความการฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต ได้กล่าวไว้ดี ขอยกมาดังนี้
................พระเยซูเจ้า ผู้ประทานน้ำทรงชีวิต(10-14)น้ำในที่นี้อาจตีความได้สองแนวทาง แนวทางแรกคือ แนวทางของปรีชาญาณ "น่ำ" เป็นสัญลักษณ์ของการไขแสดงของพระเยซู เพราะพระปรีชาญาณของพระเจ้าประทานชีวิต(สุภาษิต13:14,18:14,อิสยาห์55:1) แนวทางที่สองหมายถึง"พระจิต"ซึ่งพระเยซูเจ้าประทานมาให้แก่เรา พระธรรมเดิมเองเชื่องโยงน้ำกับพระจิต(อิสยาห์44:3-4)และในพระธรรมใหม่ พระจิตคือผู้ประทานชีวิต(ยอห์น6:63) พระจิตคือพระคุณของปัสกา และยอห์นเองยังโยงพระจิตกับการไขแสดง เพราะพระจิตคือผู้สอนเราให้เข้าใจความจริง(ยอห์น14:26) ซึ่งทำให้เราคิดถึง"ศีลล้างบาป"
(ข้อสังเกต)
................จากบทอ่าน 1 - 3 นี้ทำให้มีความปีติที่จะยืนยันความเชื่อ(Credo) ทำให้รู้สึกเคารพนับถือ"พระจิตเจ้า"อย่างทั้งครบในมิสซา ในช่วงที่พระสงฆ์เสกแผ่นปัง(โปรดทรงพระกรุณาส่งพระจิตเจ้า มาบันดาลให้ปังและเหล้าองุ่นนี้ศักดิ์สิทธิ์) ทำให้ก่อนรับปังเรารู้สึกอิ่มเอิบในความรักที่พระเป็นเจ้าหลั่งมายังเราเมื่อเราเร้าวิงวอน และจากบทอ่านพระวรสารที่กล่าวถึงหญิงชาวสะมาเรีย ทำให้เรามีจิตใจที่จะไม่แบกชนชั้น เชื้อชาติ ให้มีปัญหา โดยเราจะไม่ทำตนขัดขวางงานของพระเยซูเจ้าที่จะประทานสันติสุขแท้จริงให้แก่โลกผ่านการไถ่บาป จากข้อตระหนักนี้ทำให้เรา วิงวอนอย่างตั้งใจและมั่นใจว่า"ลูกแกะพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ทรงพระกรุณาเทอญ"
(พรุ่งนี้มีต่อ-เหนื่อยล่ะ)
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ จันทร์ มี.ค. 10, 2008 2:18 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:1ซามูเอล16:1-13 การเจิมดาวิด
บทอ่านที่2:เอเฟซัส 5:8-14 ตื่นขึ้นจากความตาย
บทอ่านที่3:ยอห์น 9:1-41 การรักษาคนตาบอด
................จากทางเดินที่ผ่านมา จะเห็นแล้วว่า เราค่อยๆเข้ามาสู่หนทางแห่งศีลล้างบาป เริ่มจาก เรายอมรับโดยสมัครใจว่าเราเป็นคนบาป และเราใช้ความเชื่อเพื่อตอบรับกระแสเรียก จากนั้นเราโหยหาความรอดพ้นทางวิญญาณ มาอาทิตย์นี้ เราจะถูกเสือกสรร ผ่านสัญลักษณ์การเจิม
................บทอ่านที่ 1 ดาวิดได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล เป็นก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์ความรอด ประชากรของพระเจ้าได้ตั้งรกรากในดินแดนพระสัญญาแล้วหลังจากได้ผ่านการทดลองของทะเลทราย บัดนี้ พระเจ้าทรงเลือกสรรกษัตริย์องค์หนึ่งให้ปกครองพวกเขา(ผู้ที่มาท้ายสุด ผู้ที่ไม่มีใครเห็นความสำคัญ)และพระเมสสิยาห์จะสืบเชื้อสายจากกษัตริย์องค์นี้
................บทอ่านที่ 2 ได้พูดเน้นถึงความสว่าง "ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด" ซึ่งยังมีข้อความเร้าให้เรารู้สึกว่า เราได้พบหนทางแห่งความรอดพ้นจาก "ผู้หลับใหลจงตื่นเถิด"(เอเฟซัส 5:14) เราคือคนบาปที่หลับใหลในความมืดมิดแต่บัดนี้ไม่มืดอีกแล้วเพราะพระคริสตเจ้าทรงสัมผัสเรา ทรงเจิมเราด้วยพรให้เราสว่างในพระคริสตองค์
................บทอ่านที่ 3 การรักษาชายตาบอด พระวรสารนี้มีสัญลักษณ์หลายประการ เราได้เห็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ปรากฎในทุกๆอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ คุณธรรมเชื่อฟัง ชายผู้นั้นยอมไปล้างตาในสระสิโอลัม และท้ายที่สุดเขาได้ยอมรับอยากชัดแจ้งว่า"ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า แล้วกราบลงนมัสการพระองค์"(ยอห์น 9:38) เราได้เห็นว่า ในเบื้องต้นเขาเชื่อฟังโดยไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เบื้องปลายเขาเชื่อฟังและรู้ผลแล้วว่าเป็นอย่างไร เป็นการสอนเราว่าเราต้องรู้เชื่อฟังในเบื้องต้นและเบื้องปลาย(จุดนี้จะไปคล้องกับอาทิตย์ที่5) และถ้าเรามองในภาพรวมเหตุการณ์ในวันนี้ ก็เป็นเหตุหนึ่งทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจพระเยซูเจ้า ที่อ้างว่าเป็นบุตรพระเจ้าแต่ละเมิดวันสะบาโต ซึ่งมองอีกแง่หนึ่งคือ ทรงทำลาย"กรอบ"เสีย เป็นสัญลักษณ์แห่งการทลายกำแพงที่กั้นในจิตใจเราไม่ให้พบพระ
(ข้อสังเกต)
................จากสามบทอ่านนี้ จะเติมเต็มเราให้ปีติยินดีที่จะเชื่อพระองค์ ทำให้เราปีติยินดีที่จะภาวนาเพื่อผู้อื่น ที่จะมอบสันติสุขให้กับผู้อื่น เพื่อทำลายกำแพงที่กั้นในใจเขา เพื่อเผยแสดงพระในตัวเรา เพื่อให้เราระลึกถึงพระเป็นเจ้า และขอบพระคุณอย่างเหมาะสม ด้วยดวงจิตและความจริง ทั้งยังเราให้เรารู้สึกว่าพระองค์คือผู้ศักดิ์สิทธิ์เราจึงร่วมกันถวายพระเกียรติสดุดี พร้อมกับเทพนิกร และบรรดานักบุญเป็นนิจกาล ว่า"ศักดิ์สิทธิ์" ทำให้เราตระหนักในข้อความ"
บทอ่านที่1:1ซามูเอล16:1-13 การเจิมดาวิด
บทอ่านที่2:เอเฟซัส 5:8-14 ตื่นขึ้นจากความตาย
บทอ่านที่3:ยอห์น 9:1-41 การรักษาคนตาบอด
................จากทางเดินที่ผ่านมา จะเห็นแล้วว่า เราค่อยๆเข้ามาสู่หนทางแห่งศีลล้างบาป เริ่มจาก เรายอมรับโดยสมัครใจว่าเราเป็นคนบาป และเราใช้ความเชื่อเพื่อตอบรับกระแสเรียก จากนั้นเราโหยหาความรอดพ้นทางวิญญาณ มาอาทิตย์นี้ เราจะถูกเสือกสรร ผ่านสัญลักษณ์การเจิม
................บทอ่านที่ 1 ดาวิดได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ของชาวอิสราเอล เป็นก้าวสำคัญของประวัติศาสตร์ความรอด ประชากรของพระเจ้าได้ตั้งรกรากในดินแดนพระสัญญาแล้วหลังจากได้ผ่านการทดลองของทะเลทราย บัดนี้ พระเจ้าทรงเลือกสรรกษัตริย์องค์หนึ่งให้ปกครองพวกเขา(ผู้ที่มาท้ายสุด ผู้ที่ไม่มีใครเห็นความสำคัญ)และพระเมสสิยาห์จะสืบเชื้อสายจากกษัตริย์องค์นี้
................บทอ่านที่ 2 ได้พูดเน้นถึงความสว่าง "ในอดีตท่านเคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด" ซึ่งยังมีข้อความเร้าให้เรารู้สึกว่า เราได้พบหนทางแห่งความรอดพ้นจาก "ผู้หลับใหลจงตื่นเถิด"(เอเฟซัส 5:14) เราคือคนบาปที่หลับใหลในความมืดมิดแต่บัดนี้ไม่มืดอีกแล้วเพราะพระคริสตเจ้าทรงสัมผัสเรา ทรงเจิมเราด้วยพรให้เราสว่างในพระคริสตองค์
................บทอ่านที่ 3 การรักษาชายตาบอด พระวรสารนี้มีสัญลักษณ์หลายประการ เราได้เห็นคุณธรรมข้อหนึ่งที่ปรากฎในทุกๆอาทิตย์ที่ผ่านมาคือ คุณธรรมเชื่อฟัง ชายผู้นั้นยอมไปล้างตาในสระสิโอลัม และท้ายที่สุดเขาได้ยอมรับอยากชัดแจ้งว่า"ข้าพเจ้าเชื่อ พระเจ้าข้า แล้วกราบลงนมัสการพระองค์"(ยอห์น 9:38) เราได้เห็นว่า ในเบื้องต้นเขาเชื่อฟังโดยไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร เบื้องปลายเขาเชื่อฟังและรู้ผลแล้วว่าเป็นอย่างไร เป็นการสอนเราว่าเราต้องรู้เชื่อฟังในเบื้องต้นและเบื้องปลาย(จุดนี้จะไปคล้องกับอาทิตย์ที่5) และถ้าเรามองในภาพรวมเหตุการณ์ในวันนี้ ก็เป็นเหตุหนึ่งทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจพระเยซูเจ้า ที่อ้างว่าเป็นบุตรพระเจ้าแต่ละเมิดวันสะบาโต ซึ่งมองอีกแง่หนึ่งคือ ทรงทำลาย"กรอบ"เสีย เป็นสัญลักษณ์แห่งการทลายกำแพงที่กั้นในจิตใจเราไม่ให้พบพระ
(ข้อสังเกต)
................จากสามบทอ่านนี้ จะเติมเต็มเราให้ปีติยินดีที่จะเชื่อพระองค์ ทำให้เราปีติยินดีที่จะภาวนาเพื่อผู้อื่น ที่จะมอบสันติสุขให้กับผู้อื่น เพื่อทำลายกำแพงที่กั้นในใจเขา เพื่อเผยแสดงพระในตัวเรา เพื่อให้เราระลึกถึงพระเป็นเจ้า และขอบพระคุณอย่างเหมาะสม ด้วยดวงจิตและความจริง ทั้งยังเราให้เรารู้สึกว่าพระองค์คือผู้ศักดิ์สิทธิ์เราจึงร่วมกันถวายพระเกียรติสดุดี พร้อมกับเทพนิกร และบรรดานักบุญเป็นนิจกาล ว่า"ศักดิ์สิทธิ์" ทำให้เราตระหนักในข้อความ"
-
- โพสต์: 973
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
- ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
- ติดต่อ:
อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:เอเสเคียล 37:12-14 เราจะปลุกท่านจากความตาย
บทอ่านที่2:โรม 8:8-11 พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
บทอ่านที่3:ยอห์น 11:1-45 การกลับขึ้นมาเป็นของลาซารัส
................จากอาทิตย์ที่แล้วๆ มาตั้งแต่เริ่มเทศกาลมหาพรต เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า พระคัมภีร์ได้ถูกจัดเรียงอย่างมีความหมายและเปี่ยมคุณค่า ในขณะนี้ทางเดินแห่งศีลล้างบาปเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เราได้สำเร็จในการ"คืนดีกับพระเป็นเจ้า"แล้วในอาทิตย์ที่ 4 ล่วงมาถึงอาทิตย์ที่ 5 สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือ พระเจ้าทรงสถิตกับเรา
................บทอ่านที่ 1 เราจะใส่จิตใจของเราในท่าน และท่านจะมีชีวิต ในบริบทนี้ชี้ให้เห็นถึงความหมายของ"การกลับมา" เพราะชนอิสราเอลถูกเนรเทศและในที่สุดได้กลับมาสู่อ้อมพระหัตถ์ ไม่ดื้อดึง นั่นหมายถึงเราได้มีชีวิตใหม่ในพระหรรษทานแล้ว เราสำนึกในโทษบาป เราเดินทางไปสู่ความบริบูรณ์ทางความเชื่อ และพระเจ้าสถิตกับเราเสมอ ในทางคริสตจริยศาสตร์,การที่เรากล่าวว้ พระเจ้าสถิตกับเรา นั่นหมายถึง มโนธรรม(Conscience)เราสมบูรณ์ในใจ พระเจ้าทรงประทับอยู่ในวิหาร(ร่างกาย)ของเรา เพื่อเราจะโมทนาพระคุณพระองค์ค่ำเช้า เพื่อพระองค์จะได้ตรัสสิ่งต่างๆกับเราในใจ และเราย่อมไม่ตกไปสู่ความมืดอีก แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางความมืดสักเพียงใดก็ตาม
................บทอ่านที่ 2 ในบทอ่านนี้ได้มีการชี้ให้เห็นถึงคู่ตรงข้าม(dualism)ระหว่าง จิตกับเนื้อหนัง ระหว่างบาปและความชอบธรรม เป็นการอธิบายสัญลักษณ์ในอาทิตย์ที่ 4 เกี่ยวกับความสว่างให้ชัดเจนจำเริญขึ้น แต่บทอ่านนี้อ่านยากสักนิดหนึ่งเหมือนบทอ่านเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอด จะอ่านข้ามๆไม่ได้ต้องมาพิจารณาหรือ Lectio Divina ให้ดี ทั้งบทอ่านนี้ยังสอดรับกับบทอ่านที่ 1 เป็นการเฉลยและบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า "หากเราชอบธรรม พระจิตเจ้าจะทรงอยู่กับเรา"และยังเตือนเราเกี่ยวกับ ความสบายฝ่ายข้างโลก ซึ่งในฐานะที่เราอยู่ในเทศกาลมหาพรตเราควรตระหนักตรงจุดนี้ด้วย
................พระวรสารได้กล่าวถึง"การเรียกลาซารัส"ให้ฟื้นคืนขึ้น การเรียกลาซารัสให้กลับเป็นขึ้นมามีนัยยะพิเศษ อาจเรียกได้ว่าพิเศษเหนือนัยยะในทุกอาทิตย์ที่ผ่านมา ประการแรก เพราะการกลับคืนชีพนี้ทำให้เราหวนนึกไปถึงการ"คืนชีพเนื้อหนัง" ทำให้เราหวนนึก"การกลับคืนพระชนมชีพ" ประการที่สอง เราได้เห็นบทสรุปของคุณธรรมเชื่อฟัง ที่เราพูดกันมา ตลอดอาทิตย์มหาพรตก่อนหน้าเราเห็นได้ชัดเจนถึง ความเชื่อฟัง
(1)พระเยซูเจ้าสั่งให้เลื่อนหินที่ปิดคูหาฝังศพ(ยอห์น11:39-40) แม้ทุกคนจะยังไม่เชื่อนักว่า จะทรงทำอะไร จะปลุกเขาฟื้นหรือ? แต่ทุกคนก็ยอมฟัง
(2)ทรงเรียก"ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด"(ยอห์น 11:43) นี่คือ พระอานุภาพ แม้คนสิ้นชีวิตไปแล้วกลับฟื้นคืนด้วยเพราะคุณธรรมเชื่อฟัง เราได้เห็นสิริมงคลของพระเจ้าแล้ว(ยอห์น 11:4)
(3)ทรงตรัส"จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด"(ยอห์น 11:44) ทุกคนเห็นแล้ว และ เชื่อแล้วว่าพระบิดาเจ้าทรงส่งพระเยซูเจ้าลงมา(ยอห์น 11:42) จึงเชื่อฟังอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว
................ถ้าใครสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าคุณธรรมเชื่อฟัง(พระเป็นเจ้า)นี้ให้คุณประโยชน์ เพราะถ้าไม่เชื่อฟังลาซารัสจะไม่ฟื้น ถ้าไม่ยอมเปิดหินก็จะไม่ได้เห็นพระสิริมงคลของพระเจ้า จะเห็นในข้อ 1 ว่าทุกคนยังไม่เข้าใจ ยังกังขาว่าจะทรงทำอะไร แต่ก็เชื่อฟัง ข้อนี้เตือนใจเราได้ดี สำหรับข้อ 2 จะไปเป็นสัญลักษณ์ให้กับบทอ่านที่ 2 ที่กล่าวถึง กายตายด้วยบาป แต่จิตมีชีวิตด้วยชอบธรรม สำหรับข้อ 3 เน้นว่าเราต้องทำกิจการอันไม่ขัดขวางงานพระเป็นเจ้า เราต้องร่วมมือกันเพื่อช่วย"แกะผ้าออก และให้เขาไป"
................มองในภาพรวมเหตุการณ์นี้ เล็งถึง "ชีวิตนิรันดร" เครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายที่เตรียมการมาถึงของเครื่องหมายสำคัญคือการสิ้นพระชนมชีพ เป็นการชี้ให้เห็นถึงพระสิริมลคอันยิ่ง ถ้ามองตามธรรมเนียมยิวแล้วเหตุการณ์ลาซารัสฟื้นนี้ถือเป็นสุดยอดมหัศจรรย์ เพราะชาวยิวเชื่อว่า 3 วันยังมีสิทธิ์ฟื้นด้วยวิญญาณยังไม่ห่างร่าง แต่ลาซารัสกลับฟื้นขึ้นในวัน 4 จึงเป็นเครื่องหมายแสดงชัดเจนว่า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน ส่งพระเอกบุตรเยซูคริสต์ลงมาเพื่อไถ่เรา ให้ชีวิตและความรอดแก่เรา
(มีต่อ)
บทอ่านที่1:เอเสเคียล 37:12-14 เราจะปลุกท่านจากความตาย
บทอ่านที่2:โรม 8:8-11 พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
บทอ่านที่3:ยอห์น 11:1-45 การกลับขึ้นมาเป็นของลาซารัส
................จากอาทิตย์ที่แล้วๆ มาตั้งแต่เริ่มเทศกาลมหาพรต เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า พระคัมภีร์ได้ถูกจัดเรียงอย่างมีความหมายและเปี่ยมคุณค่า ในขณะนี้ทางเดินแห่งศีลล้างบาปเกือบจะสมบูรณ์แล้ว เราได้สำเร็จในการ"คืนดีกับพระเป็นเจ้า"แล้วในอาทิตย์ที่ 4 ล่วงมาถึงอาทิตย์ที่ 5 สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือ พระเจ้าทรงสถิตกับเรา
................บทอ่านที่ 1 เราจะใส่จิตใจของเราในท่าน และท่านจะมีชีวิต ในบริบทนี้ชี้ให้เห็นถึงความหมายของ"การกลับมา" เพราะชนอิสราเอลถูกเนรเทศและในที่สุดได้กลับมาสู่อ้อมพระหัตถ์ ไม่ดื้อดึง นั่นหมายถึงเราได้มีชีวิตใหม่ในพระหรรษทานแล้ว เราสำนึกในโทษบาป เราเดินทางไปสู่ความบริบูรณ์ทางความเชื่อ และพระเจ้าสถิตกับเราเสมอ ในทางคริสตจริยศาสตร์,การที่เรากล่าวว้ พระเจ้าสถิตกับเรา นั่นหมายถึง มโนธรรม(Conscience)เราสมบูรณ์ในใจ พระเจ้าทรงประทับอยู่ในวิหาร(ร่างกาย)ของเรา เพื่อเราจะโมทนาพระคุณพระองค์ค่ำเช้า เพื่อพระองค์จะได้ตรัสสิ่งต่างๆกับเราในใจ และเราย่อมไม่ตกไปสู่ความมืดอีก แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางความมืดสักเพียงใดก็ตาม
................บทอ่านที่ 2 ในบทอ่านนี้ได้มีการชี้ให้เห็นถึงคู่ตรงข้าม(dualism)ระหว่าง จิตกับเนื้อหนัง ระหว่างบาปและความชอบธรรม เป็นการอธิบายสัญลักษณ์ในอาทิตย์ที่ 4 เกี่ยวกับความสว่างให้ชัดเจนจำเริญขึ้น แต่บทอ่านนี้อ่านยากสักนิดหนึ่งเหมือนบทอ่านเรื่องพระเยซูเจ้าทรงรักษาชายตาบอด จะอ่านข้ามๆไม่ได้ต้องมาพิจารณาหรือ Lectio Divina ให้ดี ทั้งบทอ่านนี้ยังสอดรับกับบทอ่านที่ 1 เป็นการเฉลยและบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า "หากเราชอบธรรม พระจิตเจ้าจะทรงอยู่กับเรา"และยังเตือนเราเกี่ยวกับ ความสบายฝ่ายข้างโลก ซึ่งในฐานะที่เราอยู่ในเทศกาลมหาพรตเราควรตระหนักตรงจุดนี้ด้วย
................พระวรสารได้กล่าวถึง"การเรียกลาซารัส"ให้ฟื้นคืนขึ้น การเรียกลาซารัสให้กลับเป็นขึ้นมามีนัยยะพิเศษ อาจเรียกได้ว่าพิเศษเหนือนัยยะในทุกอาทิตย์ที่ผ่านมา ประการแรก เพราะการกลับคืนชีพนี้ทำให้เราหวนนึกไปถึงการ"คืนชีพเนื้อหนัง" ทำให้เราหวนนึก"การกลับคืนพระชนมชีพ" ประการที่สอง เราได้เห็นบทสรุปของคุณธรรมเชื่อฟัง ที่เราพูดกันมา ตลอดอาทิตย์มหาพรตก่อนหน้าเราเห็นได้ชัดเจนถึง ความเชื่อฟัง
(1)พระเยซูเจ้าสั่งให้เลื่อนหินที่ปิดคูหาฝังศพ(ยอห์น11:39-40) แม้ทุกคนจะยังไม่เชื่อนักว่า จะทรงทำอะไร จะปลุกเขาฟื้นหรือ? แต่ทุกคนก็ยอมฟัง
(2)ทรงเรียก"ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด"(ยอห์น 11:43) นี่คือ พระอานุภาพ แม้คนสิ้นชีวิตไปแล้วกลับฟื้นคืนด้วยเพราะคุณธรรมเชื่อฟัง เราได้เห็นสิริมงคลของพระเจ้าแล้ว(ยอห์น 11:4)
(3)ทรงตรัส"จงเอาผ้าออกและให้เขาไปเถิด"(ยอห์น 11:44) ทุกคนเห็นแล้ว และ เชื่อแล้วว่าพระบิดาเจ้าทรงส่งพระเยซูเจ้าลงมา(ยอห์น 11:42) จึงเชื่อฟังอย่างไร้ข้อกังขาแล้ว
................ถ้าใครสังเกตให้ดี เราจะเห็นว่าคุณธรรมเชื่อฟัง(พระเป็นเจ้า)นี้ให้คุณประโยชน์ เพราะถ้าไม่เชื่อฟังลาซารัสจะไม่ฟื้น ถ้าไม่ยอมเปิดหินก็จะไม่ได้เห็นพระสิริมงคลของพระเจ้า จะเห็นในข้อ 1 ว่าทุกคนยังไม่เข้าใจ ยังกังขาว่าจะทรงทำอะไร แต่ก็เชื่อฟัง ข้อนี้เตือนใจเราได้ดี สำหรับข้อ 2 จะไปเป็นสัญลักษณ์ให้กับบทอ่านที่ 2 ที่กล่าวถึง กายตายด้วยบาป แต่จิตมีชีวิตด้วยชอบธรรม สำหรับข้อ 3 เน้นว่าเราต้องทำกิจการอันไม่ขัดขวางงานพระเป็นเจ้า เราต้องร่วมมือกันเพื่อช่วย"แกะผ้าออก และให้เขาไป"
................มองในภาพรวมเหตุการณ์นี้ เล็งถึง "ชีวิตนิรันดร" เครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายที่เตรียมการมาถึงของเครื่องหมายสำคัญคือการสิ้นพระชนมชีพ เป็นการชี้ให้เห็นถึงพระสิริมลคอันยิ่ง ถ้ามองตามธรรมเนียมยิวแล้วเหตุการณ์ลาซารัสฟื้นนี้ถือเป็นสุดยอดมหัศจรรย์ เพราะชาวยิวเชื่อว่า 3 วันยังมีสิทธิ์ฟื้นด้วยวิญญาณยังไม่ห่างร่าง แต่ลาซารัสกลับฟื้นขึ้นในวัน 4 จึงเป็นเครื่องหมายแสดงชัดเจนว่า พระบิดาทรงสรรพานุภาพสร้างฟ้าดิน ส่งพระเอกบุตรเยซูคริสต์ลงมาเพื่อไถ่เรา ให้ชีวิตและความรอดแก่เรา
(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย Man of Macedonia เมื่อ จันทร์ มี.ค. 10, 2008 9:13 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- King Zadin
- โพสต์: 419
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 13, 2005 3:53 am
- ติดต่อ:
ขอบคุณครับ ความหมายดี ลึกซึ้งมากมาย