พระศาสนจักรว่าอย่างไร เรื่อง การไขแสดงและการประจักษ์
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 16, 2008 1:32 pm
พระศาสนจักรว่าอย่างไร เรื่อง การไขแสดงและการประจักษ์
เรื่อง โดย ดอมินิก ตูร์ลีแอร์
แปลและเรียบเรียงโดย ก.ครุวรรณ
ในโอกาสจัดพิมพ์ความลับข้อที่ 3 ของแม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อปี 2000 พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ (ปัจจุบันคือ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) ในฐานะสมณมณตรีกระทรวงข้อความเชื่อ ได้จัดพิมพ์ความเห็นจากมุมมองด้านเทววิทยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่ออธิบายเรื่อง การไขแสดงเหนือธรรมชาติในพระศาสนจักร และในส่วนที่เกี่ยวกับความเชื่อ
การไขแสดงด้วยองค์พระเยซู
พจนานุกรมให้ความหมายทางศาสนาของ "การไขแสดง" ว่า "เป็นปรากฏการณ์การเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่แก่มนุษย์ ในลักษณะเหนือธรรมชาติ" สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ มีความแตกต่างระหว่างการไขแสดงของพระเป็นเจ้าแก่สาธารณชน กับการไขแสดงส่วนบุคคล ที่มนุษย์ถ่ายทอดสืบต่อกันหลังจากการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระคริสตเจ้า การเปิดเผยแก่สาธารณชน มีความหมายรวมถึงสิ่งที่พระศาสนจักรเรียกว่า "การไขแสดง" ซึ่งได้แก่กิจการของพระเป็นเจ้าที่ทรงกระทำในประวัติศาสตร์มนุษย์ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เรียกว่า "ไขแสดง" เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้เปิดเผยแก่มนุษย์ตามลำดับ จนถึงการรับเอากายเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า แน่นอนการไขแสดงเป็นเรื่องของความเชื่อในรหัสธรรมแห่งพระคริสตเยซู ซึ่งเป็นการเปิดเผยที่สมบูรณ์ และเราเชื่ออย่างต่อเนื่องมานานนับหลายศตวรรษ การไขแสดงนี้มีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ

การไขแสดงส่วนบุคคล
สิ่งที่ตามมาหลังจากการไขแสดงด้วยองค์พระเยซูคริสต์คือ การที่พระศาสนจักรเชื่อว่ายังมีการไขแสดงอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นการไขแสดงเหนือธรรมชาติส่วนบุคคล หรือไขแสดงแก่บุคคลบางคนเป็นพิเศษ คำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องนี้กล่าวว่า "บทบาทของผู้ได้รับการไขแสดงส่วนบุคคลนั้น มิใช่เป็นการเสริมให้การไขแสดงของพระคริสต์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่เป็นการทำให้ผู้คนรู้จักดำเนินชีวิตให้ครบครันยิ่งขึ้น ตามสภาพการณ์ของยุคสมัยต่างๆ ในประวัติศาสตร์"
อย่างไรก็ตาม มีแต่การไขแสดงขององค์พระเยซูเท่านั้น ที่ถือเป็นข้อความเชื่อและมีคุณค่าสากล คือเป็นการไขแสดงที่ใช้ได้กับทุกคนทุกยุคสมัย พระศาสนจักรยอมรับการไขแสดงส่วนบุคคล ก็ต่อเมื่อการไขแสดงนั้น ๆ มีสาระเนื้อหาอยู่ในแนวทางเดียวกับการไขแสดงขององค์พระเยซู การไขแสดงส่วนบุคคลต้องไม่เกี่ยวกับเรื่อง "หมอดูหรือผู้วิเศษต่าง ๆ" และต้องเป็นการกระตุ้นคริสตชนให้มีความเชื่อ ความรัก และความหวังมากยิ่งขึ้น
ปกติการไขแสดงส่วนบุคคลต่าง ๆ มักเป็นเรื่องการประจักษ์ของแม่พระและภาพนิมิต คำถามคือ ผู้ได้รับการประจักษ์สัมผัสเห็นได้ด้วยสิ่งใด สิ่งที่พวกเขาสัมผัสเห็นอย่างเหนือธรรมชาติ เกี่ยวกันกับความจริงใด ๆ หรือไม่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ได้รับการประจักษ์หรือผู้เห็นภาพนิมิตนั้นเห็นได้อย่างไร และเห็นอะไร
ทางเทววิทยาแบ่งการสัมผัสรับรู้เป็น 3 ลักษณะคือ การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส การรับรู้ภายใน และการรับรู้ทางจิตวิญญาณ การมองเห็นด้วยประสาทสัมผัสเป็นการมองเห็นทางกายตามปกติ การรับรู้ภายในสัมผัสไม่ได้ด้วยประสาททางกาย แต่เป็นภาพที่ปรากฏภายในจิตใจ ในลักษณะที่เหมือนกับการสัมผัสด้วยประสาทตามปกติ ส่วนการรับรู้ทางจิตวิญญาณ มิได้อยู่ในลักษณะของภาพหรือวัตถุ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางปัญญาญาณที่ลี้ลับ เช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักบุญคัธริน แห่งเซียนนา หรือที่เกิดกับนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน
เราจึงต้องเข้าใจว่า การประจักษ์ต่างๆ ของแม่พระ มิได้อยู่ในลักษณะของการรับรู้ทางจิตวิญญาณ เพราะอยู่ในลักษณะที่เป็นภาพ แต่ก็มิใช่ภาพที่มองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทางกายตามปกติ การประจักษ์ที่ลูร์ดส์ ฟาติมา และที่อื่น ๆ นั้นมีบันทึกไว้ว่า "ภาพและรูปต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้รับการประจักษ์ มิได้เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นตามมิติภายนอกทั่วไป เช่น การเห็นภาพต้นไม้ หรือภาพบ้าน" มีแต่ผู้รับการประจักษ์เท่านั้นที่แลเห็น ส่วนคนอื่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกันมิได้แลเห็นด้วยเลย

จิตใจที่เตรียมพร้อม
การรับรู้ภายในคือจิตใต้สำนึกแลเห็นภาพอย่างชัดเจน และมองเห็นเป็นภาพเหมือนกับการมองเห็นด้วยประสาทสัมผัสตามปกติ การมองเห็นภายในเช่นนี้ ไม่เหมือนกับการสร้างภาพขึ้นเองจากจินตนาการ พระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์อธิบายอย่างระมัดระวังว่า จิตสำนึกของผู้ที่แลเห็น จะอยู่ในลักษณะของ "การไหลท่วมท้นของสิ่งที่เป็นจริงที่ผู้นั้น แลเห็นได้ด้วยจิตวิญญาณภายในของตน" การพร้อมอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ ผู้แลเห็นจะต้องเปิดใจต้องรับอย่างเต็มเปี่ยมต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสภาพเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ บุคคลพิเศษที่เคยเห็นภาพดังกล่าว จึงได้แก่ผู้ที่มีความศรัทธาเป็นพิเศษ หรือบรรดาเด็ก ๆ
เนื่องจากการรับรู้ภายในเป็นสภาพความเป็นจริงของจิตใจ บุคคลิกและประสาทสัมผัสของผู้ที่แลเห็น จึงมีส่วนอย่างใกล้ชิดกับการรับรู้ภายในของตนด้วย ภาพที่แลเห็นอยู่เหนือลักษณะของภาพถ่ายโดยทั่วไป ดังนั้น จึงต้องมีการถ่ายทอดตีความสิ่งที่แลเห็นอีก ซึ่งพระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า "เราไม่อาจแยกภาพที่แลเห็นเป็นส่วน ๆ ได้ แต่ต้องมองให้เห็นเป็นภาพรวม และเข้าใจตามนั้น"
วิธีหนึ่งที่แม่พระทรงใช้
พระศาสนจักรระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องการไขแสดงส่วนบุคคล เพราะอาจเป็นแหล่งกำเนิดของความศรัทธาที่แท้จริงก็ได้ สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ตรัสถึงเรื่องการไขแสดงส่วนบุคคลว่า "เป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ และเป็นประเพณีที่มีคุณค่าในจารีตพิธีกรรม เป็นการพยายามเลียนแบบความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคลบางคนเป็นพิเศษ ที่มิใช่เป็นการเชื่องมงาย แต่เป็นการไขแสดงที่สอดคล้องกับแนวทางของพระศาสนจักร ซึ่งบ่อยครั้งเป็นวิธีที่พระนางพรหมจารีมารีย์ทรงใช้ เพื่อช่วยเหลือประชากรของพระเป็นเจ้า เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงถึงพระเกียรติมงคลของพระนางมารีย์ผู้สรรเสริญพระบิดา พระบุตร และพระจิต ตลอดนิรันดร"

การประจักษ์ที่หมู่บ้านน็อค ประเทศไอร์แลนด์
ในอดีต น็อค (Knock) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์ เป็นท้องที่ทุรกันดาร และไม่เห็นที่รู้จักกันเลย
ในตอนเย็นวันที่ 21 สิงหาคม 1879 มีกลุ่มชาวบ้าน 15 คน อายุตั้งแต่ 5 ขวบ ถึง 75 ปี แลเห็นกางเขนและลูกแกะตัวหนึ่งยืนอยู่บนพระแท่นที่อยู่ติดกับกำแพงวัด ด้านซ้ายของพระแท่นเหนือพื้นดินมีบุคคล 3 คน ได้แก่พระนางมารีย์ที่สวมมงกุฎอยู่ นักบุญโยเซฟ และนักบุญยอห์นอัครสาวก ในลักษณะกำลังเทศน์ โดยใช้มือซ้ายถือหนังสือที่เปิดอยู่ มีแสงสว่างเจิดจ้าสะกดให้ผู้ที่แลเห็น ทุกคนคุกเข่าลง และสวดสายประคำ ปรากฏการณ์ประหลาดอีกอย่างหนึ่งคือ ขณะนั้นมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่บริเวณที่มีการประจักษ์กลับแห้งสนิท
มีการตั้งคณะกรรมการสังฆมณฑลสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนั้น การสอบสวนดำเนินต่อเนื่องกันไป จนผู้แลเห็นการประจักษ์คนสุดท้ายเสียชีวิตในปี ค.ศ.1936 จึงสรุปว่าเป็นการประจักษ์ที่เกิดขึ้นจริงเหนือธรรมชาติ
บรรดานักจาริกแสวงบุญพากันหลั่งไหลมายังบริเวณที่มีการประจักษ์ ตั้งแต่เมื่อมีการประจักษ์แล้ว และมีผู้ป่วยหลายคนหายเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ วัดหลังใหม่ที่สร้างขึ้นแทนหลังเดิม จุคนได้ถึง 14,000 คน มีห้องสวดภาวนา และบริเวณสำหรับผู้ป่วย นอกจากนั้น ณ บริเวณที่มีการประจักษ์มีการสร้างพระรูปทั้งสามขึ้น ตามคำบอกเล่าของผู้แลเห็นการประจักษ์
ในปี ค.ศ.1960 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 ได้ทรงอวยพระพรแก่สักการสถานน็อค ที่เรียกเป็นภาษาเซลติกว่า "Cnoc Mhuire" (แปลว่า "เนินเขามารีย์") และในโอกาสครบรอบการประจักษ์ 100 ปี วันที่ 30 กันยายน 1979 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ทรงจาริกแสวงบุญมายังสักการสถานน็อค พระองค์ทรงอวยพระพรแก่ผู้ป่วยหลายพันคน และทรงประกอบพิธีบูชามิสซาในพระมหาวิหารแม่พระแห่งน็อค ทรงถวายเทียนและกุหลาบทองคำ ทรงคุกเข่าสวดภาวนาเบื้องหน้าพระแท่นที่มีการประกจักษ์
การประจักษ์ที่น็อคนี้กินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำกล่าวใด ๆ นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่มีการประจักษ์ ประเทศไอร์แลนด์ และโดยเฉพาะที่หมู่บ้านน็อค เกิดความอดหยากและประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง หลายคนถูกบีบบังคังให้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในสหรัฐอเมริกา ในสภาพเช่นนี้เอง พระเยซูเจ้าได้ทรงโปรดให้พระมารดาเสด็จเยี่ยมลูกๆ ของพระแม่ ที่กำลังประสบความยากลำบาก ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ได้รับจากการประจักษ์ของแม่พระในครั้งนี้คือ ผู้คนจำนวนมากกลับใจ หายจากโรคร้ายทางกายและบาดแผลทางใจ และมีการสวดภาวนาโดยไม่ขาดสาย ส่วนการที่แม่พระมิได้มีสาสน์ใด ๆ นั้น ภราดาเจมส์ นักบวชคณะกาปูชินชาวไอร์แลนด์ ให้ทัศนะว่า "บางครั้งคำพูดก็มิใช่สิ่งจำเป็น เมื่อความเงียบสามารถสื่อได้ดีกว่า"
"สิ่งที่มนุษย์ได้รับจากการประจักษ์ของแม่พระ คือ.... ผู้คนจำนวนมากกลับใจ และมีการสวดภาวนาโดยไม่ขาดสาย"
บทอธิษฐานภาวนา
ข้าแต่พระเจ้า และพระบิดาขององค์พระเยซูคริสตเจ้า โปรดทรงเปิดจิตใจของลูก เพื่อรับพระหรรษทานของพระองค์ โปรดหลั่งพระจิตของพระองค์ลงในจิตใจของลูก เพื่อลูกจะได้ชื่นชมยินดีที่พระองค์ประทับอยู่ใกล้ชิดกับลูก โปรดโอบอ้อมลูกทุกคนไว้ในอ้อมกอดแห่งความรักอันอบอุ่นของพระองค์ด้วยเทอญ ทั้งนี้เดชะพระบารมีพระคริสตเจ้าของพวกลูกทั้งหลายเทอญ อาแมน...
เวบไซด์ กุหลาบทิพย์ http://www.geocities.com/kularptip
เรื่อง โดย ดอมินิก ตูร์ลีแอร์
แปลและเรียบเรียงโดย ก.ครุวรรณ
ในโอกาสจัดพิมพ์ความลับข้อที่ 3 ของแม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา เมื่อปี 2000 พระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ (ปัจจุบันคือ พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16) ในฐานะสมณมณตรีกระทรวงข้อความเชื่อ ได้จัดพิมพ์ความเห็นจากมุมมองด้านเทววิทยาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่ออธิบายเรื่อง การไขแสดงเหนือธรรมชาติในพระศาสนจักร และในส่วนที่เกี่ยวกับความเชื่อ
การไขแสดงด้วยองค์พระเยซู
พจนานุกรมให้ความหมายทางศาสนาของ "การไขแสดง" ว่า "เป็นปรากฏการณ์การเปิดเผยความจริงที่ซ่อนอยู่แก่มนุษย์ ในลักษณะเหนือธรรมชาติ" สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือ มีความแตกต่างระหว่างการไขแสดงของพระเป็นเจ้าแก่สาธารณชน กับการไขแสดงส่วนบุคคล ที่มนุษย์ถ่ายทอดสืบต่อกันหลังจากการเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระคริสตเจ้า การเปิดเผยแก่สาธารณชน มีความหมายรวมถึงสิ่งที่พระศาสนจักรเรียกว่า "การไขแสดง" ซึ่งได้แก่กิจการของพระเป็นเจ้าที่ทรงกระทำในประวัติศาสตร์มนุษย์ ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่เรียกว่า "ไขแสดง" เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้เปิดเผยแก่มนุษย์ตามลำดับ จนถึงการรับเอากายเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า แน่นอนการไขแสดงเป็นเรื่องของความเชื่อในรหัสธรรมแห่งพระคริสตเยซู ซึ่งเป็นการเปิดเผยที่สมบูรณ์ และเราเชื่ออย่างต่อเนื่องมานานนับหลายศตวรรษ การไขแสดงนี้มีพระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำ

การไขแสดงส่วนบุคคล
สิ่งที่ตามมาหลังจากการไขแสดงด้วยองค์พระเยซูคริสต์คือ การที่พระศาสนจักรเชื่อว่ายังมีการไขแสดงอีกประเภทหนึ่ง ที่เป็นการไขแสดงเหนือธรรมชาติส่วนบุคคล หรือไขแสดงแก่บุคคลบางคนเป็นพิเศษ คำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องนี้กล่าวว่า "บทบาทของผู้ได้รับการไขแสดงส่วนบุคคลนั้น มิใช่เป็นการเสริมให้การไขแสดงของพระคริสต์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่เป็นการทำให้ผู้คนรู้จักดำเนินชีวิตให้ครบครันยิ่งขึ้น ตามสภาพการณ์ของยุคสมัยต่างๆ ในประวัติศาสตร์"
อย่างไรก็ตาม มีแต่การไขแสดงขององค์พระเยซูเท่านั้น ที่ถือเป็นข้อความเชื่อและมีคุณค่าสากล คือเป็นการไขแสดงที่ใช้ได้กับทุกคนทุกยุคสมัย พระศาสนจักรยอมรับการไขแสดงส่วนบุคคล ก็ต่อเมื่อการไขแสดงนั้น ๆ มีสาระเนื้อหาอยู่ในแนวทางเดียวกับการไขแสดงขององค์พระเยซู การไขแสดงส่วนบุคคลต้องไม่เกี่ยวกับเรื่อง "หมอดูหรือผู้วิเศษต่าง ๆ" และต้องเป็นการกระตุ้นคริสตชนให้มีความเชื่อ ความรัก และความหวังมากยิ่งขึ้น
ปกติการไขแสดงส่วนบุคคลต่าง ๆ มักเป็นเรื่องการประจักษ์ของแม่พระและภาพนิมิต คำถามคือ ผู้ได้รับการประจักษ์สัมผัสเห็นได้ด้วยสิ่งใด สิ่งที่พวกเขาสัมผัสเห็นอย่างเหนือธรรมชาติ เกี่ยวกันกับความจริงใด ๆ หรือไม่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ได้รับการประจักษ์หรือผู้เห็นภาพนิมิตนั้นเห็นได้อย่างไร และเห็นอะไร
ทางเทววิทยาแบ่งการสัมผัสรับรู้เป็น 3 ลักษณะคือ การรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส การรับรู้ภายใน และการรับรู้ทางจิตวิญญาณ การมองเห็นด้วยประสาทสัมผัสเป็นการมองเห็นทางกายตามปกติ การรับรู้ภายในสัมผัสไม่ได้ด้วยประสาททางกาย แต่เป็นภาพที่ปรากฏภายในจิตใจ ในลักษณะที่เหมือนกับการสัมผัสด้วยประสาทตามปกติ ส่วนการรับรู้ทางจิตวิญญาณ มิได้อยู่ในลักษณะของภาพหรือวัตถุ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทางปัญญาญาณที่ลี้ลับ เช่นสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักบุญคัธริน แห่งเซียนนา หรือที่เกิดกับนักบุญยอห์นแห่งไม้กางเขน
เราจึงต้องเข้าใจว่า การประจักษ์ต่างๆ ของแม่พระ มิได้อยู่ในลักษณะของการรับรู้ทางจิตวิญญาณ เพราะอยู่ในลักษณะที่เป็นภาพ แต่ก็มิใช่ภาพที่มองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสทางกายตามปกติ การประจักษ์ที่ลูร์ดส์ ฟาติมา และที่อื่น ๆ นั้นมีบันทึกไว้ว่า "ภาพและรูปต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้รับการประจักษ์ มิได้เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นตามมิติภายนอกทั่วไป เช่น การเห็นภาพต้นไม้ หรือภาพบ้าน" มีแต่ผู้รับการประจักษ์เท่านั้นที่แลเห็น ส่วนคนอื่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกันมิได้แลเห็นด้วยเลย

จิตใจที่เตรียมพร้อม
การรับรู้ภายในคือจิตใต้สำนึกแลเห็นภาพอย่างชัดเจน และมองเห็นเป็นภาพเหมือนกับการมองเห็นด้วยประสาทสัมผัสตามปกติ การมองเห็นภายในเช่นนี้ ไม่เหมือนกับการสร้างภาพขึ้นเองจากจินตนาการ พระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์อธิบายอย่างระมัดระวังว่า จิตสำนึกของผู้ที่แลเห็น จะอยู่ในลักษณะของ "การไหลท่วมท้นของสิ่งที่เป็นจริงที่ผู้นั้น แลเห็นได้ด้วยจิตวิญญาณภายในของตน" การพร้อมอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ ผู้แลเห็นจะต้องเปิดใจต้องรับอย่างเต็มเปี่ยมต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสภาพเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ บุคคลพิเศษที่เคยเห็นภาพดังกล่าว จึงได้แก่ผู้ที่มีความศรัทธาเป็นพิเศษ หรือบรรดาเด็ก ๆ
เนื่องจากการรับรู้ภายในเป็นสภาพความเป็นจริงของจิตใจ บุคคลิกและประสาทสัมผัสของผู้ที่แลเห็น จึงมีส่วนอย่างใกล้ชิดกับการรับรู้ภายในของตนด้วย ภาพที่แลเห็นอยู่เหนือลักษณะของภาพถ่ายโดยทั่วไป ดังนั้น จึงต้องมีการถ่ายทอดตีความสิ่งที่แลเห็นอีก ซึ่งพระคาร์ดินัล รัตซิงเกอร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า "เราไม่อาจแยกภาพที่แลเห็นเป็นส่วน ๆ ได้ แต่ต้องมองให้เห็นเป็นภาพรวม และเข้าใจตามนั้น"
วิธีหนึ่งที่แม่พระทรงใช้
พระศาสนจักรระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องการไขแสดงส่วนบุคคล เพราะอาจเป็นแหล่งกำเนิดของความศรัทธาที่แท้จริงก็ได้ สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ตรัสถึงเรื่องการไขแสดงส่วนบุคคลว่า "เป็นสิ่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ และเป็นประเพณีที่มีคุณค่าในจารีตพิธีกรรม เป็นการพยายามเลียนแบบความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคลบางคนเป็นพิเศษ ที่มิใช่เป็นการเชื่องมงาย แต่เป็นการไขแสดงที่สอดคล้องกับแนวทางของพระศาสนจักร ซึ่งบ่อยครั้งเป็นวิธีที่พระนางพรหมจารีมารีย์ทรงใช้ เพื่อช่วยเหลือประชากรของพระเป็นเจ้า เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงถึงพระเกียรติมงคลของพระนางมารีย์ผู้สรรเสริญพระบิดา พระบุตร และพระจิต ตลอดนิรันดร"

การประจักษ์ที่หมู่บ้านน็อค ประเทศไอร์แลนด์
ในอดีต น็อค (Knock) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ทางตะวันตกของประเทศไอร์แลนด์ เป็นท้องที่ทุรกันดาร และไม่เห็นที่รู้จักกันเลย
ในตอนเย็นวันที่ 21 สิงหาคม 1879 มีกลุ่มชาวบ้าน 15 คน อายุตั้งแต่ 5 ขวบ ถึง 75 ปี แลเห็นกางเขนและลูกแกะตัวหนึ่งยืนอยู่บนพระแท่นที่อยู่ติดกับกำแพงวัด ด้านซ้ายของพระแท่นเหนือพื้นดินมีบุคคล 3 คน ได้แก่พระนางมารีย์ที่สวมมงกุฎอยู่ นักบุญโยเซฟ และนักบุญยอห์นอัครสาวก ในลักษณะกำลังเทศน์ โดยใช้มือซ้ายถือหนังสือที่เปิดอยู่ มีแสงสว่างเจิดจ้าสะกดให้ผู้ที่แลเห็น ทุกคนคุกเข่าลง และสวดสายประคำ ปรากฏการณ์ประหลาดอีกอย่างหนึ่งคือ ขณะนั้นมีฝนตกลงมาอย่างหนัก แต่บริเวณที่มีการประจักษ์กลับแห้งสนิท
มีการตั้งคณะกรรมการสังฆมณฑลสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนั้น การสอบสวนดำเนินต่อเนื่องกันไป จนผู้แลเห็นการประจักษ์คนสุดท้ายเสียชีวิตในปี ค.ศ.1936 จึงสรุปว่าเป็นการประจักษ์ที่เกิดขึ้นจริงเหนือธรรมชาติ
บรรดานักจาริกแสวงบุญพากันหลั่งไหลมายังบริเวณที่มีการประจักษ์ ตั้งแต่เมื่อมีการประจักษ์แล้ว และมีผู้ป่วยหลายคนหายเป็นปกติอย่างน่าอัศจรรย์ วัดหลังใหม่ที่สร้างขึ้นแทนหลังเดิม จุคนได้ถึง 14,000 คน มีห้องสวดภาวนา และบริเวณสำหรับผู้ป่วย นอกจากนั้น ณ บริเวณที่มีการประจักษ์มีการสร้างพระรูปทั้งสามขึ้น ตามคำบอกเล่าของผู้แลเห็นการประจักษ์
ในปี ค.ศ.1960 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ที่ 23 ได้ทรงอวยพระพรแก่สักการสถานน็อค ที่เรียกเป็นภาษาเซลติกว่า "Cnoc Mhuire" (แปลว่า "เนินเขามารีย์") และในโอกาสครบรอบการประจักษ์ 100 ปี วันที่ 30 กันยายน 1979 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 ทรงจาริกแสวงบุญมายังสักการสถานน็อค พระองค์ทรงอวยพระพรแก่ผู้ป่วยหลายพันคน และทรงประกอบพิธีบูชามิสซาในพระมหาวิหารแม่พระแห่งน็อค ทรงถวายเทียนและกุหลาบทองคำ ทรงคุกเข่าสวดภาวนาเบื้องหน้าพระแท่นที่มีการประกจักษ์
การประจักษ์ที่น็อคนี้กินเวลาทั้งสิ้นประมาณ 2 ชั่วโมง โดยไม่มีคำกล่าวใด ๆ นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่มีการประจักษ์ ประเทศไอร์แลนด์ และโดยเฉพาะที่หมู่บ้านน็อค เกิดความอดหยากและประสบภัยพิบัติอย่างต่อเนื่อง หลายคนถูกบีบบังคังให้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในสหรัฐอเมริกา ในสภาพเช่นนี้เอง พระเยซูเจ้าได้ทรงโปรดให้พระมารดาเสด็จเยี่ยมลูกๆ ของพระแม่ ที่กำลังประสบความยากลำบาก ดังนั้น สิ่งที่มนุษย์ได้รับจากการประจักษ์ของแม่พระในครั้งนี้คือ ผู้คนจำนวนมากกลับใจ หายจากโรคร้ายทางกายและบาดแผลทางใจ และมีการสวดภาวนาโดยไม่ขาดสาย ส่วนการที่แม่พระมิได้มีสาสน์ใด ๆ นั้น ภราดาเจมส์ นักบวชคณะกาปูชินชาวไอร์แลนด์ ให้ทัศนะว่า "บางครั้งคำพูดก็มิใช่สิ่งจำเป็น เมื่อความเงียบสามารถสื่อได้ดีกว่า"
"สิ่งที่มนุษย์ได้รับจากการประจักษ์ของแม่พระ คือ.... ผู้คนจำนวนมากกลับใจ และมีการสวดภาวนาโดยไม่ขาดสาย"
บทอธิษฐานภาวนา
ข้าแต่พระเจ้า และพระบิดาขององค์พระเยซูคริสตเจ้า โปรดทรงเปิดจิตใจของลูก เพื่อรับพระหรรษทานของพระองค์ โปรดหลั่งพระจิตของพระองค์ลงในจิตใจของลูก เพื่อลูกจะได้ชื่นชมยินดีที่พระองค์ประทับอยู่ใกล้ชิดกับลูก โปรดโอบอ้อมลูกทุกคนไว้ในอ้อมกอดแห่งความรักอันอบอุ่นของพระองค์ด้วยเทอญ ทั้งนี้เดชะพระบารมีพระคริสตเจ้าของพวกลูกทั้งหลายเทอญ อาแมน...
เวบไซด์ กุหลาบทิพย์ http://www.geocities.com/kularptip