ขอถามผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีน์หรือผู้รู้หน่อยค่ะ

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
honeypor
โพสต์: 49
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 5:31 am

ศุกร์ พ.ย. 14, 2008 5:03 pm

หนึ่งในข้อห้ามของพระเจ้าคือ ห้ามผิดประเวณี ที่ไม่เข้าใจคือ พระราชาโซโลมอนมีหระมเหสี 700 พระองค์ (หรือ 700 กว่าพระองค์ จำตัวเลขไม่ได้แล้ว) นี่ไม่ถือว่าผิดประเวณีหรือคะ

หรือว่าในอดีตไม่ผิด ในปัจจุบันนั้นผิด ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ อะไรเป็นเกณฑ์ในการตัดสินอยู่ตรงไหนคะ

จริงๆแม้แต่อับราฮัม ยาโคบ ดาวิดก็มีภรรยาหลายคน ดังนั้น ถ้าผู้หญิง 1คนจะมีสามี 700 คนโดยความยินยอมของสามีทั้งหลาย (เข้าใจว่าเหล่าพระมเหสีของโซโลมอนยินยอมเหมือนกัน) ก็ไม่ผิดประเวณีเหมือนกันใช่ไหมคะ

ด้วยความรักพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์อย่างสุดใจ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

ศุกร์ พ.ย. 14, 2008 6:02 pm

ต้องบอกว่า ยุคสมัย และการตีความของสังคมต่างกันครับ

เรื่องนี้ถ้าใช้เฉพาะความรู้ด้านพระคัมภีร์ โดยไม่ดูองค์ประกอบด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และประวัติศาสตร์แล้ว คงตีกันไม่รู้จบ

การมีภรรยาคนเดียวในโลกคริสเตียน มีรากฐานมาจากพระคัมภีร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักบุญเปาโลครับ

แต่การมีภรรยาคนเดียวยังไม่ได้เป็นหลักปฏิบัติที่แพร่หลายในยุคนั้น

สำหรับพระศาสนจักรคาทอลิกต้องกลับไปดูที่ประวัติศาสตร์ และพัฒนาการของศีลสมรสที่มีแบบแผนแล้วครับ

การที่คนโบราณนิยมมีภรรยาหลายคน ทั้งในระดับสังคมชั้นล่าง และสังคมชั้นบน

ก็เป็นความเชื่อ และวิถีปฏิบัติที่สืบเนื่อง และผสมปนเปกันมา

จะเห็นได้ว่า ทั้งในอิยิปต์ ออตโตมาน กรีก ยูเดีย และอื่นๆ ในบริเวณนั้น และไกลออกไป

วัฒนธรรมการที่ชายมีภรรยามากไม่เป็นปัญหาของการดำรงชีวิตครับ

แต่การที่หญิงจะมีสามีมาก หมายถึง มากคนในคราวเดียวโดยที่สามีแต่ละคนยังมีชีวิตอยู่นั้น

สังคมบางแห่ง (น้อยมาก) อาจรับได้ แต่ถือเป็นสิ่งผิดจารีตอย่างยิ่งของชาวยิวครับ

ส่วนข้อพระคัมภีร์ ต้องให้นักค้นทั้งหลายช่วยสรรหามาตอบให้หละครับ

กระผมขอไปหาภริยาคู่บุญก่อนละกัน แต่ถ้าได้สามีแทน ก็จะมาบอกต่อไปครับ

555+
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ย. 14, 2008 9:29 pm

มันไม่ใช่แค่เรื่องยินยอมหรือไม่ยินยอมครับ

คุณอาจลืมไป และเอาสังคมปัจจุบัน ในการทำความเข้าใจสังคมเหมื่อหลายพันปีก่อน ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าใจอะไรต่างๆผิดได้ง่ายครับ


ลองนึกตามนะครับ

สมัยนี้ผู้หญิงอยู่คนเดียวได้ไหมครับ ลำพังผู้หญิงตัวคนเดียวสามารถมีบ้านของตัวเอง หรืออยู่บ้านคนเดียวได้ไหม สามารถเลี้ยงตัวเองได้ไหม และปลอดภัยไหมในบ้านตัวเองถ้าอยู่คนเดียว คำตอบคือได้สบายครับ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล คุณสามารถกดมือถือแจ้งตำรวจได้ ถ้ามีผู้หญิงสักคนโดนใครทำร้ายเช่นฆ่า ปล้น ข่มขืน มันจะรู้กันทั่วเป็นข่าวหน้าหนึ่ง

ผู้หญิงสามารถทำอาชีพอะไรได้บ้างครับ เยอะแยะมากมายหลายหลาก เอาแค่สมัยนี้ช่องกรอกอาชีพมีเป็นพรืดหลาย10ประเภทแยกย่อยต่างกันไป มีงานมากมายหลายชนิดที่ผู้หญิงทำได้ดีกว่าผู้ชาย


แล้วสมัย2000ปี-4000ปีก่อนล่ะครับ

ผู้หญิงอยู่คนเดียวไม่ได้ครับ เธอไม่มีอาชีพอะไรให้เลือกมาก เพราะสมัยก่อนมีแค่ เลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก งานช่าง และขายของ ซึ่งส่วนมากเป็นงานใช้แรงงาน เอาเข้าจริงทำสู้ผู้ชายไม่ได้เลย และเรื่องจะมีบ้านเองไม่ต้องพูดถึง เรื่องจะมีเงินที่หาได้เองก็แสนยาก เธอทำได้มากกว่าผู้ชายอย่างมากก็เรื่องเป็นแม่ค้า แต่........ถ้ามีโจรมาวิ่งราว มาปล้น เธอไม่สามารถกดมือถืออะไรทั้งนั้น เธอมีที่พึ่งอย่่างเดียวคือ ผู้ชายในบ้าน ถ้าเธอไม่มี ผู้หญิงก็คือเหยื่อของความป่าเถื่อนในสมัยโบราณ ชนิดถูกฆ่าตายทิ้งศพไว้เป็นเหยื่อแร้งกาเป็นปีไม่มีใครรู้ จะถูกฉุดไปข่มขืน จะอะไรยังไง ไม่มีตำรวจมาคอยจับโจรให้โหร191 ไม่มีเสาไฟฟ้าให้ถนนสว่าง ไม่มีอะไรเลย แรงกายล้วนๆ ดังนั้น เพศที่ร่างกายมีกำลังน้อยกว่า เสียเปรียบโดยสมบูรณ์

สรุปคือ ผู้หญิงสมัยก่อนแทบจะอยู่โดยไม่มีผู้ชายดูแลไม่ได้เลย

ดังนั้น สถานภาพของหญิงและชายสมัยนั้น คนละเรื่องกับสมัยนี้โดยสิ้นเชิงครับ

สมัยนั้นผู้หญิงยังไงก็ต้องพึ่งผู้ชาย เมื่อเด็กก็อยู่กับพ่อแม่ เมื่อโตเป็นสาวต้องหาสามีดูแล ดังนั้น คำว่าผู้หญิงเต็มใจเป็นเมียน้อยหรือสนมในสมัยก่อนนั้น เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ถือว่าผิดศีลธรรม เพราะสถานภาพของชายและหญิงที่เป็นสามีภรรยาสมัยก่อน คือยกย่องสามีเป็นใหญ่และเป็นนาย เช่นนางซารา เรียกอับราฮัมสามีของเธอว่า "นาย"

ดังนั้นเมื่อเป็นผัวเมียกัน ผู้ชายเป็นผู้ปกครองโดยอัตโนมัติ และผู้หญิงเป็นผู้ถูกดูแลโดยอัตโนมัติ ดังนั้น การมีผู้ใต้ปกครองหลายคนไม่ใช่ปัญหา แต่การมีเจ้านายหลายคนคือปัญหา

ถ้าผู้หญิงมีสามี2คน และ2คนสั่งให้เธอทำอะไรที่ต่างกัน เธอจะต้องฟังใคร แต่สามี1คน สั่งภรรยา2คนให้ทำอะไรต่างกัน มันไม่ใช่ปัญหาเลย

ดังนั้น ตั้งแต่ก่อนมีพระคัมภีร์ โลกเกือบทั้งใบ มนุษย์เกือบทั้งหมดในสมยโบราณ เห็นว่า การที่ชายมีเมียมากกว่า1 คือเรื่องธรรมดาครับ เขาสามารถรับภรรยาเพิ่มได้ตราบเท่าที่สามารถดูแลภรรยาทุกคนให้อยู่ดีมีสุขได้ และพวกเธอยินยอม

ที่สำคัญ ยุคสมัยก่อนคือยุค สงครามมีความชอบธรรมครับ การที่คุณไปรบพุ่งตีใคร เขาไม่ด่าคุณเลวเหมือนสมัยนี้ด้วย แถมยกย่องเป็นมหาราชอีก แล้วเมื่อคุณรบชนะ คุณสามารถยึดเอาทุกอย่างของคนแพ้มาได้ ไม่มีใครด่าคุณเหมือนสมัยนี้ และมันส่งผล2อย่างชัดเจนคือ
1ผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิงมาก
2ข้าทาสบริวารคือสิ่งที่ผู้ชนะสามารถยึดเอาไปได้ ดังนั้นผู้หญิงของฝ่ายแพ้อาจประสบชะตากรรมที่แย่กว่าตาย

ดังนั้น การที่ผู้ชายมีภรรยาหลายคนในสมัยโบราณ ไม่มีใครคิดว่าเป็นการผิดประเวณีเลย

เอาง่ายๆเลยว่า เมืองไทยเองพูดเสมอว่าเป็นเมืองพุทธ ในศีล5มีข้อห้ามผิดลูกผิดเมีย

แต่กษัตริย์ไทยตลอดจนชายไทยทั่วไปมีภรรยาหลายคน และมีนางสนมมากมาย จนมาถึงสมัยร.6 เลยทีเดียว ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ผิดศีลข้อกาเม

ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่า การมีภรรยาหลายคน แต่มีสามีได้คนเดียว คือมาตรฐานการแต่งงาน และมาตรฐานศีลธรรมในสมัยก่อน

ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม อาจจะกล่าวได้ว่า มาตรฐานและคุณค่าตลอดจนสิทธิของผู้หญิงถูกยกขึ้นโดยพระเยซูเพียงผู้เดียว อย่างโดดเด่นเห็นชัดที่สุด และแม้แต่น.ท่านอื่นๆในบทจดหมายหลายฉบับที่ตามมายังมีมุมมมองที่ติดประเพณีเดิมๆที่ผู้หญิงต้องเชื่อฟังผู้ชายอยู่เลย

ดังนั้นเมื่อมีการตีความข้อคำสอนส่วนพระธรรมใหม่ คือส่วนที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึงการเป็นสามีภรรยา พระศาสนจักรจึงเข้าสู่ยุคที่ตีความพระคัมภีร์โดยอิงส่วนพระธรรมใหม่ ให้มีสามีและภรรยาเพียงคนเดียวขึ้น และคำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมก็ถูกยกมาตรฐานตามมาและตีความในบริบทสังคมยุคใหม่ให้กลายเป็นผัวเดียวเมียเดียว

ยิ่งปัจจุบัน เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป ผู้หญิงไม่ได้ต้องพึ่งแต่ผู้ชาย และเราไม่ต้องทำสงครามตลอดเวลาจนผู้ชายร่อยหรอ สถานภาพของชายหญิงคือเท่ากัน แต่งงานแล้วไม่ใช่ว่าใครต้องพึ่งใคร แต่ทั้งสองต้องช่วยกัน สังคมทั่วไปก็ขานรับการมีผัวเดียวเมียเดียวมากกว่า และสอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซูสอน

ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า คำว่าล่วงประเวณีในพระธรรมเดิมสมัยบุคคลในพระธรรมเดิม คืออย่าไปทำใครที่ไม่ใช่เมียตัวเอง อย่าไปทำใครโดยยังไม่แต่งงานกัน แต่การมีภรรยาได้หลายคนคือเรื่องปรกติ แต่สำหรับสมัยใหม่ตีความใหม่ มันหมายถึงมีภรรยาคนเดียวด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

ศุกร์ พ.ย. 14, 2008 11:07 pm

นักประวัติศาสตร์การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เพศชายและหญิงมาตอบแล้วครับ

เจ้าของกระทู้เคลียร์ปะครับ?

มีอะไรสงกาก็ถามได้นะ รักมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
honeypor
โพสต์: 49
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 5:31 am

เสาร์ พ.ย. 15, 2008 5:06 pm

งึมๆๆ ถ้าสิ่งไหนถูกในยุคอดีตแต่ผิดในปัจจุบัน แล้วแต่กาล คุณก็ทำให้พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมกลายเป็นคนกลับกลอกเสียแล้วล่ะค่ะ จริงๆแล้วปอมีความเห็นด้วยกับคุณว่า นิยามของเรื่องการผิดประเวณีนั้นคือการไม่ล่วงละเมิดสามีภรรยาของผู้อื่นแค่นั้น แต่มิได้ห้ามว่าต้องมีสามีภรรยาแค่คนเดียว เพราะพระเจ้านั้นตรัสว่าอย่าล่วงประเวณีแน่นั้น แต่ว่าปอไม่แน่ใจ และสติปัญญาของพระเจ้าก็เกินจะเข้าใจ พระเจ้าตรัสความจริง แต่การตีความของมนุษย์สิมีปัญหา

ถึงอย่างไร กระทู้นี้เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ได้มีเจตนาพูดดูหมิ่นใดๆ ดังข้อความที่โดนลบไปแล้ว  ปอจบกระทู้ดีกว่า

นักบุญเปาโลกล่าวว่า ที่จริง ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆที่มิได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น
โรม14:23


คุณ Holy เบี่ยงเบนประเด็นนะ เพราะเรากำลังคุยกันเรื่องการตีความในเรื่องพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ไม่ใช่ศาสนาพุทธ
เอาง่ายๆเลยว่า เมืองไทยเองพูดเสมอว่าเป็นเมืองพุทธ ในศีล5มีข้อห้ามผิดลูกผิดเมีย

แต่กษัตริย์ไทยตลอดจนชายไทยทั่วไปมีภรรยาหลายคน และมีนางสนมมากมาย จนมาถึงสมัยร.6 เลยทีเดียว ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ผิดศีลข้อกาเม

ดังนั้นคุณต้องเข้าใจว่า การมีภรรยาหลายคน แต่มีสามีได้คนเดียว คือมาตรฐานการแต่งงาน และมาตรฐานศีลธรรมในสมัยก่อน
แต่ไหนๆก็ว่ามาแล้วจะอธิบายให้ฟัง คือว่าศาสนาพุทธอธิบายในเหตุและผล คนทุกคนมีกรรมคือการกระทำ และวิบากคือผลของการกระทำนั้นๆ และเหตุของการผิดประเวณีนั้นก็มีอยู่ และผู้ที่กระทำกรรมนั้นต้องรับผลคือวิบากนั้นแน่ๆไม่ว่ายาจกหรือพระราชา ถึงจะไม่มีใครว่าคุณว่าผิดศีลข้อกาเม แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ผิดศีลข้อกาเม คุณต้องรับวิบากของกรรมนั้นๆเป็นแน่แท้ ศาสนาพุทธยอมรับในสัจจะไม่ใช่ค่านิยมของคนในแต่ละยุคที่เปลี่ยนไป ไม่จีรัง  สัจจะเป็นอกาลิโก  อนึ่ง การพูดเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในเมืองไทยในยุคนั้นแม่แต่ยุคนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนค่ะ จบดีกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
honeypor
โพสต์: 49
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 5:31 am

เสาร์ พ.ย. 15, 2008 5:09 pm

รักพระเจ้าและบรรดาพี่น้องทุกคนนะคะ จุ๊บๆๆๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ พ.ย. 15, 2008 10:54 pm

จะเบี่ยงเบนประเด็นทำไมล่ะครับ แค่ยกตัวอย่าง ว่ามาตรฐานการตีความของถ้อยคำมันต่างกัน

ผมว่าคุณเองท่าจะอ่านพระคัมภีร์ไม่ละเอียดพอแล้วล่ะครับ ถึงมีมุมมองแบบนี้

รม 5:12
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น  (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง  (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์ 

-------------------------------------

คุณคงลืมไปว่า สมัยอับราฮัมยังไม่มีบัญญัติ10ประการครับ และมาตรฐานทางศีลธรรมคือ "ประเพณีท้องถิ่น" ดังนั้นอับราฮัม มีภรรยาคือนางซารา แต่ยังไปหลับนอนกับนางฮาการ์ซึ่งเป็นทาสจึงไม่บาป เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น การหลับนอนกับทาสหญิงเป็นสิ่งที่มีสิทธิ์ทำได้ ตัวยาโคบเองก็ แต่งงานกับนางเลอาห์ด้วยเลห์ของลุง โดยลุงอ้างว่า คนพี่ต้องแต่งงานก่อนคนน้อง จากนั้นจึงแต่งกับนางราเชลทีหลังอีกคน

คุณลองอ่านพระคัมภีร์ช่วงนี้นะครับ

Genesis 29:21
ยาโคบบอกลาบันว่า   
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 15, 2008 11:11 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

จันทร์ พ.ย. 17, 2008 1:36 am

กลับไปที่การตีความครับ

ถ้าพระบัญญัิติบอกว่า
Exo 20:14
(DRB)  Thou shalt not commit adultery.
(TKJV)  อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา

แล้วถ้า (แค่ IF นะครับ) พระบัญญัติถูกตีความว่า เมื่อไม่ได้กระทำโดยล่วงในหญิง หรือชาย อันมีเจ้าของแล้ว จึงไม่บาป
ดังนั้น (SO แค่สมมตินะครับ) การมีภรรยามากของชายจึงไม่ผิด...เอาประเด็นเดียวนะครับ

อันนี้เป็นตัวอย่างของการตีความที่มีความเป็นไปได้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดานุ้งพุงระเบิด
โพสต์: 518
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
ที่อยู่: อุบลราชธานี

จันทร์ พ.ย. 17, 2008 8:31 am

ผมอ่านที่คุณ Holy ยกมามันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรยากเย็นเลยนะ ชัดเจน แจ่มแจ้งด้วยซ้ำ :rolleyes:
Dis volentibus

จันทร์ พ.ย. 17, 2008 1:38 pm

honeypor เขียน: งึมๆๆ ถ้าสิ่งไหนถูกในยุคอดีตแต่ผิดในปัจจุบัน แล้วแต่กาล คุณก็ทำให้พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมกลายเป็นคนกลับกลอกเสียแล้วล่ะค่ะ
สงสัยต้องกลับไปฆ่าเเกะบูชาพระเจ้า....เพราะสมัยพระธรรมเดิมเขาทำกัน เเล้วมายกเลิกสมัยพระเยซู (เกรงว่าจะกลับกลอก)
วอ
โพสต์: 1153
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ย. 13, 2008 7:36 pm

จันทร์ พ.ย. 17, 2008 5:11 pm

กษัตริย์ยุโรปสมัยก่อนก็มี ภรรยามากกว่า 1 คนนะ เช่น นโปเลียน ทรงมีภรรยานอกการสมรส และนโปเลียนยังเคยหย่า กับ โฌเซฟีน เนื่องจากพระนางทรงชราแล้วจึงไม่สามารถมีบุตรได้ อืม เรื่องการหย่าของนโปเลียนเพราะพระนางโฌเซฟีนมีบุตรไม่ได้จะบาปไหมนี่?  :huh:
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ พ.ย. 17, 2008 6:31 pm

wowowow เขียน: กษัตริย์ยุโรปสมัยก่อนก็มี ภรรยามากกว่า 1 คนนะ เช่น นโปเลียน ทรงมีภรรยานอกการสมรส และนโปเลียนยังเคยหย่า กับ โฌเซฟีน เนื่องจากพระนางทรงชราแล้วจึงไม่สามารถมีบุตรได้ อืม เรื่องการหย่าของนโปเลียนเพราะพระนางโฌเซฟีนมีบุตรไม่ได้จะบาปไหมนี่?  :huh:
ไม่ทาบครับ ให้พระเจ้าทรงตัดสิน

แต่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ของอังกฤษต้องการแต่งงานใหม่ พระสันตะปาปา ไม่อนุญาต เลยแยกออกจากโรมันคาทอลิก
มาเป็น Church of England

แต่ตามที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ในพระวรสาร "เหตุที่คนหย่าร้าง เพราะความบาป"
ภาพประจำตัวสมาชิก
honeypor
โพสต์: 49
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 26, 2007 5:31 am

พุธ พ.ย. 19, 2008 12:57 am

แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว

และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ

จริงๆนะที่ศาสนาทุกศาสนาถูกแบ่งเป็นหลายนิกาย ไม่ว่าจะคริสต์ พุทธ อิสลาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันน่าจะเป็นเพราะความเห็นแตกต่างกัน เมื่อมีความเห็นก็ย่อมหมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงความจริง เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอสติปัญญาให้รู้เห็นความจริงนั้นเถิด อาเมน

ขอบคุณ คุณ Edwardius นะ  คุณHoly ด้วย
Dis volentibus

พุธ พ.ย. 19, 2008 1:55 am

แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน
เน้นว่า เอาภรรยาของคนอื่น มาเป็นของตนนะคะ

2 ซามูเอล 12:9
ทำไมเจ้าดูหมิ่นพระวจนะของพระเจ้า กระทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์
เจ้าได้ฆ่าอุรีอาห์คนฮิตไทต์เสียด้วยดาบ เอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน

ภาษาชาวบ้านคือ เเย่งภรรยาชาวบ้าน (เเถมยังฆ่าชาวบ้าน(สามี)อีก เหะๆ)
ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว
จริงๆเเล้วจะคิดอย่างนั้นก็ถูกค่ะ

เพราะในพันธะสัญญาเดิม เป็นการเตรียมการล่วงหน้าสำหรับพันธะสัญญาใหม่
ซึ่งพระเยซูจะทำให้ถูกต้องโดยสมบูรณ์ เเละพระองค์ก็ทำให้ถูกต้องโดยการฟื้นฟูระเบียบการเเต่งงาน
ให้กลับไปเหมือนเดิมเเต่เเรกเริ่ม (ก่อนที่บาปจะทำให้ผิดเพี๊ยนไป)

จะอธิบายก็จะยาวเเละปวดหัว เเต่ถ้าอ่านในเอฟเฟซัสบทที่5 (จริงๆน่าจะอ่านทั้งบท) ก็จะเจอ

"สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร" (อฟ 5:25)

ดังนั้นถ้าสามีจะรักภรรยาเเบบนี้ ก็ต้องไม่ปันใจไปรักคนอื่นอีก....จริงไหมคะ
ถ้าจะผิด อย่างเเรกเลยก็คือผิดต่อ"ความรัก"
และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ
กลุ่มไหนหรือคะ?
แก้ไขล่าสุดโดย Dis volentibus เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 20, 2008 4:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
In the name of father
โพสต์: 719
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 08, 2008 5:47 am
ที่อยู่: กาญจนบุรี

ศุกร์ พ.ย. 21, 2008 6:08 am

พี่ Holy อธิบายแจ่มแจ้งมากครับ ::001::

ไว้เวลาเพื่อนถามจะได้ตอบมันถูก ::020::
silver
โพสต์: 15
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 29, 2008 8:33 am

ศุกร์ พ.ย. 21, 2008 8:34 am

honeypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ และถ้าเราเป็นผู้รู้เชี่ยวชาญคงไม่ต้องถามหรอก เราอ่านพระคัมภีร์ยังไม่จบเลย หรือว่าหลังพระเยซู พระเจ้าตรัสว่า มีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว

และอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องรูปเคารพ พระเจ้าตรัสว่าห้ามเคารพรูปเคารพ และทรงพิโรธที่อิสราเอลบูชารูปเคารพเยอะมาก แม้กระทั่งหลังพระเยซู อัครสาวกพอลก็บอกว่า ห้ามเคารพรูปเคารพ แล้วทำไมยังมีการเคารพรูปเคารพอยู่ในกลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มล่ะคะ

จริงๆนะที่ศาสนาทุกศาสนาถูกแบ่งเป็นหลายนิกาย ไม่ว่าจะคริสต์ พุทธ อิสลาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันน่าจะเป็นเพราะความเห็นแตกต่างกัน เมื่อมีความเห็นก็ย่อมหมายถึงว่ายังไม่เข้าถึงความจริง เราจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าขอสติปัญญาให้รู้เห็นความจริงนั้นเถิด อาเมน

ขอบคุณ คุณ Edwardius นะ  คุณHoly ด้วย
เออ.......... อ่านพระคัมภีร์ให้จบก่อนดีกว่าไหมครับ หรือจะลองอ่านตรงนี้ดูก็ได้นะครับ
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=3026.0
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ พ.ย. 21, 2008 9:40 am

honeypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ
แล้วตอนสมัยพระเยซูเจ้าที่ผู้หญิงถูกขว้างก้อนหินเมื่อทำผิดประเวณีล่ะคะ  ไม่สงสัยเหรอคะทำไมถูกขว้างก้อนหิน  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

ศุกร์ พ.ย. 21, 2008 2:11 pm

Buddy เขียน:
honeypor เขียน: แต่ว่าหลังบัญญัติ 10 ประการ ดาวิดและกษัตริย์หลายๆพระองค์ก็มีมเหสีและสนมหลายๆองค์นี่คะ และพระเจ้าไม่ได้พิโรธ พระเจ้าพิโรธตอนที่ดาวิดเอาภรรยาผู้อื่นมาเป็นของตน ถ้าอย่างนั้น ในยุคนี้ ผู้ชายจะมีภรรยาหลายคนไม่ได้เหรอ สงสัยแค่นี้แหล่ะค่ะ
แล้วตอนสมัยพระเยซูเจ้าที่ผู้หญิงถูกขว้างก้อนหินเมื่อทำผิดประเวณีล่ะคะ  ไม่สงสัยเหรอคะทำไมถูกขว้างก้อนหิน  ::001::

ขว้างด้วยใจครับ 555+
fernezzo
โพสต์: 9
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ย. 18, 2008 11:10 pm

จันทร์ พ.ย. 24, 2008 3:20 am

http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9509.0

ลองไปอ่านดูหน่อยครับ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

จันทร์ พ.ย. 24, 2008 5:40 am

fernezzo เขียน: พวกท่านรู้กันหรือไม่ครับว่า กว่าที่เราจะได้เห็นได้อ่านไบเบิ้ลนั้นน่ะ รู้ไหมว่าไบเบิ้ลสร้างมาจากคำภีร์จารึกโบราหลายๆฉบับหลายๆตอน ซึ่งท่านรู้หรือไม่ว่ามีตั้งเป็นพันๆตอน แล้วหลายตอนที่ได้กล่าวถึงว่าพระเจ้าแท้จริงไม่ได้มีพระองค์เดียว ซึ่งนั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมในไบเบิ้ลจึงมีอยู่แค่นี้ทั้งๆที่น่าจะมีมากกว่านี้หลายเท่า!! โดนปลดน่ะซีครับ คงไว้แต่จารึกที่ว่ามีพระเจ้าพระองค์เดียว ทั้งๆที่เก่าพอกัน และพิสูจน์ได้ว่าสถานที่อ้างอิงก็มีจริงๆเหมือนกัน ใครที่เป็นคนตัดสินใจว่าจารึกอันไหนควรจะได้รวมเป็นพระคำภีร์ไบเบิ้ลอย่างที่เราๆเห็นกันในปัจจุบัน? ท่านก็ไม่ทราบ!! จริงๆแล้วศาสนาคริสต์โดยเฉพาะในบทบันทึกที่อ้างอิงพระคำภีร์เก่านั้น ก็มาจากลิทธิยิวหรือยูดา ซึ่งลัทธินี้ก็มาจากตำนานของชาวสุเมเรียนโบราณอีกต่อหนึ่ง ผมถามว่าพวกท่านรู้กันหรือไม่?? ผมว่าหากพวกท่านศรัทธาจริงในพระคริสต์แล้วล่ะก็ ผมว่าควรจะศึกษาเกี่ยวกับพระคริสต์และต้นกำเนิดไปแบบให้รู้ลึกซึ้งกันดูมั่งนะครับ! ไม่ใช่อ่านแต่พรำคำภีร์อย่างเดียวแล้วพูดว่า ข้าเข้าใจพระองค์และจุดประสงค์ของพระองค์ดี แล้วหยิบยกข้อความจากพระคำภีร์ต่างๆมาอ้างนู่นนี่นะครับ จริงไหม??
แล้วทำไมคิดว่า  คนอื่นเค้าไม่รู้ที่มากันล่ะคะ  ::001:: เค้าก็รู้กันทั้งนั้นล่ะค่ะว่า พระธรรมเก่ามาจากศาสนายิว  ไม่ใช่เรื่องใหม่นะคะ  ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นค่ะ  ::001::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

จันทร์ พ.ย. 24, 2008 5:53 am

fernezzo เขียน: http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9509.0

ลองไปอ่านดูหน่อยครับ
อืม  ไม่อ้างพระคัมภีร์  แต่อ้างแดน บราวน์  ::001::

แล้วทำไมถึงคิดว่า  แดน บราวน์พูดจริงล่ะคะ  ::001::

มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง  มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า  เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ  ยังไม่ได้อ่านนะคะ  แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง  ::001::

รูปภาพ

มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า  ทำไมคนเราจึงเชื่อ  และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ  ::001::

อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ  ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

อังคาร พ.ย. 25, 2008 9:49 am

Holy เขียน: จะเบี่ยงเบนประเด็นทำไมล่ะครับ แค่ยกตัวอย่าง ว่ามาตรฐานการตีความของถ้อยคำมันต่างกัน

ผมว่าคุณเองท่าจะอ่านพระคัมภีร์ไม่ละเอียดพอแล้วล่ะครับ ถึงมีมุมมองแบบนี้

รม 5:12
(12)บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปฉันนั้น  (13)ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่นับว่าเป็นบาป (14)ถึงกระนั้น ความตายก็มีอานุภาพเหนือมนุษยชาติตั้งแต่อาดัมมาจนถึงโมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนที่ไม่ได้ทำบาปเหมือนกับอาดัมที่ได้ล่วงละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของผู้ที่จะมาในภายหลัง  (15)แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่าถ้ามวลมนุษย์ ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำหรับมวลมนุษย์ 

-------------------------------------

คุณคงลืมไปว่า สมัยอับราฮัมยังไม่มีบัญญัติ10ประการครับ และมาตรฐานทางศีลธรรมคือ "ประเพณีท้องถิ่น" ดังนั้นอับราฮัม มีภรรยาคือนางซารา แต่ยังไปหลับนอนกับนางฮาการ์ซึ่งเป็นทาสจึงไม่บาป เพราะธรรมเนียมสมัยนั้น การหลับนอนกับทาสหญิงเป็นสิ่งที่มีสิทธิ์ทำได้ ตัวยาโคบเองก็ แต่งงานกับนางเลอาห์ด้วยเลห์ของลุง โดยลุงอ้างว่า คนพี่ต้องแต่งงานก่อนคนน้อง จากนั้นจึงแต่งกับนางราเชลทีหลังอีกคน
อธิบายเข้าใจมากเลยฮะพี่ : xemo017 : แต่จริงๆเดวิดหรือซอลก็มีภรรยาหลายคนในยุคบัญญัติสิบประการนะฮะ ที่มีภรรยาหลายคนได้เพราะพระเจ้าทรงให้เป็นกรณีพิเศษ

2 Samuel 12:7-8

Nathan said to David, "You are the man! Thus says the LORD, the God of Israel, I anointed you king over Israel, and I delivered you out of the hand of Saul.


8And I gave you your master
Dis volentibus

พุธ พ.ย. 26, 2008 2:47 pm

Buddy เขียน:
มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง  มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า  เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ  ยังไม่ได้อ่านนะคะ  แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง  ::001::

รูปภาพ

มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า  ทำไมคนเราจึงเชื่อ  และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ   ::001::

อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ  ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ  ::001::
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ouroboros
โพสต์: 36
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 26, 2008 8:07 am

พุธ พ.ย. 26, 2008 7:46 pm

†Ecclēsia เขียน:
Buddy เขียน:
มาถึงตรงนี้ขอแทรกเรื่องนี้นิดนึง  มีหนังสือเล่มนึงเขียนเกี่ยวกับว่า  เหตุใดคนเราถึงชอบเรื่องแปลกๆ  ยังไม่ได้อ่านนะคะ  แต่น่าสนใจดี ไม่รู้ใครเคยอ่านบ้าง  ::001::

รูปภาพ

มันเป็นอะไรที่น่าศึกษานะคะว่า  ทำไมคนเราจึงเชื่อ  และทำไมคนเราจึงไม่เชื่อ   ::001::

อันนี้ถามแบบไม่มีผิดมีถูกนะคะ  ทำไมจึงเชื่อบทความนี้คะ  ::001::
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ
หนังสือนี้ผู้แต่งเป็นคนไร้ศาสนาและเขียนโจมตีความจริงเกี่ยวกับการสร้างโลกด้วยนะฮะ  : xemo033 :
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ พ.ย. 26, 2008 8:54 pm

ouroboros เขียน:
หนังสือนี้ผู้แต่งเป็นคนไร้ศาสนาและเขียนโจมตีความจริงเกี่ยวกับการสร้างโลกด้วยนะฮะ   : xemo033 :
รู้เขารู้เราจ้า...  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2008 12:46 pm

ถ้างัยก็แนะนำสำหรับผู้ที่มีความเชื่อแน่นดีแ้ล้วนะจ๊ะ
ความเชื่อยังไม่แน่น  อย่าเพิ่งอ่านจ้า
ตอบกลับโพส