“พระทัย” ของพระเจ้าตามพระคัมภีร์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 12, 2008 6:42 pm
“พระทัย” ของพระเจ้าตามพระคัมภีร์
บทความที่คัดลอกมาจากหนังสือ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า : มิติเชิงเทววิทยา
ผู้เขียน : คุณพ่อ ฟรังซิส ไำกส์ ซดบ.
ผู้จัดพิมพ์ : คณะภคินีพรหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ
พระคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้าบ่อยๆ เกือบทุกหน้าก็ว่าได้ และกล่าวถึงพระองค์โดยใช้สำนวนเดียวกันกับที่เราใช้เมื่อพูดถึงมนุษย์
เช่น พระคัมภีร์กล่าวถึงพระพักตร์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของพระองค์ และบางครั้งกล่าวถึงพระทัยของพระองค์
เราจะศึกษาความหมายของสำนวน “พระทัยของพระเจ้า” ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อปฎิบัติตามคำสั่งสอน
ของสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 ในพระสมณสาสน์ จงตักน้ำ (Haurietis Aquas) พระองค์ตรัสว่า
“คารวกิจต่อดวงพระทัยของพระเยซูเจ้านั้น โดยธรรมชาติแล้วเป็นการนมัสการสรรเสริญ ความรักที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า
และเวลาเดียวกันเป็นการแสดงความรักของเราต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์”
คำอธิบายเช่นนี้ดูเหมือนค่อนข้างจะแปลก เพราะสมเด็จพระสันตะปาปาไม่ทรงเขียนว่าคารวกิจต่อดวงพระทัยของพระคริสตเจ้า
เป็นการมนัสการสรรเสริญความรักของพระคริสตเจ้า แต่ทรงเขียนว่า
“คารวกิจต่อดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าเป็นการนมัสการสรรเสริญที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า”
ดังนั้นนับว่า ความรักของพระคริสตเจ้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ความรักนิรันดรของพระเจ้าเป็นจริง และเป็นรูปธรรม
ในธรรมชาติมนุษย์ของพระบุตร ความรักของพระบิดามาถึงเราอาศัยสัญลักษณ์ของพระทัยที่ถูกแทง ซึ่งกระตุ้นเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ทัศนะที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในเรื่องความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าสำคัญมาก
เพราะชีวิตของคริสตชนมีส่วนร่วมในพระชนมชีพเยี่ยงบุตรของพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้นมัสการพระบิดาเจ้า
และทรงเป็นผู้เปิดเผยพระบิดาเจ้า พระองค์จึงทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เราจะแสดงคารวกิจต่อคนกลาง
แต่ไม่แสดงคารวกิจต่อผู้ที่คนกลางนำเราไปพบนั้น ก็ไม่ถูกต้อง ทัศนะที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางเป็นลักษณะสำคัญ
ของการปฎิรูปการดำเนินชีวิตจิต ที่มีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลาง
พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าจึงเปิดเผยความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราและชักชวนเราให้ร่วมในภารกิจของพระองค์ผู้ทรงชดเชยบาปของมนุษย์
เพื่อความยินดีและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาเจ้า และเพื่อพระอาณาจักรแห่งความรักจะได้มาถึงในโลก
สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12เชิญชวนคริสตชนให้ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อค้นพบลักษณะและรายละเอียดของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา
ผ่านทางพระคริสตเจ้าประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นที่เราพบในพระคัมภีร์ก็เป็นการเปิดเผยความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์
อย่างค่อยเป็นค่อยไป
1. “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่”
เกือบทุกศาสนาสอนมนุษย์ให้แสวงหาพระเจ้า ให้แสวงหาพระองค์จนพบ และส่งเสริมความปรารถนาในใจมนุษย์ ที่จะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า
นี่คือแก่นแท้ของแต่ละศาสนาและของพิธีกรรมในทุกรูปแบบ
เราต้องทดสอบความคิดที่เรามีเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นกับความคิดนี้ เช่น ความหมายของชีวิตความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ระบบสังคม ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าทำให้ทัศนคติของเราเป็นคนที่คลั่งไคล้ในเรื่องศาสนา หรือเป็นคนที่ไม่ยอมให้ผู้อื่น
มีความคิดเห็นแตกต่างจากของความคิดของตน หรือเป็นคนที่มีความสมานฉันท์ ฯลฯ
ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพันธสัญญาเดิม มีการบันทึกเรื่องราวของผู้ที่แสวงหาพระเจ้าไว้หลายเรื่อง เราพบในเพลงสดุดีบทที่ 27
ประโยคที่สรุปความปรารถนานี้อย่างดี “ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่” (สดด 27:8) สำนวน “แสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า”
แต่เดิมหมายถึงการไปที่สักการสถานเพื่อทราบพระประสงค์ของพระเจ้า (2 ซมอ 21:1) แต่ในภายหลังยังมีความหมายกว้างๆอีกว่า
“มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า” หรือ “ดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์" ส่วนสำนวน “แสวงหาพระเจ้า”
(สดด 40:16; 69:6; 105:3; ฉธบ 4:29) หมายถึงการรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์
“พระพักตร์ของพระเจ้า” ชวนให้เราคิดถึงเวลาที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ เวลาที่เราเพ่งพินิจพระองค์
และมีความชื่นชมในความใกล้ชิดพระองค์ผู้มีความเชื่อมีประสบการณ์เช่นนี้ เมื่อเขาอธิษฐานภาวนาและประกอบพิธีกรรมเวลานั้นเขารู้สึกว่า
พระเจ้าประทับอยู่ใกล้กับเขาและเขามีความชื่นชมยินดีแสดงออก ถึงความไว้วางใจที่ไร้ขอบเขต ในบทเพลงสดุดีที่ 27 ข้อ 4 ว่า
“ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งเดียวจากพระยาห์เวห์
สิ่งเดียวนี้ข้าพเจ้ากำลังแสวงหา
คือการได้พำนักอยู่ในพระเคหาของพระยาห์เวห์ทุกวันตลอดชีวิต
เพื่อชมความงามของพระยาห์เวห์
และคอยเฝ้าอยู่ในพระวิหารของพระองค์” (สดด 27:4)
ผู้อธิษฐานภาวนายังแสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าดังต่อไปนี้
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดทรงฟังเสียงข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าร้องเรียกพระองค์
โปรดทรงพระกรุณาตอบข้าพเจ้าด้วยเถิด
ใจข้าพเจ้าคิดคำนึงถึงพระวาจาที่ว่า
‘จงแสวงหาใบหน้าของเราเถิด’
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่
ขอพระองค์อย่าทรงเบือนพระพักตร์ไปเสียจากข้าพเจ้า
อย่ากริ้วและทรงขับไล่ข้ารับใช้ของพระองค์เลย
พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
โปรดอย่าทรงจากข้าพเจ้าไป อย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้
ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น” (สดด 27:7-9)
หนังสืออพยพเล่าว่า โมเสสแสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าเมื่ออยู่บนภูเขาซีนาย ทั้งๆที่เขารู้ว่ามนุษย์เห็นพระเจ้าไม่ได้
เขาเพียงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ได้เท่านั้น
โมเสสว่า ‘ขอให้ข้าพเจ้าแลเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด’ พระยาห์เวห์ตรัสตอบว่า
‘เราจะบันดาลให้ความรุ่งเรืองทั้งหมดของเรา ปรากฏต่อหน้าท่าน และเราจะประกาศนามยาห์เวห์ของเราต่อหน้าท่าน
เราจะโปรดปรานผู้ที่เราต้องการจะโปรดปราน และเราจะเมตตากรุณาผู้ที่เราต้องการจะเมตตากรุณา’ พระองค์ตรัสต่อไปว่า
‘ท่านจะดูหน้าเราไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้’ พระยาห์เวห์ทรงเสริมอีกว่า
‘ที่นี่มีหินก้อนใหญ่อยู่ข้างเรา ท่านจงยืนบนนั้นเถิด เมื่อเราผ่านไป และสำแดงสิริรุ่งโรจน์ของเรา เราจะเอาท่านซ่อนไว้ในซอกหินนั้น
และจะใช้มือของเราบังท่านไว้จนกว่าเราจะผ่านพ้นไป แล้วเราจะเอามือของเราออก
ท่านจะได้เห็นด้านหลังของเราแต่ท่านจะไม่เห็นหน้าของเรา’ (อพพ 33:18-23)
ธรรมล้ำลึกของการแสวงหาพระเจ้าอยู่ในความจริงข้อนี้ คือมนุษย์รู้ว่าแม้เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า
กระนั้นก็ดีเขาต้องการแสวงหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมีเสน่ห์ดึงดูดใจของเขาเหมือนกับสนามแม่เหล็ก เพลงสดุดีบทที่ 42
แสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าอย่างชัดเจนว่า
“กวางย่อมกระหายหาธารน้ำไหลฉันใด
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็กระหายหาพระองค์ฉันนั้น
ข้าพเจ้ากระหายพระเจ้า พระผู้ทรงชีวิต
เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าจะได้ไปชมพระพักตร์ของพระเจ้า
ข้าพเจ้ากินน้ำตาต่างกับข้าวทั้งวันทั้งคืน
ตลอดวันใครๆ ก็กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน’” (สดด 42:1-3)
ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารหาน้ำยาก และถ้าไม่มีน้ำก็มีชีวิตไม่ได้ ดังนั้นการแสวงหาน้ำเป็นภาพที่น่าประทับใจ
แสดงถึงความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จำเป็นเพื่อมีชีวิต คนโบราณคิดว่า กวางมีสัญชาตญาณรู้ว่ามีน้ำอยู่ที่ใดไม่ว่าเป็นบ่อน้ำ ตาน้ำ
หรือห้วยลำธารที่อยู่ห่างไกล เมื่อกวางกระหายน้ำสัญชาตญาณนำไปสู่แหล่งน้ำด้วยความกระเสือกกระสน ออกเสียงครวญครางที่เรียกกันว่า
“ครวญครางกระหายน้ำ” ถ้ากวางพบแหล่งน้ำจริงก็จะมีชีวิตต่อไปได้ (เทียบ สดด 63:84)
ความกระเสือกกระสนของกวางที่กระหายน้ำเป็นภาพสวยงามแสดงความปรารถนาลึกซึ้งของจิตใจที่ปรารถนาสุดกำลังที่จะพบพระเจ้า
ผู้ที่มีจิตใจเช่นนี้แสวงหาที่จะพบพระองค์ในการภาวนา ปรารถนาที่จะรู้พระประสงค์ของพระองค์ และปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตในความรักของพระองค์
เมื่อผู้ใดมีจิตใจเช่นนี้อย่างแท้จริง ผู้นั้นจะพูดได้เต็มปากว่า “กวางย่อมกระหายหาธารน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็กระหายหาพระองค์ฉันนั้น”
ทำนองเดียวกัน นักบุญออกัสตินเคยแสดงความปรารถนาเดียวกันเมื่อเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อพระองค์
และหัวใจของเราก็สุดที่จะสงบสุขได้ ตราบใดที่ยังมิได้พักผ่อนในพระองค์” นักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู เคยกล่าวว่า
“ข้าแต่พระเจ้า พระพักตร์พระองค์เท่านั้นเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของข้าพเจ้า”
2. พระเจ้าทรงเปิดเผยความรักต่อมนุษย์แบบค่อยเป็นค่อยไป
“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย” (ยน 1:18) แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยพระวาจาและพระราชกิจตลอดประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น จนกว่าจะทรงสำแดงพระองค์อย่างสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้า
“พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้น ได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้” (ยน 1:18)
ดังนั้น ประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นได้เป็นประวัติศาสตร์แห่งการเปิดเผยพระเจ้าและความรักของพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกด้วย
การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน มีช่วงเวลาที่มีแสงสว่างและช่วงเวลาที่มีความมืด เพราะพระคัมภีร์ไม่เป็นเพียงหนังสือ
ที่พระเจ้าทรงประพันธ์ด้วยการดลใจของพระจิตเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นหนังสือที่มนุษย์ได้เขียนด้วยความรู้ที่จำกัดและบางครั้งเขียนโดยมีอคติ
ดังที่ปรากฏอย่างชัดเจนในพันธสัญญาเดิม เมื่อคนโบราณมีภาพพจน์ไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า
ถ้าผู้ใดอ่านพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องคงจะแปลกใจที่จะพบว่า บางครั้งมีการพูดถึงพระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
และความเมตตากรุณา และอีกบางครั้งมีการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม และจำเป็นต้องลงโทษมนุษย์ที่กระทำบาป
ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่และการลงโทษของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่น่ากลัวเช่นกัน พระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์
แต่ทรงบัญชาให้ทำลายล้างศัตรูของประชากร ทำไมพระองค์ทรงเรียกร้องให้ประชากรของพระองค์ใช้ความรุนแรงอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้
นี่คือธรรมล้ำลึกของพระเจ้าสำหรับผู้อ่านพระคัมภีร์
สิ่งที่ควรคำนึงถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่เราอ่านพระคัมภีร์ก็คือ พระคัมภีร์ไม่ใช่พระวาจาที่พระเจ้าตรัสกับเราโดยตรง พระคัมภีร์เป็นประวัติศาสตร์
ทางศาสนาของประชาชนอิสราเอลตามที่พระเจ้าทรงดลใจมนุษย์ให้เขียน การดลใจนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการบอก
พระคัมภีร์จึงเป็นประวัติศาสตร์ของประชากรที่ถูกพระเจ้า กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ประชากรสามารถเอาชนะอคติของตนควบคุมความเกลียดชัง
ต่อชาติอื่นๆ หรือความคลั่งไคล้ต่อศาสนาของตนได้เพียงทีละเล็กทีละน้อย เพื่อจะได้เข้าใจธรรมล้ำลึกของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้งแท้จริงมากกว่า
พระคัมภีร์จึงบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปของประชากรของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงเสนอแนะความเข้าใจของประชาชนเป็นขั้นตอน เมื่อทรงอธิบายเหตุผลว่าทำไมโมเสสจึงอนุญาตให้ชาวอิสราเอลหย่าร้างได้
“เพราะใจของท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่” (มธ 19:8)
สมัยโมเสสชาวยิวมีความคิดที่ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม เมื่อผู้ใดกระทำความผิดจำเป็นที่พระเจ้าจะต้องลงโทษ
มนุษย์ต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติจะต้องถูกประหารชีวิต อาทิเช่น
“วันทำงานได้มีหกวัน แต่วันที่เจ็ดจะเป็นวันศักดิ์สิทธิ์สำหรับท่าน จะเป็นวันห

บทความที่คัดลอกมาจากหนังสือ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า : มิติเชิงเทววิทยา
ผู้เขียน : คุณพ่อ ฟรังซิส ไำกส์ ซดบ.
ผู้จัดพิมพ์ : คณะภคินีพรหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ
พระคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้าบ่อยๆ เกือบทุกหน้าก็ว่าได้ และกล่าวถึงพระองค์โดยใช้สำนวนเดียวกันกับที่เราใช้เมื่อพูดถึงมนุษย์
เช่น พระคัมภีร์กล่าวถึงพระพักตร์ของพระเจ้า พระหัตถ์ของพระองค์ และบางครั้งกล่าวถึงพระทัยของพระองค์
เราจะศึกษาความหมายของสำนวน “พระทัยของพระเจ้า” ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อปฎิบัติตามคำสั่งสอน
ของสมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 ในพระสมณสาสน์ จงตักน้ำ (Haurietis Aquas) พระองค์ตรัสว่า
“คารวกิจต่อดวงพระทัยของพระเยซูเจ้านั้น โดยธรรมชาติแล้วเป็นการนมัสการสรรเสริญ ความรักที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า
และเวลาเดียวกันเป็นการแสดงความรักของเราต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์”
คำอธิบายเช่นนี้ดูเหมือนค่อนข้างจะแปลก เพราะสมเด็จพระสันตะปาปาไม่ทรงเขียนว่าคารวกิจต่อดวงพระทัยของพระคริสตเจ้า
เป็นการมนัสการสรรเสริญความรักของพระคริสตเจ้า แต่ทรงเขียนว่า
“คารวกิจต่อดวงพระทัยของพระเยซูเจ้าเป็นการนมัสการสรรเสริญที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่เราผ่านทางพระเยซูเจ้า”
ดังนั้นนับว่า ความรักของพระคริสตเจ้า เป็นเครื่องหมายแสดงว่า ความรักนิรันดรของพระเจ้าเป็นจริง และเป็นรูปธรรม
ในธรรมชาติมนุษย์ของพระบุตร ความรักของพระบิดามาถึงเราอาศัยสัญลักษณ์ของพระทัยที่ถูกแทง ซึ่งกระตุ้นเราให้รักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
ทัศนะที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในเรื่องความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าสำคัญมาก
เพราะชีวิตของคริสตชนมีส่วนร่วมในพระชนมชีพเยี่ยงบุตรของพระคริสตเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้นมัสการพระบิดาเจ้า
และทรงเป็นผู้เปิดเผยพระบิดาเจ้า พระองค์จึงทรงเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เราจะแสดงคารวกิจต่อคนกลาง
แต่ไม่แสดงคารวกิจต่อผู้ที่คนกลางนำเราไปพบนั้น ก็ไม่ถูกต้อง ทัศนะที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางเป็นลักษณะสำคัญ
ของการปฎิรูปการดำเนินชีวิตจิต ที่มีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลาง
พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าจึงเปิดเผยความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราและชักชวนเราให้ร่วมในภารกิจของพระองค์ผู้ทรงชดเชยบาปของมนุษย์
เพื่อความยินดีและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาเจ้า และเพื่อพระอาณาจักรแห่งความรักจะได้มาถึงในโลก
สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12เชิญชวนคริสตชนให้ศึกษาพระคัมภีร์เพื่อค้นพบลักษณะและรายละเอียดของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา
ผ่านทางพระคริสตเจ้าประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นที่เราพบในพระคัมภีร์ก็เป็นการเปิดเผยความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์
อย่างค่อยเป็นค่อยไป
1. “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่”
เกือบทุกศาสนาสอนมนุษย์ให้แสวงหาพระเจ้า ให้แสวงหาพระองค์จนพบ และส่งเสริมความปรารถนาในใจมนุษย์ ที่จะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า
นี่คือแก่นแท้ของแต่ละศาสนาและของพิธีกรรมในทุกรูปแบบ
เราต้องทดสอบความคิดที่เรามีเกี่ยวกับพระเจ้า เพราะหลายสิ่งหลายอย่างขึ้นกับความคิดนี้ เช่น ความหมายของชีวิตความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ระบบสังคม ความคิดเกี่ยวกับพระเจ้าทำให้ทัศนคติของเราเป็นคนที่คลั่งไคล้ในเรื่องศาสนา หรือเป็นคนที่ไม่ยอมให้ผู้อื่น
มีความคิดเห็นแตกต่างจากของความคิดของตน หรือเป็นคนที่มีความสมานฉันท์ ฯลฯ
ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพันธสัญญาเดิม มีการบันทึกเรื่องราวของผู้ที่แสวงหาพระเจ้าไว้หลายเรื่อง เราพบในเพลงสดุดีบทที่ 27
ประโยคที่สรุปความปรารถนานี้อย่างดี “ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่” (สดด 27:8) สำนวน “แสวงหาพระพักตร์ของพระเจ้า”
แต่เดิมหมายถึงการไปที่สักการสถานเพื่อทราบพระประสงค์ของพระเจ้า (2 ซมอ 21:1) แต่ในภายหลังยังมีความหมายกว้างๆอีกว่า
“มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า” หรือ “ดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์" ส่วนสำนวน “แสวงหาพระเจ้า”
(สดด 40:16; 69:6; 105:3; ฉธบ 4:29) หมายถึงการรับใช้พระองค์อย่างซื่อสัตย์
“พระพักตร์ของพระเจ้า” ชวนให้เราคิดถึงเวลาที่พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ เวลาที่เราเพ่งพินิจพระองค์
และมีความชื่นชมในความใกล้ชิดพระองค์ผู้มีความเชื่อมีประสบการณ์เช่นนี้ เมื่อเขาอธิษฐานภาวนาและประกอบพิธีกรรมเวลานั้นเขารู้สึกว่า
พระเจ้าประทับอยู่ใกล้กับเขาและเขามีความชื่นชมยินดีแสดงออก ถึงความไว้วางใจที่ไร้ขอบเขต ในบทเพลงสดุดีที่ 27 ข้อ 4 ว่า
“ข้าพเจ้าขอเพียงสิ่งเดียวจากพระยาห์เวห์
สิ่งเดียวนี้ข้าพเจ้ากำลังแสวงหา
คือการได้พำนักอยู่ในพระเคหาของพระยาห์เวห์ทุกวันตลอดชีวิต
เพื่อชมความงามของพระยาห์เวห์
และคอยเฝ้าอยู่ในพระวิหารของพระองค์” (สดด 27:4)
ผู้อธิษฐานภาวนายังแสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าดังต่อไปนี้
“ข้าแต่พระยาห์เวห์ โปรดทรงฟังเสียงข้าพเจ้า
เมื่อข้าพเจ้าร้องเรียกพระองค์
โปรดทรงพระกรุณาตอบข้าพเจ้าด้วยเถิด
ใจข้าพเจ้าคิดคำนึงถึงพระวาจาที่ว่า
‘จงแสวงหาใบหน้าของเราเถิด’
ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์อยู่
ขอพระองค์อย่าทรงเบือนพระพักตร์ไปเสียจากข้าพเจ้า
อย่ากริ้วและทรงขับไล่ข้ารับใช้ของพระองค์เลย
พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
โปรดอย่าทรงจากข้าพเจ้าไป อย่าทรงละทิ้งข้าพเจ้าไว้
ข้าแต่พระเจ้า ผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น” (สดด 27:7-9)
หนังสืออพยพเล่าว่า โมเสสแสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าเมื่ออยู่บนภูเขาซีนาย ทั้งๆที่เขารู้ว่ามนุษย์เห็นพระเจ้าไม่ได้
เขาเพียงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ได้เท่านั้น
โมเสสว่า ‘ขอให้ข้าพเจ้าแลเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด’ พระยาห์เวห์ตรัสตอบว่า
‘เราจะบันดาลให้ความรุ่งเรืองทั้งหมดของเรา ปรากฏต่อหน้าท่าน และเราจะประกาศนามยาห์เวห์ของเราต่อหน้าท่าน
เราจะโปรดปรานผู้ที่เราต้องการจะโปรดปราน และเราจะเมตตากรุณาผู้ที่เราต้องการจะเมตตากรุณา’ พระองค์ตรัสต่อไปว่า
‘ท่านจะดูหน้าเราไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดที่เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้’ พระยาห์เวห์ทรงเสริมอีกว่า
‘ที่นี่มีหินก้อนใหญ่อยู่ข้างเรา ท่านจงยืนบนนั้นเถิด เมื่อเราผ่านไป และสำแดงสิริรุ่งโรจน์ของเรา เราจะเอาท่านซ่อนไว้ในซอกหินนั้น
และจะใช้มือของเราบังท่านไว้จนกว่าเราจะผ่านพ้นไป แล้วเราจะเอามือของเราออก
ท่านจะได้เห็นด้านหลังของเราแต่ท่านจะไม่เห็นหน้าของเรา’ (อพพ 33:18-23)
ธรรมล้ำลึกของการแสวงหาพระเจ้าอยู่ในความจริงข้อนี้ คือมนุษย์รู้ว่าแม้เป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเห็นพระพักตร์ของพระเจ้า
กระนั้นก็ดีเขาต้องการแสวงหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงมีเสน่ห์ดึงดูดใจของเขาเหมือนกับสนามแม่เหล็ก เพลงสดุดีบทที่ 42
แสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าอย่างชัดเจนว่า
“กวางย่อมกระหายหาธารน้ำไหลฉันใด
ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็กระหายหาพระองค์ฉันนั้น
ข้าพเจ้ากระหายพระเจ้า พระผู้ทรงชีวิต
เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าจะได้ไปชมพระพักตร์ของพระเจ้า
ข้าพเจ้ากินน้ำตาต่างกับข้าวทั้งวันทั้งคืน
ตลอดวันใครๆ ก็กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน’” (สดด 42:1-3)
ผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารหาน้ำยาก และถ้าไม่มีน้ำก็มีชีวิตไม่ได้ ดังนั้นการแสวงหาน้ำเป็นภาพที่น่าประทับใจ
แสดงถึงความปรารถนาอย่างลึกซึ้งที่จำเป็นเพื่อมีชีวิต คนโบราณคิดว่า กวางมีสัญชาตญาณรู้ว่ามีน้ำอยู่ที่ใดไม่ว่าเป็นบ่อน้ำ ตาน้ำ
หรือห้วยลำธารที่อยู่ห่างไกล เมื่อกวางกระหายน้ำสัญชาตญาณนำไปสู่แหล่งน้ำด้วยความกระเสือกกระสน ออกเสียงครวญครางที่เรียกกันว่า
“ครวญครางกระหายน้ำ” ถ้ากวางพบแหล่งน้ำจริงก็จะมีชีวิตต่อไปได้ (เทียบ สดด 63:84)
ความกระเสือกกระสนของกวางที่กระหายน้ำเป็นภาพสวยงามแสดงความปรารถนาลึกซึ้งของจิตใจที่ปรารถนาสุดกำลังที่จะพบพระเจ้า
ผู้ที่มีจิตใจเช่นนี้แสวงหาที่จะพบพระองค์ในการภาวนา ปรารถนาที่จะรู้พระประสงค์ของพระองค์ และปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตในความรักของพระองค์
เมื่อผู้ใดมีจิตใจเช่นนี้อย่างแท้จริง ผู้นั้นจะพูดได้เต็มปากว่า “กวางย่อมกระหายหาธารน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็กระหายหาพระองค์ฉันนั้น”
ทำนองเดียวกัน นักบุญออกัสตินเคยแสดงความปรารถนาเดียวกันเมื่อเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเพื่อพระองค์
และหัวใจของเราก็สุดที่จะสงบสุขได้ ตราบใดที่ยังมิได้พักผ่อนในพระองค์” นักบุญเทเรซา แห่งพระกุมารเยซู เคยกล่าวว่า
“ข้าแต่พระเจ้า พระพักตร์พระองค์เท่านั้นเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของข้าพเจ้า”
2. พระเจ้าทรงเปิดเผยความรักต่อมนุษย์แบบค่อยเป็นค่อยไป
“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย” (ยน 1:18) แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ด้วยพระวาจาและพระราชกิจตลอดประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้น จนกว่าจะทรงสำแดงพระองค์อย่างสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้า
“พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้น ได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้” (ยน 1:18)
ดังนั้น ประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นได้เป็นประวัติศาสตร์แห่งการเปิดเผยพระเจ้าและความรักของพระองค์อย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกด้วย
การเปิดเผยนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน มีช่วงเวลาที่มีแสงสว่างและช่วงเวลาที่มีความมืด เพราะพระคัมภีร์ไม่เป็นเพียงหนังสือ
ที่พระเจ้าทรงประพันธ์ด้วยการดลใจของพระจิตเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นหนังสือที่มนุษย์ได้เขียนด้วยความรู้ที่จำกัดและบางครั้งเขียนโดยมีอคติ
ดังที่ปรากฏอย่างชัดเจนในพันธสัญญาเดิม เมื่อคนโบราณมีภาพพจน์ไม่ค่อยถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้า
ถ้าผู้ใดอ่านพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องคงจะแปลกใจที่จะพบว่า บางครั้งมีการพูดถึงพระเจ้าที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
และความเมตตากรุณา และอีกบางครั้งมีการกล่าวถึงพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม และจำเป็นต้องลงโทษมนุษย์ที่กระทำบาป
ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่และการลงโทษของพระองค์ก็ยิ่งใหญ่น่ากลัวเช่นกัน พระองค์ทรงรักประชากรของพระองค์
แต่ทรงบัญชาให้ทำลายล้างศัตรูของประชากร ทำไมพระองค์ทรงเรียกร้องให้ประชากรของพระองค์ใช้ความรุนแรงอย่างทารุณโหดร้ายเช่นนี้
นี่คือธรรมล้ำลึกของพระเจ้าสำหรับผู้อ่านพระคัมภีร์
สิ่งที่ควรคำนึงถึงอยู่เสมอทุกครั้งที่เราอ่านพระคัมภีร์ก็คือ พระคัมภีร์ไม่ใช่พระวาจาที่พระเจ้าตรัสกับเราโดยตรง พระคัมภีร์เป็นประวัติศาสตร์
ทางศาสนาของประชาชนอิสราเอลตามที่พระเจ้าทรงดลใจมนุษย์ให้เขียน การดลใจนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นการบอก
พระคัมภีร์จึงเป็นประวัติศาสตร์ของประชากรที่ถูกพระเจ้า กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ประชากรสามารถเอาชนะอคติของตนควบคุมความเกลียดชัง
ต่อชาติอื่นๆ หรือความคลั่งไคล้ต่อศาสนาของตนได้เพียงทีละเล็กทีละน้อย เพื่อจะได้เข้าใจธรรมล้ำลึกของพระเจ้าได้อย่างลึกซึ้งแท้จริงมากกว่า
พระคัมภีร์จึงบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปของประชากรของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงเสนอแนะความเข้าใจของประชาชนเป็นขั้นตอน เมื่อทรงอธิบายเหตุผลว่าทำไมโมเสสจึงอนุญาตให้ชาวอิสราเอลหย่าร้างได้
“เพราะใจของท่านทั้งหลายแข็งกระด้าง โมเสสจึงยอมอนุญาตให้หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนั้นไม่” (มธ 19:8)
สมัยโมเสสชาวยิวมีความคิดที่ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม เมื่อผู้ใดกระทำความผิดจำเป็นที่พระเจ้าจะต้องลงโทษ
มนุษย์ต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติจะต้องถูกประหารชีวิต อาทิเช่น
“วันทำงานได้มีหกวัน แต่วันที่เจ็ดจะเป็นวันศักดิ์สิทธิ์สำหรับท่าน จะเป็นวันห