เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ ผมก็ทำหน้าที่ คนขับรถ
พาแม่ผม ซึ่งเป็นพุทธ
และเพื่อนอีก 3 คน ซึ่งเป็นพุทธ
ไปทำบุญแบบพุทธ ที่อุทยานแห่งชาติ เขาคิชฌกูฎ จันทบุรี
ข้างบนเขาเนี่ย มี รอยพระพุทธบาท และหินที่หน้าตาคล้ายบาตรคว่ำ ซึ่งเขาว่ามันลอยอยู่
การที่เราจะขึ้นไปที่รอยพระพุทธบาทเนี่ย จะต้องคิดแต่สิ่งที่ดี และดี
ห้ามเดินออกนอกทางที่เตรียมไว้ทั้งหมด
เพราะภูเขาลูกนี้ ยังคงมี สิงห์สาลาสัตว์ เป็นปกติ
แต่ที่เขาเปิดให้ขึ้นได้ ก็เพราะ พระภิกษุ ชื่อ หลวงพ่อเขียน พระเกจิอาจารย์
ได้ทำพิธีบรวงสรวง ปิดป่า (ปิดไม่ให้สัตว์ป่าเดินเข้ามาในบริเวณวัด)
เราจึงสามารถขึ้นไปได้
ในแต่ละจุดที่เราขึ้นไป ก็จะมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์หลายๆ อย่าง
ไม่ว่าจะเป็น หินศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูป ฤๅษี พระสิวลี และพระอื่นๆ ผมจำไม่ได้หมด
เขาก็จะนำดอกดาวเรืองไปโรย ธูปไปปัก (ห้ามจุดธูป) แล้วก็เอาทองคำเปลว ไปปิด
พุทธศาสนิกชน ก็ใช้โอกาสนี้ทำบุญกัน ซึ่งจำนวนคนที่มาเนี่ย เยอะมากๆ
วันที่ผมไปคือวันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน 2551 กว่าจะได้ขึ้น ก็มืดแล้ว
เนื่องจากฝนตก จึงได้ขึ้นช้า ...
ผมก็วัดใจตัวเองอะครับ เนื่องจากผมก็เป็นคาทอลิกที่ค่อนข้างเคร่ง (นิสนึง) ...
ว่าใจเราจะคิดอะไร หรือจะคิดดีได้อย่างไร แล้วจะไม่ผิดต่อพระเจ้าของเรา ...
เมื่อเราได้ขึ้นรถ (รถ 4 wheel) ทางขึ้นเขา ชันมากๆๆๆ ตั้งแต่ที่เคยขึ้นเขามา
ที่นี่แหละ สุดยอด ที่สุด ...
รู้ไหมใจผมคิดอะไร ... ผมคิดถึงแต่พระเ้จ้าอย่างเดียว ...
พระองค์ดลใจให้ผมคิดว่า ... ใกล้แล้วนะ เจ้ากำลังจะขึ้นไปดูงานศักดิ์สิทธิ์
ไปดูผลงานความรักของพระองค์ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งทำให้คนทั้งปวง แสวงหาแต่ความดี
เหมือนพระองค์กำลังจะบอกว่า งานที่พระสงฆ์รูปนี้ทำ เป็นกิจการที่พระองค์พอใจให้เกิดขึ้น
เพราะเป็นศูนย์รวมใจของพุทธศาสนิกชน ...
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งด่วน ตัดสินผม นะ ลองคิดแบบผมไปก่อน
พระเจ้า ไม่ได้อยากเห็น คนมากราบไหว้รูปปั้น รูปเคารพ หรือสิ่งอื่นใดหรอก
สิ่งเหล่านั้น มันยังร้ายกาจไม่เท่ากับจิตใจอัีนชั่วร้าย ...
แต่หากคนทั้งปวง จะกราบอะไรก็ตามแต่ (คนพุทธเหล่านั้น จะทำอะไรก็ตามแต่)
แต่ถ้าจิตใจเขาดี มีความรัก และเมตตา นั่นแหละ มันเป็นเนื้อแท้ของความเป็นบุตรของพระเจ้า
(จะอธิบายอย่างไรดีนะ) ก็คือว่า ถึงเขาจะไม่รู้จักพระเจ้า แต่ลึกๆ ที่เขาทำ
เขาทำตามแผนการณ์ของพระเจ้า (ซึ่งพวกเขาไม่รู้ตัว)
โอเค ไม่รู้ว่า ลากความคิดทั้งหลายมารวมกันได้อย่างไร ... แต่มันรู้สึกแบบนี้จิงๆ ตอนนั้น
แล้วไอ้ตัวผมเนี่ย ก็ช่วยพาแม่ ไปทำบุญในแต่ละจุดๆ ช่วยพยุงให้แม่เดินได้ตลอดรอดฝั่ง
ผมรู้สึกว่า ตัวผมเอง เหมือนเดินรูป 14 ภาคเลย
มันเป็นทางเดินขึ้นเขาชัน หลายกิโลนะ แต่ที่แปลกก็คือ
รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ที่สามารถมีความอดทน ช่วยเหลือแม่จนถึง
ปลายทาง และก็พยุงกลับได้ ...
หากเป็นแต่ก่อน ผมคงวิ่งขึ้นไปรอแม่ข้างบน และให้แม่ขึ้นมาเอง ... (ก็คิดแบบเด็กนะ ตอนนู้น แต่ตอนนี้โตแล้ว)
แต่ความรู้สึกอคติอีกด้านมันก็ผลุดขึ้นมา ... พูดในใจว่า ...
ไอ้สิ่งที่เขาทำเนี่ยมันจริงเหรอ ... นี่เขาสร้างขึ้นมาทำอะไรกัน มากราบไหว้อะไรกัน ...
แล้วให้คนมาทำบุญแบบนี้จริงเหรอ ...
แล้วที่นั่งอยู่นั่นเนี่ย เป็น พระเกจิอาจารย์ แล้วไงมารับเงินทำบุญแบบนี้
ให้คนมากราบมาไหว้ ... นี่ตัวท่านจะยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น แบบนี้เนี่ย ดีแล้วเหรอ ...
แล้วก้อนหินบาตรคว่ำเนี่ย มันลอยได้จิงเหรอ มันคงไม่น่าจะลอยได้หรอก ...
คิดกันไปเองหรือเปล่า ...
ในระหว่างที่คิดอยู่นั้น ใจผมก็กลัวเหมือนกัน
เพราะ เขาบอกว่าให้คิดแต่สิ่งดีๆ ใจผมจึงพูดกับพระเจ้าว่า
พระองค์ช่วยลูกด้วยนะ ลูกคิดอะไรก็ไม่รู้ เต็มไปหมด
ปกป้องลูกด้วย ...
เขาว่ากันว่า ถ้าไปถึงตรงรอยพระพุทธบาท ให้่ขออะไรก็ได้อย่างหนึ่ง
คนอื่นเขาก็ขอกัน ...
ส่วนผมเอง ดันไม่รู้จะขออะไร ... คิดไม่ออกจิงๆ
เอาหละ เลยพูดกับพระเจ้าว่า พระองค์ งั้น ลูกไม่ขออะไรจากใคร
บอกพระองค์ว่า ผมมาถึงจุดปลายทางนี้ ผมขอให้พระองค์ทำให้
ประเทศไทยมีรักและสันติภาพเถิด ... ผมคงไม่คิดว่าใครจะให้ได้
นอกจากพระเจ้าเท่านั้น ...
สุดท้าย ทุกคนก็กลับมาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ
มีเพียงอาการปวดเมื่อยเล็กน้อยเท่านั้น ...
มีบางคนเล่าว่า เคยมีบางคนคิดไม่ดี ...
กลับมาไม่ถึงบ้าน เจออุบัติเหตุตายเสียก่อน
บางคนก็สูญหายบ้าง ...
ขอบพระคุณพระเจ้าที่ปกป้องลูกในการเดินทางครั้งนี้
แต่ก็แปลกนะ ... ผมยิ่งรู้สึกรักพระเจ้าของเรามากขึ้น
เพราะอะไรรู้ไหม คือ ผมรู้สึกลึกๆ ในใจว่า
ไม่มีพรใดเลย ที่คนเขาไปขอกันแล้วเกิดขึ้นจริง
(เขาว่าได้กันจิงๆ)
แต่ความรู้สึกที่ผมได้ตอนกลับมาก็คือ หากเราไม่ขอ
พระเจ้าของเรา ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้แน่นอน
อาการปวดเมื่อย เส้นยึด ตะคิว เจ็บข้ัอหัวเข่า ของแม่ผม
ส่วนใหญ่หายก็เพราะพระเมตตาของพระเจ้าทั้งนั้น
แม่ผมเนี่ย เป็นพุทธก็จิง แต่แม่ผมก็รักพระเจ้ามาก
แม่หยิบน้ำเสก (น้ำเสกจิงๆ ไม่ใช่น้ำมนต์) มาทาเข่า
ทาขา ก็หายปวดหายเมื่อยมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ส่วนงานแสวงบุญที่เขาลูกนี้ ก็เป็นสิ่งหนึ่ง
ที่ชาวพุทธควรกระทำ ...
แต่ในฐานะการที่เราเป็นคริสต์ สิ่งที่เราทำได้ ก็คงทำอย่างที่ผมทำ
คือ ... ช่วยเหลือตามความสามารถ ...
... และไม่ทิ้งความเชื่อของเราเด็ดขาด ...
จบ ... และก็ควรนำพา
ชาวพุทธทำบุญที่เขาคิชฌกูฎ แบ่งปันให้ฟัง
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
เยี่ยมมากครับพี่บอม ผมเองก็เคยมีประสบการ์ณเช่นนี้ แต่เล่าให้ใครฟังไม่ค่อยได้มากเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน น้อยคนจะเข้าใจ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
เคยไปเหมือนกัน...
แต่ว่า...ลองของด้วยนะ... ไม่ได้ฮะ ไม่สำเร็จ ...
...มองแบบเป็นกลาง...เขาลูกนั้น..เป็นสิ่งดีล้ำค่าแห่งพระพุทธศาสนาเลยนะ...
มองแบบชาวคริสต์จะมองไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน..ไม่กล้าแสดงความเห็น...
ไอ้ที่เขาล่ำลือกัน...ผมไม่ได้ประสบด้วยตัวเองอะ... ...แต่ผมเดินไปถึงผ้าแดงเลย...เดินเร็วและไม่หยุดพัก..อย่างกะคนมีศรัทธาสูง..
ก็สนุกดี เหมือนไปเทียวอ่ะ
มองในมุมหนึ่ง ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นเสมือนหนึ่งในดวงจิตระดับสูงของสวรรค์..นะ ผมคิดอย่างนั้น เพราะพุทธองค์ช่วยมนุษย์ในแดนมืดให้สว่าง..ส่วนปัจจุบันจะสว่างหรือมืดก็ไม่รู้ไม่พูด ไม่ตัดสิน...
ส่วนใครที่สับสน เหอๆ (เพราะเคยสับสน) ก็อย่าไปสนใจเลย ปวดหัวป่าวๆ อยู่ส่วนของเรานี่แหละ
แต่ศาสนาดังๆ ศาสนานึง ผมไม่ยุ่งและปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงแน่นอน คือศาสนาที่สอนให้มีเมียได้หลายคน และก็ศาสนาที่สอนว่า ถ้าพี่น้องของเราเปลี่ยนไปนับถือพวกนอกรีตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที ไรทำนองนี้...อันนี้ ผมเชื่อว่า เป็นข้อเชื่อเท็จ เป็นคำสอนที่มาจากปีศาจและ..ไม่ได้มาจากพระเจ้าตามที่แอบอ้าง..เชื่องี้จริงๆ
เหตุผลคือ ผมไม่เชื่อว่า พระเจ้าจะให้ธรรมบัญญัติที่ผิดมโนธรรมง่ายๆนี้แก่มนุษย์ครับ
ลากไปลากมา มี3 ศาสนาล่ะ 55555555555+
คำพูดใด ไม่ดี แก้ไขได้เลยฮะ หรือลบทิ้งได้เลย
แต่ก็อยากเสนอความเห็นอะ
แต่ว่า...ลองของด้วยนะ... ไม่ได้ฮะ ไม่สำเร็จ ...
...มองแบบเป็นกลาง...เขาลูกนั้น..เป็นสิ่งดีล้ำค่าแห่งพระพุทธศาสนาเลยนะ...
มองแบบชาวคริสต์จะมองไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน..ไม่กล้าแสดงความเห็น...
ไอ้ที่เขาล่ำลือกัน...ผมไม่ได้ประสบด้วยตัวเองอะ... ...แต่ผมเดินไปถึงผ้าแดงเลย...เดินเร็วและไม่หยุดพัก..อย่างกะคนมีศรัทธาสูง..

ก็สนุกดี เหมือนไปเทียวอ่ะ
มองในมุมหนึ่ง ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นเสมือนหนึ่งในดวงจิตระดับสูงของสวรรค์..นะ ผมคิดอย่างนั้น เพราะพุทธองค์ช่วยมนุษย์ในแดนมืดให้สว่าง..ส่วนปัจจุบันจะสว่างหรือมืดก็ไม่รู้ไม่พูด ไม่ตัดสิน...
ส่วนใครที่สับสน เหอๆ (เพราะเคยสับสน) ก็อย่าไปสนใจเลย ปวดหัวป่าวๆ อยู่ส่วนของเรานี่แหละ
แต่ศาสนาดังๆ ศาสนานึง ผมไม่ยุ่งและปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงแน่นอน คือศาสนาที่สอนให้มีเมียได้หลายคน และก็ศาสนาที่สอนว่า ถ้าพี่น้องของเราเปลี่ยนไปนับถือพวกนอกรีตให้ฆ่าทิ้งได้ทันที ไรทำนองนี้...อันนี้ ผมเชื่อว่า เป็นข้อเชื่อเท็จ เป็นคำสอนที่มาจากปีศาจและ..ไม่ได้มาจากพระเจ้าตามที่แอบอ้าง..เชื่องี้จริงๆ
เหตุผลคือ ผมไม่เชื่อว่า พระเจ้าจะให้ธรรมบัญญัติที่ผิดมโนธรรมง่ายๆนี้แก่มนุษย์ครับ
ลากไปลากมา มี3 ศาสนาล่ะ 55555555555+
คำพูดใด ไม่ดี แก้ไขได้เลยฮะ หรือลบทิ้งได้เลย
แต่ก็อยากเสนอความเห็นอะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณที่แบ่งปันครับ 

ขอบคุณครับ
-
- โพสต์: 1042
- ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 22, 2008 11:37 am
- ที่อยู่: Ether23@hotmail.com
เยรูซาเล็ม สิคร้าบ 
