ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 10, 2008 12:40 am
Ref.(1)คพ.อำนวย ยุ่นประยงค์,คพ.สมชัย พิทยาพงศ์พร,การฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต(2)OT,NT(3)ความทรงจำจากบทเทศน์
บทนำ
................เราจะสังเกตได้ว่า คริสตชนใหม่ที่จะรับศีลล้างบาป(บางส่วน)นั้น จะได้รับศีลล้างบาปในช่วงสัปดาห์ท้ายและช่วงเวลาสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ที่เข้ากระบวนการรับผู้ใหญ่เป็นคริสตชน(RCIA)มักจะรับศีลล้างบาปในช่วงนี้ ทำไมกันหนอ?หลายคนที่เป็นพึ่งเป็นคริสตชนอาจสงสัย แน่นอนมีคำตอบอยู่
หมายเหตุ.*เป็นไปได้แน่นอนว่า จะมีการล้างบาปนอกจากช่วงเวลาที่กำหนดนี้
................เพราะมหาพรตนับใช้ว่าเป็นช่วงสำหรับพลีกรรมใช้โทษบาป เป็นช่วงเวลาที่เราคริสตชนจะรำลึกถึงศีลล้างบาป โดยสังคายวาติกันได้บอกเราอีกว่า "เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาของการฟังพระวาจาและสวดภาวนา เพื่อให้เราสามารถร่วมฉลองปัสกาได้อย่างสมควร"
................ในบทความการฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต กล่าวว่า มหาพรตเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ และเป็นข้อผูกมัดพระศาสนจักรให้กระทำกิจการต่อไปนี้ คือ
(1)ให้หมู่คณะเตรียมใจรับพระคริสตเจ้าผู้คืนพระชนม์อย่างเหมาะสม การเตรียมใจมีลักษณะเป็นการฟื้นฟูตนเองอาศัยพระวาจาของพระเจ้า การภาวนา การทำบุญให้ทาน หรือ กิจเมตตาต่างๆ และการอดอาหาร
(2)ให้ผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาปเตรียมตัวอย่างเข้มข้น
(3)มีการโปรยเถ้า(ในวันพุธรับเถ้า)เป็นเครื่องหมายเตือนให้เราใช้โทษบาป(ใน 40 วันต่อจากนั้นไป)
ถ้าเราไปมิสซาทุกวันหรือทุกวันอาทิตย์ เราจะเห็นว่าในโครงสร้างปีA(หลายวัดอาจจะกล่าวตอนต้นๆปีว่า ปีนี้ปีA)
จะเน้นให้เราเห็นถึง"ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร" ดังนี้
(คุณสามารถเข้าไปอ่าน บทเทศน์วันอาทิตย์ได้ที่ อัครสังฆมณฑล โดย คพ.วิทยา)
อาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 2:7-9 การสร้างและบาป
บทอ่านที่2:โรม 5:12-19 บาปและการไถ่
บทอ่านที่3:มัทธิว 4:1-11 การประจญของพระเยซูเจ้า
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 12:1-4 กระแสเรียกของอับราฮัม
บทอ่านที่2:2ทิโมธี1:8-10 กระแสเรียกของเรา
บทอ่านที่3:มัทธิว 17:1-9 การจำแลงพระกาย
อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:อพยพ 17:3-7 ความกระหายของอิสราแอล
บทอ่านที่2:โรม 5:1-8 ความรักของพระเจ้าที่หลั่งมายังเรา
บทอ่านที่3:ยอห์น 4:5-42 หญิงชาวสะมาเรีย
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:1ซามูเอล16:1-13 การเจิมดาวิด
บทอ่านที่2:เอเฟซัส 5:8-14 ตื่นขึ้นจากความตาย
บทอ่านที่3:ยอห์น 9:1-41 การรักษาคนตาบอด
อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:เอเสเคียล 37:12-14 เราจะปลุกท่านจากความตาย
บทอ่านที่2:โรม 8:8-11 พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
บทอ่านที่3:ยอห์น 11:1-45 การกลับขึ้นมาเป็นของลาซารัส
เหตุใดจึงต้องประกอบด้วยสามบทอ่าน?
................โดยนัยทั่วไป,เพื่อให้คริสตชนเข้าใจพระวาจาอันทรงชีวิตและจิตตารมณ์ของบทอ่านนั้น ผ่านการฟังบทอ่านและพระวรสาร ทั้งยังถูกขยายความอีกครั้งโดยบทเทศน์ ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นและรับเอาสิ่งที่ฟังไปปฏิบัติด้วยดวงจิตและความจริง ผ่านการตอบรับว่า"ขอขอบพระคุณพระเจ้า" ในบทอ่านที่ 1 และ 2 ดังนั้นการตอบจึงไม่ใช่การตอบส่งๆเพราะจำได้หรือต้องตอบ แต่เป็นสิ่งที่เราระลึกว่าเราได้ฟัง"พระวาจาของพระเจ้า"ทำให้เราต้องแสดงคารวกิจด้วย"การขอบคุณ"และสรรเสริญพระองค์ผ่านบทสดุดี
................สำหรับพระวรสารมีรูปแบบที่พิเศษขึ้น โดยพระสงฆ์เป็นผู้กล่าวเองและมีการทักทายว่า"พระเจ้าสถิตกับท่าน"(วินิจฉัย6:12,ลูกา1:28)เพื่อเน้นอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ในดวงใจเรา(มโนธรรม) และเรากล่าวด้วยความมั่นใจว่า"และสถิตกับท่านด้วย"เพื่อชี้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระวรสารจะถูกชี้นำไปในสายพระเนตรของพระเจ้าแน่นอน ดังนั้นในการอ่านพระวรสารเราจึงต้อง"พนมมือ"เพื่อแสดงถึงความเคารพพระวรสาร(อันเราได้"ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าข้า"ไปแล้ว และโดยมากพระวรสารจะเป็นการโต้ตอบระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับผู้คน เป็นภาพชัดเจนหรือสัญลักษณ์ที่เร้าให้เรารู้สึกถึงความรักและอ่อนโยนของพระ เราจึงแสดงคารวกิจด้วย"ขอพระคริสตเจ้าทรงพระเจริญเทอญ"
โครงสร้างของสามบทอ่านเป็นดังนี้
(1)ข้อความในพันธสัญญาเดิม:เมื่อเราได้ฟังแล้ว จะทำให้เราเห็นถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับพันธสัญญาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนหรือเป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ ทั้งนี้ สิ่งที่เราได้เหมือนกันคือ เราได้เห็นแผนการของพระเจ้า เพราะในพันธสัญญาเก่าเราจะเห็นภาพมนุษย์แท้ๆได้ชัดเจน เราได้สัมผัสถึงมุมมองอันหลากหลายและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่คนมองพระเจ้า ที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการหลากหลายที่พระเจ้าทรงเผยแสดงและตัดสินพระทัยกระทำการสารพัด
(2)ข้อความในจดหมาย:ทำให้เราเห็นในมุมมองของตัวเราเอง เห็นกิจการของผู้รับใช้(ที่เราเรียกท่านว่านักบุญ)เราได้เห็นการแสดงความรู้สึกที่หลากหลายในฐานะมนุษย์ เป็นการเตือนใจตนเองหลายประการ บางครั้งถ้าเราฟังดีๆเราจะพบว่า บทอ่านทั้งสองนี้จะเชื่องโยงกันน่าประหลาด ราวกับบทอ่านที่สองคือคำตอบที่ดีประการหนึ่งของบทอ่านแรก หรือบทอ่านแรกคือทางไปสู่บทอ่านที่สอง
(3)พระวรสาร:เป็นการฟังคำตรัสโต้ตอบของพระเยซูเจ้า ทำให้เราเห็นพระองค์ทรงชีวิตแจ่มชัดมากขึ้น(เพื่อยกจิตใจเราให้สมควรกับการรับปังอันบันดาลชีวิต)ทำให้เราเห็นข้อสรุปของบทอ่านที่หนึ่งว่า พระเจ้าทรงเตรียมการณ์มาเช่นนี้ เพื่อองค์พระบุตรเช่นนี้ หรือ องค์พระบุตรได้ดำเนินตามรอยบทอ่านเช่นนี้
................ดังนั้น,สามบทอ่านจึงสำคัญ เพราะจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นในคำสอน ประกอบกับ มีบทเทศน์ที่ได้ขยายความ ให้ข้อสังเกต ตักเตือนเรา ให้มองเห็นทางที่แจ่มชัดมากขึ้น เรามักจะพบเสมอๆเหมือนกันว่า ทุกครั้งที่เราได้ฟังพระวาจา พระเลือกจะเตือนเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน และน่าแปลกกว่าคือบทอ่านบทเดียวกัน ทำให้จิตใจเราทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องรับมาคิดพิจารณาอย่างทั่วถึงทุกคน(แต่คนละแง่) นี่อาจนับได้ว่าเป็น พระหรรษทานที่ทรงแจกจ่ายให้แก่เราทุกคนในมิสซา(ก่อนรับปัง)ที่หลายคนอาจมองข้าม และละเลย
ดังนั้น เราจึง"ขอสรรเสริญเยินยอพระองค์ ราชาธิราชผู้ทรงเกียรตินิรันดร"
นอกเรื่องซะเยอะ
มีต่อครับ
บทนำ
................เราจะสังเกตได้ว่า คริสตชนใหม่ที่จะรับศีลล้างบาป(บางส่วน)นั้น จะได้รับศีลล้างบาปในช่วงสัปดาห์ท้ายและช่วงเวลาสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ที่เข้ากระบวนการรับผู้ใหญ่เป็นคริสตชน(RCIA)มักจะรับศีลล้างบาปในช่วงนี้ ทำไมกันหนอ?หลายคนที่เป็นพึ่งเป็นคริสตชนอาจสงสัย แน่นอนมีคำตอบอยู่
หมายเหตุ.*เป็นไปได้แน่นอนว่า จะมีการล้างบาปนอกจากช่วงเวลาที่กำหนดนี้
................เพราะมหาพรตนับใช้ว่าเป็นช่วงสำหรับพลีกรรมใช้โทษบาป เป็นช่วงเวลาที่เราคริสตชนจะรำลึกถึงศีลล้างบาป โดยสังคายวาติกันได้บอกเราอีกว่า "เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาของการฟังพระวาจาและสวดภาวนา เพื่อให้เราสามารถร่วมฉลองปัสกาได้อย่างสมควร"
................ในบทความการฉลองธรรมล้ำลึกของพระคริสตเจ้าในเทศกาลมหาพรต กล่าวว่า มหาพรตเป็นเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ และเป็นข้อผูกมัดพระศาสนจักรให้กระทำกิจการต่อไปนี้ คือ
(1)ให้หมู่คณะเตรียมใจรับพระคริสตเจ้าผู้คืนพระชนม์อย่างเหมาะสม การเตรียมใจมีลักษณะเป็นการฟื้นฟูตนเองอาศัยพระวาจาของพระเจ้า การภาวนา การทำบุญให้ทาน หรือ กิจเมตตาต่างๆ และการอดอาหาร
(2)ให้ผู้ใหญ่ที่เตรียมตัวรับศีลล้างบาปเตรียมตัวอย่างเข้มข้น
(3)มีการโปรยเถ้า(ในวันพุธรับเถ้า)เป็นเครื่องหมายเตือนให้เราใช้โทษบาป(ใน 40 วันต่อจากนั้นไป)
ถ้าเราไปมิสซาทุกวันหรือทุกวันอาทิตย์ เราจะเห็นว่าในโครงสร้างปีA(หลายวัดอาจจะกล่าวตอนต้นๆปีว่า ปีนี้ปีA)
จะเน้นให้เราเห็นถึง"ทางเดินแห่งศีลล้างบาปของพระศาสนจักร" ดังนี้
(คุณสามารถเข้าไปอ่าน บทเทศน์วันอาทิตย์ได้ที่ อัครสังฆมณฑล โดย คพ.วิทยา)
อาทิตย์ที่ 1เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 2:7-9 การสร้างและบาป
บทอ่านที่2:โรม 5:12-19 บาปและการไถ่
บทอ่านที่3:มัทธิว 4:1-11 การประจญของพระเยซูเจ้า
อาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:ปฐมกาล 12:1-4 กระแสเรียกของอับราฮัม
บทอ่านที่2:2ทิโมธี1:8-10 กระแสเรียกของเรา
บทอ่านที่3:มัทธิว 17:1-9 การจำแลงพระกาย
อาทิตย์ที่ 3 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:อพยพ 17:3-7 ความกระหายของอิสราแอล
บทอ่านที่2:โรม 5:1-8 ความรักของพระเจ้าที่หลั่งมายังเรา
บทอ่านที่3:ยอห์น 4:5-42 หญิงชาวสะมาเรีย
อาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:1ซามูเอล16:1-13 การเจิมดาวิด
บทอ่านที่2:เอเฟซัส 5:8-14 ตื่นขึ้นจากความตาย
บทอ่านที่3:ยอห์น 9:1-41 การรักษาคนตาบอด
อาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรต
บทอ่านที่1:เอเสเคียล 37:12-14 เราจะปลุกท่านจากความตาย
บทอ่านที่2:โรม 8:8-11 พระจิตของพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน
บทอ่านที่3:ยอห์น 11:1-45 การกลับขึ้นมาเป็นของลาซารัส
เหตุใดจึงต้องประกอบด้วยสามบทอ่าน?
................โดยนัยทั่วไป,เพื่อให้คริสตชนเข้าใจพระวาจาอันทรงชีวิตและจิตตารมณ์ของบทอ่านนั้น ผ่านการฟังบทอ่านและพระวรสาร ทั้งยังถูกขยายความอีกครั้งโดยบทเทศน์ ทำให้เรามีความเข้าใจมากขึ้นและรับเอาสิ่งที่ฟังไปปฏิบัติด้วยดวงจิตและความจริง ผ่านการตอบรับว่า"ขอขอบพระคุณพระเจ้า" ในบทอ่านที่ 1 และ 2 ดังนั้นการตอบจึงไม่ใช่การตอบส่งๆเพราะจำได้หรือต้องตอบ แต่เป็นสิ่งที่เราระลึกว่าเราได้ฟัง"พระวาจาของพระเจ้า"ทำให้เราต้องแสดงคารวกิจด้วย"การขอบคุณ"และสรรเสริญพระองค์ผ่านบทสดุดี
................สำหรับพระวรสารมีรูปแบบที่พิเศษขึ้น โดยพระสงฆ์เป็นผู้กล่าวเองและมีการทักทายว่า"พระเจ้าสถิตกับท่าน"(วินิจฉัย6:12,ลูกา1:28)เพื่อเน้นอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ในดวงใจเรา(มโนธรรม) และเรากล่าวด้วยความมั่นใจว่า"และสถิตกับท่านด้วย"เพื่อชี้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระวรสารจะถูกชี้นำไปในสายพระเนตรของพระเจ้าแน่นอน ดังนั้นในการอ่านพระวรสารเราจึงต้อง"พนมมือ"เพื่อแสดงถึงความเคารพพระวรสาร(อันเราได้"ขอถวายพระเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าข้า"ไปแล้ว และโดยมากพระวรสารจะเป็นการโต้ตอบระหว่างพระเยซูคริสตเจ้ากับผู้คน เป็นภาพชัดเจนหรือสัญลักษณ์ที่เร้าให้เรารู้สึกถึงความรักและอ่อนโยนของพระ เราจึงแสดงคารวกิจด้วย"ขอพระคริสตเจ้าทรงพระเจริญเทอญ"
โครงสร้างของสามบทอ่านเป็นดังนี้
(1)ข้อความในพันธสัญญาเดิม:เมื่อเราได้ฟังแล้ว จะทำให้เราเห็นถึงความเชื่อมโยงบางอย่างกับพันธสัญญาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนหรือเป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ ทั้งนี้ สิ่งที่เราได้เหมือนกันคือ เราได้เห็นแผนการของพระเจ้า เพราะในพันธสัญญาเก่าเราจะเห็นภาพมนุษย์แท้ๆได้ชัดเจน เราได้สัมผัสถึงมุมมองอันหลากหลายและวัฒนธรรมที่แตกต่างที่คนมองพระเจ้า ที่สำคัญที่สุดคือ วิธีการหลากหลายที่พระเจ้าทรงเผยแสดงและตัดสินพระทัยกระทำการสารพัด
(2)ข้อความในจดหมาย:ทำให้เราเห็นในมุมมองของตัวเราเอง เห็นกิจการของผู้รับใช้(ที่เราเรียกท่านว่านักบุญ)เราได้เห็นการแสดงความรู้สึกที่หลากหลายในฐานะมนุษย์ เป็นการเตือนใจตนเองหลายประการ บางครั้งถ้าเราฟังดีๆเราจะพบว่า บทอ่านทั้งสองนี้จะเชื่องโยงกันน่าประหลาด ราวกับบทอ่านที่สองคือคำตอบที่ดีประการหนึ่งของบทอ่านแรก หรือบทอ่านแรกคือทางไปสู่บทอ่านที่สอง
(3)พระวรสาร:เป็นการฟังคำตรัสโต้ตอบของพระเยซูเจ้า ทำให้เราเห็นพระองค์ทรงชีวิตแจ่มชัดมากขึ้น(เพื่อยกจิตใจเราให้สมควรกับการรับปังอันบันดาลชีวิต)ทำให้เราเห็นข้อสรุปของบทอ่านที่หนึ่งว่า พระเจ้าทรงเตรียมการณ์มาเช่นนี้ เพื่อองค์พระบุตรเช่นนี้ หรือ องค์พระบุตรได้ดำเนินตามรอยบทอ่านเช่นนี้
................ดังนั้น,สามบทอ่านจึงสำคัญ เพราะจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นในคำสอน ประกอบกับ มีบทเทศน์ที่ได้ขยายความ ให้ข้อสังเกต ตักเตือนเรา ให้มองเห็นทางที่แจ่มชัดมากขึ้น เรามักจะพบเสมอๆเหมือนกันว่า ทุกครั้งที่เราได้ฟังพระวาจา พระเลือกจะเตือนเราในรูปแบบที่แตกต่างกัน และน่าแปลกกว่าคือบทอ่านบทเดียวกัน ทำให้จิตใจเราทุกคนได้ในสิ่งที่ต้องรับมาคิดพิจารณาอย่างทั่วถึงทุกคน(แต่คนละแง่) นี่อาจนับได้ว่าเป็น พระหรรษทานที่ทรงแจกจ่ายให้แก่เราทุกคนในมิสซา(ก่อนรับปัง)ที่หลายคนอาจมองข้าม และละเลย
ดังนั้น เราจึง"ขอสรรเสริญเยินยอพระองค์ ราชาธิราชผู้ทรงเกียรตินิรันดร"
นอกเรื่องซะเยอะ
มีต่อครับ