สมณสาส์นของพระสันตะปาปาที่ทำให้ฮิตเลอร์เดือดดาล
คุณพ่อปีเตอร์ กัมเพล นักบวชเยซูอิต เล่าเรื่องให้ผู้สื่อข่าว
ROME, APRIL 4, 2007 (Zenit.org).- ในวันอาทิตย์ใบลานปี 1937, พระสันตปาปาปิอุสที่ 11 ได้ออกสมณสาส์น "Mit Brennender Sorge" และได้ส่งไปยังสังฆมณฑลต่างๆในเยอรมันนี. ในสมณสาส์นนั้น,ทางสันตสำนักได้ตำหนิและวิจารณ์อย่างรุนแรงเกี่ยวกับมาตรการทางการเมืองที่เข้มงวดของรัฐบาลของฮิตเลอร์. คุณพ่อปีเตอร์ กัมเพล นักบวชเยซูอิตซึ่งมีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเป็นผู้เล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง
ท่านเล่าว่า-- 70 ปีนับแต่สมณสาส์นได้ส่งออกไป ทำให้เป็นที่ยืนยันได้ว่าทางสันตสำนักมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของลัทธินาซีและสมณสาส์นนั้นยังพยากรณ์ว่าขบวนการแบ่งแยกความเชื่อและศีลธรรมออกไปจะทำให้เกิดความโน้มเอียงที่จะนำไปสู่สงคราม
การสำรวจดูในประวัติศาสตร์, เกี่ยวกับท่าทีและคำสั่งสอนของสมณสาส์น" Mit Brennender Sorge" (With Deep Anxiety ความกังวลใจ), คุณพ่อกัมเพลอธิบายว่า หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 , พระศาสนจักรได้ใช้ความพยายามทำความตกลงและทำสนธิสัญญากับเยอรมันนี, แต่ก็ไม่ประสพผลสำเร็จ
มีการทำสนธิสัญญากับบางรัฐของเยอรมันนีเท่านั้น อย่างเช่น รัฐบาวาเรีย, ปรัสเซีย และ บาเดน แต่ก็ไม่ใช่กับประเทศเยอรมันนีเองโดยตรง
วันที่ 30 มกราคม 1933 อดอฟ ฮิตเลอร์ ได้เป็นผู้นำประเทศและตอนต้นของเมษายน, เขาก็เสนอที่จะทำสนธิสัญญากับสันตสำนักตามความริเริ่มของเขาเอง
ทางสันตสำนักไม่ไว้วางใจในตัวฮิตเลอร์, แต่ก็อยู่ในภาวะลำบากที่ไม่อาจปฏิเสธในสิ่งที่ดูจะเป็นข้อตกลงที่ดีที่สุดในเวลานั้น, เพราะฉะนั้น, ทางสันตสำนักจึงเซ็นสัญญาทั้งๆที่รู้ว่าฮิตเลอร์จะไม่เคารพและปฏิบัติตามสัญญา
+ ศัตรูอันดับ 1 ของฮิตเลอร์ +
การก่อกวนคาทอลิก
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการเซ็นสัญญา, พระคาร์ดินัล ยูจีนิโอ ปาเซลลี่, ซึ่งก็คือพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ในอนาคต, ขณะนั้นเป็นเลขาธิการประจำสันตสำนัก, ได้รับการสอบถามจากพรรคการเมืองอังกฤษว่า ทางฮิตเลอร์จะเคารพในสัญญาหรือไม่
พระคาร์ดินัลตอบว่า "ไม่แน่นอน. เราได้แต่หวังว่า เขาจะไม่ละเมิดสัญญาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน"
และในความจริง, ทันทีหลังจากการเซ็นสัญญา , ฮิตเลอร์ก็เริ่มต้นก่อกวนคาทอลิกในทุกด้าน จนทำให้ทางสันตสำนักต้องส่งหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลเยอรมันนีถึง 50 ครั้ง"
ทั้งๆที่มีการประท้วงอย่างเป็นทางการ, พวกนาซีก็ยังคงเพิ่มการก่อกวนมากขึ้น ทั้งในด้านการศึกษา, ทั้งต่อพระสงฆ์ โดยการจับกุมคุมขังพระสงฆ์. ตอนปี 1936 , ที่ประชุมพระราชาคณะของเยอรมันนีได้ขอให้มีการแทรกแซงอย่างเป็นทางการ
ใน ปี 1938, เหล่าพระสังฆราชเยอรมันนีไปโรมเพื่อการเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาประจำทุก 5 ปี. ในโอกาสนั้น, พระราชาคณะทุกองค์ตกลงที่จะขอให้ทางสันตสำนักออกเอกสารประณามลัทธินาซี "พระอัครสังฆราชแห่งมิวนิก, พระคาร์ดินัลไม่เคิล วอน ฟอลฮาเบอร์, ได้ร่างพระสมณสาส์นฉบับแรกอย่างลับๆ. ท่านเขียนด้วยมือแทนการบอกให้เขียน
"ข้อความที่พระคาร์ดินัลฟอลฮาเบอร์เขียน, ซึ่งเป็นร่างพิ้นฐานของสมณสาส์นนั้น , พระคาร์ดินัลปาเซลลี่ ได้ปรับปรุงและเขียนเพิ่มเติม, และใน 7 สัปดาห์ ข้อความทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมทำเป็นเอกสารซึ่งมีถ้อยคำที่รุนแรงกว่าที่พระคาร์ดินัล ฟอลฮาเบอร์เสนอมาเสียอีก"
พระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 (พระคาร์ดินัล ยูจีนิโอ ปาเซลลี่)
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการเซ็นสัญญา, พระคาร์ดินัล ยูจีนิโอ ปาเซลลี่, ซึ่งก็คือพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12 ในอนาคต, ขณะนั้นเป็นเลขาธิการประจำสันตสำนัก, ได้รับการสอบถามจากพรรคการเมืองอังกฤษว่า ทางฮิตเลอร์จะเคารพในสัญญาหรือไม่
พระคาร์ดินัลตอบว่า "ไม่แน่นอน. เราได้แต่หวังว่า เขาจะไม่ละเมิดสัญญาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน"
และในความจริง, ทันทีหลังจากการเซ็นสัญญา , ฮิตเลอร์ก็เริ่มต้นก่อกวนคาทอลิกในทุกด้าน จนทำให้ทางสันตสำนักต้องส่งหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลเยอรมันนีถึง 50 ครั้ง"
ทั้งๆที่มีการประท้วงอย่างเป็นทางการ, พวกนาซีก็ยังคงเพิ่มการก่อกวนมากขึ้น ทั้งในด้านการศึกษา, ทั้งต่อพระสงฆ์ โดยการจับกุมคุมขังพระสงฆ์. ตอนปี 1936 , ที่ประชุมพระราชาคณะของเยอรมันนีได้ขอให้มีการแทรกแซงอย่างเป็นทางการ
ใน ปี 1938, เหล่าพระสังฆราชเยอรมันนีไปโรมเพื่อการเข้าเฝ้าพระสันตะปาปาประจำทุก 5 ปี. ในโอกาสนั้น, พระราชาคณะทุกองค์ตกลงที่จะขอให้ทางสันตสำนักออกเอกสารประณามลัทธินาซี "พระอัครสังฆราชแห่งมิวนิก, พระคาร์ดินัลไม่เคิล วอน ฟอลฮาเบอร์, ได้ร่างพระสมณสาส์นฉบับแรกอย่างลับๆ. ท่านเขียนด้วยมือแทนการบอกให้เขียน
"ข้อความที่พระคาร์ดินัลฟอลฮาเบอร์เขียน, ซึ่งเป็นร่างพิ้นฐานของสมณสาส์นนั้น , พระคาร์ดินัลปาเซลลี่ ได้ปรับปรุงและเขียนเพิ่มเติม, และใน 7 สัปดาห์ ข้อความทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมทำเป็นเอกสารซึ่งมีถ้อยคำที่รุนแรงกว่าที่พระคาร์ดินัล ฟอลฮาเบอร์เสนอมาเสียอีก"
พระสันตะปาปาปีอุสที่ 12 (พระคาร์ดินัล ยูจีนิโอ ปาเซลลี่)
การส่งกระจายสมณสาส์นอย่างลับๆ
พระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ได้เซ็นในสมณสาส์นวันที่ 14 มีนาคม 1937 . และสำเนาการพิมพ์ก็ถูกนำส่งในกระเป๋าเอกสารทางการฑูตไปให้สมณทูตในกรุงเบอร์ลิน. ท่านได้ส่งเอกสารเหล่านี้ต่อไปยังพระสังฆราชแห่งเบอร์ลิน, ผู้ซึ่งได้กระจายออกไปอย่างลับๆให้พระราชาคณะทั้งหมดในเยอรมันนี
เครื่องพิมพ์ 12 เครื่องถูกใช้ในการพิมพ์เอกสารภายใต้จมูกของตำรวจเกสตาโป. พระสังฆราชหลายคนได้ทำสำเนาออกมาเป็นร้อยเป็นพันฉบับ. แล้วก็กระจายเอกสารออกไปให้พระสงฆ์ในทุกสังฆมณฑล, ทุกคอนแวนต์ สมณสาส์นจึงถูกอ่านในโบสถ์ทุกแห่งตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 1937 ,ตรงกับวันอาทิตย์ใบลาน
"เวลานั้นผมอายุ 14 ปีและอยู่ที่อาสนวิหารในเบอร์ลิน" คุณพ่อกัมเพลบอกกับ ZENIT "อาสนวิหารถูกเฝ้ามองและปฏิกิริยาทั่วไปก็คือเห็นด้วย"
ถ้อยคำในเอกสารมีความกระจ่างชัด. :- ฮิตเลอร์กำลังหลอกลวงชาวเยอรมันและทั่วโลก. สมณสาส์นยืนยันว่าผู้นำนาซีคนนี้ไว้ใจไม่ได้, ไม่น่าเชื่อถือ, มีอันตรายและพยายามเข้ามาแทนที่พระเจ้า
"ปฏิกิริยาของชาวคาทอลิกมีความกระตือรือร้นมาก" ขณะที่ "ฮิตเลอร์เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง" พูดกันว่า ฮิตเลอร์เดือดดาลจนไม่ยอมออกมาต้อนรับหรือพบหน้าใครนานถึง 3 วัน
ลูกจ้างสำนักพิมพ์ได้รายงานแก่ตำรวจเกสตาโปเกี่ยวกับสมณสาส์นในตอนเย็นวันเสาร์ แต่ก็สายเกินไปที่จะหยุดสมณสาส์นนี้. ตำรวจเกสตาโปไม่กล้าบุกเข้าไปในโบสถ์เพราะอาจก่อให้เกิดการจราจล
แต่ก็มีตำรวจเกสตาโปยืนเฝ้าอยู่หน้าโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์ เพื่อคอยตรวจสอบว่ามีใครบ้างที่มีสำเนาเอกสารนี้ในมือ. ถ้าพบใครมีสำเนาเอกสารนี้, คนนั้นก็จะถูกจับ. 12 สำนักพิมพ์ถูกค้นและถูกยึดเอกสารโดยไม่มีการชดเชยเงินให้และบางคนก็ถูกจับเข้าคุก.
พระสันตะปาปาปิอุสที่ 11 ได้เซ็นในสมณสาส์นวันที่ 14 มีนาคม 1937 . และสำเนาการพิมพ์ก็ถูกนำส่งในกระเป๋าเอกสารทางการฑูตไปให้สมณทูตในกรุงเบอร์ลิน. ท่านได้ส่งเอกสารเหล่านี้ต่อไปยังพระสังฆราชแห่งเบอร์ลิน, ผู้ซึ่งได้กระจายออกไปอย่างลับๆให้พระราชาคณะทั้งหมดในเยอรมันนี
เครื่องพิมพ์ 12 เครื่องถูกใช้ในการพิมพ์เอกสารภายใต้จมูกของตำรวจเกสตาโป. พระสังฆราชหลายคนได้ทำสำเนาออกมาเป็นร้อยเป็นพันฉบับ. แล้วก็กระจายเอกสารออกไปให้พระสงฆ์ในทุกสังฆมณฑล, ทุกคอนแวนต์ สมณสาส์นจึงถูกอ่านในโบสถ์ทุกแห่งตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 1937 ,ตรงกับวันอาทิตย์ใบลาน
"เวลานั้นผมอายุ 14 ปีและอยู่ที่อาสนวิหารในเบอร์ลิน" คุณพ่อกัมเพลบอกกับ ZENIT "อาสนวิหารถูกเฝ้ามองและปฏิกิริยาทั่วไปก็คือเห็นด้วย"
ถ้อยคำในเอกสารมีความกระจ่างชัด. :- ฮิตเลอร์กำลังหลอกลวงชาวเยอรมันและทั่วโลก. สมณสาส์นยืนยันว่าผู้นำนาซีคนนี้ไว้ใจไม่ได้, ไม่น่าเชื่อถือ, มีอันตรายและพยายามเข้ามาแทนที่พระเจ้า
"ปฏิกิริยาของชาวคาทอลิกมีความกระตือรือร้นมาก" ขณะที่ "ฮิตเลอร์เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง" พูดกันว่า ฮิตเลอร์เดือดดาลจนไม่ยอมออกมาต้อนรับหรือพบหน้าใครนานถึง 3 วัน
ลูกจ้างสำนักพิมพ์ได้รายงานแก่ตำรวจเกสตาโปเกี่ยวกับสมณสาส์นในตอนเย็นวันเสาร์ แต่ก็สายเกินไปที่จะหยุดสมณสาส์นนี้. ตำรวจเกสตาโปไม่กล้าบุกเข้าไปในโบสถ์เพราะอาจก่อให้เกิดการจราจล
แต่ก็มีตำรวจเกสตาโปยืนเฝ้าอยู่หน้าโบสถ์ในเช้าวันอาทิตย์ เพื่อคอยตรวจสอบว่ามีใครบ้างที่มีสำเนาเอกสารนี้ในมือ. ถ้าพบใครมีสำเนาเอกสารนี้, คนนั้นก็จะถูกจับ. 12 สำนักพิมพ์ถูกค้นและถูกยึดเอกสารโดยไม่มีการชดเชยเงินให้และบางคนก็ถูกจับเข้าคุก.
ความพึงพอใจของชาวยิว
ประชาคมโลกมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างกระตือรือร้นในสมณสาส์นนี้. ชาวยิวมีความดีใจและพอใจเป็นอย่างมากนับตั้งแต่สมณสาส์นปรากฏขี้นในการต่อต้านลัทธิชาตินิยม. หนังสือพิมพ์ของยิวทุกฉบับในโลกแสดงออกถึงความเห็นด้วยกับการกระทำของสันตสำนัก
"อย่างไรก็ตาม, ทั้งๆที่พระสันตะปาปาทรงประกาศให้เห็นความไม่น่าเชื่อถือของฮิตเลอร์, แต่ในการประชุมที่มิวนิคในปี 1938, ประเทศอังกฤษ , ฝรั่งเศสและอิตาลี กลับลงนามในข้อตกลงที่ทางนาซีเป็นผู้ทำขึ้น"
คุณพ่อกัมเพลกล่าวว่า "สมณสาส์นนี้เป็นเอกสารที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเอกสารใดๆในประวัติศาสตร์, มีบางส่วนที่มีนัยเป็นเหมือนคำพยากรณ์และการเผยแสดงในยุคนั้น"
"Mit Brennender Sorge" เป็นสมณสาส์นที่เป็นมากกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์, มันอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ธรรมชาติและข้อความเชื่อ. มันยังให้การพยากรณ์ในสถานการณ์ของโลกปัจจุบันนี้และมีคุณค่าที่ถาวร"
"ถ้าบุคคลใดยังไม่เข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติหรือข้อความเชื่อ คนนั้นย่อมตกอยู่ในความเสื่อมถอยและประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นเองว่าสิ่งนี้จะก่อให้เกิดปัญหาแก่กฎระเบียบของสังคมโลกต่อไป"
พระสันตะปาปา ปีอุสที่12 ทอดพระเนตร เสบียงอาหารที่จะจัดส่งไปช่วยเหลือชาวยิวในค่ายกักกันของพวกเยอรมัน
ประชาคมโลกมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างกระตือรือร้นในสมณสาส์นนี้. ชาวยิวมีความดีใจและพอใจเป็นอย่างมากนับตั้งแต่สมณสาส์นปรากฏขี้นในการต่อต้านลัทธิชาตินิยม. หนังสือพิมพ์ของยิวทุกฉบับในโลกแสดงออกถึงความเห็นด้วยกับการกระทำของสันตสำนัก
"อย่างไรก็ตาม, ทั้งๆที่พระสันตะปาปาทรงประกาศให้เห็นความไม่น่าเชื่อถือของฮิตเลอร์, แต่ในการประชุมที่มิวนิคในปี 1938, ประเทศอังกฤษ , ฝรั่งเศสและอิตาลี กลับลงนามในข้อตกลงที่ทางนาซีเป็นผู้ทำขึ้น"
คุณพ่อกัมเพลกล่าวว่า "สมณสาส์นนี้เป็นเอกสารที่มีคุณค่ายิ่งกว่าเอกสารใดๆในประวัติศาสตร์, มีบางส่วนที่มีนัยเป็นเหมือนคำพยากรณ์และการเผยแสดงในยุคนั้น"
"Mit Brennender Sorge" เป็นสมณสาส์นที่เป็นมากกว่าการเป็นเพียงสัญลักษณ์, มันอยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ธรรมชาติและข้อความเชื่อ. มันยังให้การพยากรณ์ในสถานการณ์ของโลกปัจจุบันนี้และมีคุณค่าที่ถาวร"
"ถ้าบุคคลใดยังไม่เข้าใจในกฎเกณฑ์ธรรมชาติหรือข้อความเชื่อ คนนั้นย่อมตกอยู่ในความเสื่อมถอยและประวัติศาสตร์จะแสดงให้เห็นเองว่าสิ่งนี้จะก่อให้เกิดปัญหาแก่กฎระเบียบของสังคมโลกต่อไป"
พระสันตะปาปา ปีอุสที่12 ทอดพระเนตร เสบียงอาหารที่จะจัดส่งไปช่วยเหลือชาวยิวในค่ายกักกันของพวกเยอรมัน
การประณามลัทธินาซี
ส่วนแรกของสมณสาส์นเล่าประวัติเบื้องหลังของสนธิสัญญาระหว่างสันตสำนักกับเยอรมันนีและชี้ให้เห็นถึงความวุ่นวายที่มีมาอย่างต่อเนื่องในพระศาสนจักรและแก่ผู้ที่มีความเชื่อ.
สมณสาส์นยังได้เขียนประณามว่า "ไม่ว่าใครก็ตามที่ชักนำให้เชื่อ,โดยความสับสนของลัทธิที่ผิดหลงว่าพระเป็นเจ้าคือจักรวาล. อันเป็นการลดฐานะของพระเป็นเจ้าให้ต่ำลงเป็นเพียงมิติของโลก, หรือยกให้โลกขึ้นมาเทียมเท่าพระเป็นเจ้า. ผู้นั้นหาใช่ผู้ที่มีความเชื่อในพระเป็นเจ้าไม่"
สมณสาส์นได้ประณามความคิดของผู้ที่ถือลัทธิชาตินิยม. เพราะ "เท่ากับเป็นการบูชารูปเคารพด้วยความงมงายของลัทธิ" , บนแผ่นดินและโลหิตและ "หลงออกนอกลู่นอกทาง, หลงผิดในระเบียบแบบแผนที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดและสร้างขึ้นมา"
สมณสาส์นได้ขีดเส้นใต้ข้อความ "เป็นความผิดพลาดในการอ้างว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าเฉพาะชาติของตนชาติเดียว, และศาสนาก็เป็นเฉพาะของตนชาติเดียว, หรือพยายามที่จะยึดติดกับบุคคลเพียงคนเดียว, ภายใต้จิตใจอันคับแคบถือเชื้อชาติของตนเท่านั้น. พระเป็นเจ้า, พระผู้สร้างแห่งสากลจักรวาล, พระมหากษัตริย์และผู้บัญญัติกฏเกณฑ์สำหรับประชาชาติทั้งมวลทรงยิ่งใหญ่ไม่มีขอบเขต และพวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงฝุ่นธุลีเล็กๆเบื้องพระพักตร์พระองค์"
สมณสาส์นยังกล่าวปกป้องพระคัมภีร์พระธรรมเก่า(ส่วนที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาวยิว)อย่างเข้มแข็ง, โดยโต้แย้งว่า "ใครก็ตามที่ต้องการเอา ประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ไบเบิล, และคำสอนในพระธรรมเก่า, ออกจากโบสถ์หรือโรงเรียน ผู้นั้นได้ทำผรุสวาสต่อพระนามของพระเจ้า, ผรุสวาสต่อแผนการการไถ่กู้ของพระองค์, และทำให้ความคิดอ่านของมนุษย์ตีบตันและจำกัดลงในเรื่องแผนการของพระเป็นเจ้าที่ทรงมีต่อประวัติศาสตร์ของโลก"
สมณสาส์นยังกล่าวยกย่องผู้ที่ปกป้องศาสนาคาทอลิก, "เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายและเป็นมโนธรรมในใจมนุษย์ที่จะต่อต้านความรุนแรง" , และยังได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าสิ่งนั้นเป็นการประจญล่อลวง "ยูดาสถูกล่อลวงให้ละทิ้งความเชื่อ"
สมณสาส์นได้ประณามต่อความพยายามที่จะก่อสร้าง "พระศาสนจักรของชนชาติเยอรมัน" ขึ้นมา
สมณสาส์นกล่าวต่อต้านอย่างรุนแรงต่อ "ความพยายามทุกอย่างที่จะกำจัดความเชื่อพื้นฐานออกไปจากจิตใต้สำนึกและมโนธรรมของมนุษย์" ถนนสายนั้นมุ่งไปสู่ "ความเสื่อมถอยทางจิตใจของสังคมโดยรวมและปัจเจกบุคคล"
หลักการของลัทธินาซีซึ่งบอกว่า "พวกเขามีสิทธิที่จะทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อชาติของตน" , สมณสาส์นก็ได้กล่าวประณามไว้ด้วยในลักษณะพยากรณ์ว่า "หลักการเช่นนั้น, ไม่มีอยู่ในกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม, และมันจะนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศอย่างไม่มีสิ้นสุด"
ส่วนแรกของสมณสาส์นเล่าประวัติเบื้องหลังของสนธิสัญญาระหว่างสันตสำนักกับเยอรมันนีและชี้ให้เห็นถึงความวุ่นวายที่มีมาอย่างต่อเนื่องในพระศาสนจักรและแก่ผู้ที่มีความเชื่อ.
สมณสาส์นยังได้เขียนประณามว่า "ไม่ว่าใครก็ตามที่ชักนำให้เชื่อ,โดยความสับสนของลัทธิที่ผิดหลงว่าพระเป็นเจ้าคือจักรวาล. อันเป็นการลดฐานะของพระเป็นเจ้าให้ต่ำลงเป็นเพียงมิติของโลก, หรือยกให้โลกขึ้นมาเทียมเท่าพระเป็นเจ้า. ผู้นั้นหาใช่ผู้ที่มีความเชื่อในพระเป็นเจ้าไม่"
สมณสาส์นได้ประณามความคิดของผู้ที่ถือลัทธิชาตินิยม. เพราะ "เท่ากับเป็นการบูชารูปเคารพด้วยความงมงายของลัทธิ" , บนแผ่นดินและโลหิตและ "หลงออกนอกลู่นอกทาง, หลงผิดในระเบียบแบบแผนที่พระเป็นเจ้าทรงกำหนดและสร้างขึ้นมา"
สมณสาส์นได้ขีดเส้นใต้ข้อความ "เป็นความผิดพลาดในการอ้างว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าเฉพาะชาติของตนชาติเดียว, และศาสนาก็เป็นเฉพาะของตนชาติเดียว, หรือพยายามที่จะยึดติดกับบุคคลเพียงคนเดียว, ภายใต้จิตใจอันคับแคบถือเชื้อชาติของตนเท่านั้น. พระเป็นเจ้า, พระผู้สร้างแห่งสากลจักรวาล, พระมหากษัตริย์และผู้บัญญัติกฏเกณฑ์สำหรับประชาชาติทั้งมวลทรงยิ่งใหญ่ไม่มีขอบเขต และพวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงฝุ่นธุลีเล็กๆเบื้องพระพักตร์พระองค์"
สมณสาส์นยังกล่าวปกป้องพระคัมภีร์พระธรรมเก่า(ส่วนที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ชาวยิว)อย่างเข้มแข็ง, โดยโต้แย้งว่า "ใครก็ตามที่ต้องการเอา ประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ไบเบิล, และคำสอนในพระธรรมเก่า, ออกจากโบสถ์หรือโรงเรียน ผู้นั้นได้ทำผรุสวาสต่อพระนามของพระเจ้า, ผรุสวาสต่อแผนการการไถ่กู้ของพระองค์, และทำให้ความคิดอ่านของมนุษย์ตีบตันและจำกัดลงในเรื่องแผนการของพระเป็นเจ้าที่ทรงมีต่อประวัติศาสตร์ของโลก"
สมณสาส์นยังกล่าวยกย่องผู้ที่ปกป้องศาสนาคาทอลิก, "เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายและเป็นมโนธรรมในใจมนุษย์ที่จะต่อต้านความรุนแรง" , และยังได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าสิ่งนั้นเป็นการประจญล่อลวง "ยูดาสถูกล่อลวงให้ละทิ้งความเชื่อ"
สมณสาส์นได้ประณามต่อความพยายามที่จะก่อสร้าง "พระศาสนจักรของชนชาติเยอรมัน" ขึ้นมา
สมณสาส์นกล่าวต่อต้านอย่างรุนแรงต่อ "ความพยายามทุกอย่างที่จะกำจัดความเชื่อพื้นฐานออกไปจากจิตใต้สำนึกและมโนธรรมของมนุษย์" ถนนสายนั้นมุ่งไปสู่ "ความเสื่อมถอยทางจิตใจของสังคมโดยรวมและปัจเจกบุคคล"
หลักการของลัทธินาซีซึ่งบอกว่า "พวกเขามีสิทธิที่จะทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อชาติของตน" , สมณสาส์นก็ได้กล่าวประณามไว้ด้วยในลักษณะพยากรณ์ว่า "หลักการเช่นนั้น, ไม่มีอยู่ในกฎเกณฑ์ทางศีลธรรม, และมันจะนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศอย่างไม่มีสิ้นสุด"
ศัตรูหมายเลข 1
คุณพ่อกัมเพลยืนยันหนักแน่นว่า "ถ้อยความแข็งกร้าวที่ต่อต้านลัทธินาซีนั้น เป็นของพระคาร์ดินัลปาเซลลี่(พระสันตปาปาปีอุสที่ 12) และฮิตเลอร์ก็รู้เรื่องนี้ดี. "รู้ดีจนกระทั่งฮิตเลอร์เห็นว่าพระคาลดินัลปาเซลลี่(พระสันตปาปาปีอุสที่ 12)คือศัตรูหมายเลข 1 ของเขา และเขากลัวอำนาจทางด้านจิตใจของท่าน"
คุณพ่อได้แนะนำให้อ่านรายงานข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ La Repubblica ที่ลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, ซึ่งเขียนว่า เอกสารสำคัญที่มาจากทางเยอรมันนีตะวันออกระบุว่า พระสันตปาปาปีอุสที่ 12 เป็นศัตรูของนาซี และ โซเวียตอยู่เบื้องหลังการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12
คุณพ่อบอกว่า "การเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งใดๆเกินเลยกว่าสิ่งที่พระศาสนจักรรู้อยู่แล้ว. แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่เขียนหรือคิดว่า ปาเซลลี เป็น พระสันตะปาปาของฮิตเลอร์.
เวลานี้มีเอกสารอื่นๆที่แสดงถึงความผิดพลาดมากมายในการกล่าวหาพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12. โซเวียตต้องรับผิดชอบในการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12"
ที่มา http://uk.geocities.com/palangjai2004/PopePius.html
Pius XII and the Jews during World War II
http://www.michaeljournal.org/piusXII.htm
คุณพ่อกัมเพลยืนยันหนักแน่นว่า "ถ้อยความแข็งกร้าวที่ต่อต้านลัทธินาซีนั้น เป็นของพระคาร์ดินัลปาเซลลี่(พระสันตปาปาปีอุสที่ 12) และฮิตเลอร์ก็รู้เรื่องนี้ดี. "รู้ดีจนกระทั่งฮิตเลอร์เห็นว่าพระคาลดินัลปาเซลลี่(พระสันตปาปาปีอุสที่ 12)คือศัตรูหมายเลข 1 ของเขา และเขากลัวอำนาจทางด้านจิตใจของท่าน"
คุณพ่อได้แนะนำให้อ่านรายงานข่าวที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ La Repubblica ที่ลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว, ซึ่งเขียนว่า เอกสารสำคัญที่มาจากทางเยอรมันนีตะวันออกระบุว่า พระสันตปาปาปีอุสที่ 12 เป็นศัตรูของนาซี และ โซเวียตอยู่เบื้องหลังการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีพระสันตะปาปาปีอุสที่ 12
คุณพ่อบอกว่า "การเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งใดๆเกินเลยกว่าสิ่งที่พระศาสนจักรรู้อยู่แล้ว. แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่เขียนหรือคิดว่า ปาเซลลี เป็น พระสันตะปาปาของฮิตเลอร์.
เวลานี้มีเอกสารอื่นๆที่แสดงถึงความผิดพลาดมากมายในการกล่าวหาพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12. โซเวียตต้องรับผิดชอบในการรณรงค์ให้ร้ายป้ายสีพระสันตะปาปาปิอุสที่ 12"
ที่มา http://uk.geocities.com/palangjai2004/PopePius.html
Pius XII and the Jews during World War II
http://www.michaeljournal.org/piusXII.htm
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
น่าสงสารพ่อเราเนอะ
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
เพียงพระองค์ทรงรู้ผู้เดียว เพียงพอ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
พระเจ้ายิ่งใหญ่ครับ ไม่มีใครสามารถทำอะไรพระองค์ได้แน่นอน