.........................พรหมจารีและมรณสักขี
..........................ฉลองวันที่ 5 กุมภาพันธ์
............................

องค์อุปถัมภ์ภัยจากภูเขาไฟ และไฟไหม
นักบุญอากาทา เกิดจากครอบครัวมีตระกูลที่เกาะซิซีลี ชาวคาทาเนียและชาวปาเลอร์ม ต่างก็แย่งเกียรติภูมิให้เป็นที่เกิดของเธอ อากาทาขึ้นชื่อเด่นด้านความสวยงาม และความบริสุทธิ์
ควินเตียน รองผู้สำเร็จราชการจึงแสดงความจำนงมาสู่ขอเธอเป็นภรรยา แต่เธอตอบปฏิเสธ ควินเตียน จึงสั่งจับเธอในฐานะเป็นคริสตัง และใช้นางอาฟรอดิสหญิงชั่วคนหนึ่งมาล่อลวงให้เธอเสียความบริสุทธิ์ แต่ทว่าไร้ผล จึงสั่งให้ตบหน้าเธอและขังไว้ในคุกมืด เขานำเธอมาทรมานอย่างโหดร้าย แต่เมื่อเธอกลับไปห้องขัง นักบุญเปโตรอัครสาวก ได้ประจักษ์มารักษาแผลของเธอให้หายอย่างอัศจรรย์ ต่อมาเธอได้ถูกทรมานอีกและสิ้นใจ เธอได้รับมงกุฎเป็นมรณสักขีในคุกที่เมืองคาทาเนีย สมัยจักรพรรดิเดซีอุส
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าภูเขาไฟเอตนาส่งเสียงคำรามและระเบิด พ่นเถ้าถ่านและลาวาออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว ชาวเมืองได้รีบไปเอาผ้าที่ปกคลุมคูหานักบุญอาทากา มาขึงต่อหน้าลาวาที่กำลังไหลบ่ามาท่วมเขา อัคคีภัยนั้นก็หยุดทันที ชาวเมืองจึงนับถือท่านนักบุญเป็นองค์อุปถัมภ์ช่วยป้องกันภัยจากภูเขาไฟ เขายังอ้อนวอนขอเธอเมื่อเกิดไฟไหม้ด้วย

ข้าแต่พระเป็นเจ้า ผู้ทรงสรรพานุภาพ และทรงชีวิตนิรันดรพระองค์ได้ทรงเลือกสรรผู้ซึ่งในสายตาของโลกเห็นว่าเป็นคนอ่อนแอ และทรงบันดาลให้เขาเข้มแข็งจนผู้ที่มีกำลังต้องอับอาย ขอโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้มีความเชื่ออันเข้มแข็งและชนะศัตรู เยี่ยงนักบุญอากาทาพรหมจารีและมรณสักขี ด้วยเทอญ

นักบุญอักแนส เกิดที่กรุงโรม เมื่อหนูอักแนส อายุเพียง 12 ขวบเท่านั้น เธอถูกนำไปให้ยืนอยู่ต่อหน้ารูปปั้นพระ “มีเนวา” ในกรุงโรม เพื่อถวายกำยาน แต่เธอกลับชูมือขึ้นกราบนมัสการพระเยซูคริสตเจ้าและทำเครื่องหมายกางเขน พวกทหารจึงได้รวบมือทั้งสองของเธอมาใส่กุญแจ แต่เนื่องจากข้อมือของเธอเล็กเกินไป ทำให้กุญแจกับโซ่หลุดลงไปกองกับพื้น

พวกเขาได้จับเธอเปลื้องเสื้อและให้ยืนอยู่ในถนนเพื่อประจาน ขณะที่ประชาชนเบือนหน้าหนีจากร่างของเธอ ปรากฏว่ามีหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งบังอาจมองเธอด้วยความคิดชั่ว ทันใดเกิดสายฟ้าแลบฟาดลงมา ทำให้ชายนั้นตาบอดทันที
อักแนส ได้ถูกบังคับให้แต่งงานกับเศรษฐีหนุ่มชื่อ ปรอก๊อบบุตรของแซมปรอนีอุส ผู้มีตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงโรม แต่เธอกล่าวว่า “พระคริสตเจ้าทรงเป็นสามีของดิฉัน และดิฉันก็เป็นของพระองค์ พระองค์ประดับวิญญาณของดิฉันด้วยเพชรพลอยแห่งคุณธรรม และพระคุณอานิสงส์อันประเสริฐ” ปรอก๊อบคิดว่าเธอมีชายอื่นในดวงใจ จึงบอกกับบิดาขอให้จับเธอไปขังไว้ในบ้านหญิงโสเภณี ที่นั่นมีเทวดาองค์หนึ่งคอยพิทักษ์เธอไว้
เมื่อปรอก๊อบเข้ามาหาเธอเขาก็ตายโดยกระทันหัน อักแนสทำอัศจรรย์ให้ปรอก๊อบคืนชีพ เขาจึงกลับใจ แต่พ่อของเขาได้สั่งให้จับอักแนสไปประหารชีวิต อักแนสสวดภาวนาอยู่นาน แล้วก้มศีรษะรอรับคมดาบ แต่เพชฌฆาตเกิดอาการลังเล เธอจึงบอกเตือนให้เขาทำตามหน้าที่จนสำเร็จ สัตบุรุษได้สร้างวัดเซนต์อักแนสไว้ที่นอกกำแพงเมือง เพื่อเป็นอนุสรณ์ไว้คอยเตือนใจหญิงสาวคาทอลิกที่จะต้องรักษาธรรมเนียมคริสตัง
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสรรพานุภาพ และทรงชีวิตนิรันดร พระองค์ได้ทรงเลือกสรรผู้ซึ่งในสายตาของโลกเห็นว่าเป็นคนอ่อนแอ และทรงบันดาลให้เขาเข้มแข็งจนผู้ที่มีกำลังต้องอับอาย ขอโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้มีความเชื่ออันเข้มแข็งและชนะศัตรูเยี่ยงนักบุญอักแนสพรหมจารีและมรณสักขีด้วยเทอญ

..............นักบุญเซซีลีอา
..............พรหมจารี และมรณสักขี
...............ฉลองวันที่ 22 พฤศจิกายน
องค์อุปถัมภ์นักดนตรี

เราไม่ทราบรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับนักบุญองค์นี้แต่ก็มีเรื่องที่เล่าต่อ ๆ กันมาว่า เซซีลีอามาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง เธอได้ปฏิญาณถือพรหมจารีตั้งแต่วัยเด็ก แต่ในบ้านมีเธอคนเดียวเป็นคริสตัง เธอจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับหนุ่มนอกศาสนาชื่อวาเลเรียน ค่ำวันแต่งงานเธอบอกกับวาเลเรียนว่า “คุณรู้ไว้เถิดว่าดิฉันเป็นคริสตัง และพระเยซูเจ้าเป็นพระสวามีแต่ผู้เดียวของฉัน ถ้าคุณอยากอยู่กับฉัน ก็ต้องเคารพศีลพรหมจรรย์ของดิฉัน ดิฉันมีอารักขเทวดาองค์หนึ่งคอยป้องกันเสมอ”
...วาเลเรียนประกาศว่า “เขาจะเชื่อถึงพระคริสตเจ้าถ้าเขาได้เห็นเทวดาองค์นั้น เซซีลีอาจึงยืนยันว่าถ้าไม่รับศีลล้างบาปเสียก่อนก็มิอาจเห็นเทวดาได้ เธอได้บอกวาเลเรียนให้ไปเฝ้าพระสันตะปาปาอูรแบ็ง ในกาตากอมบ์ เนื่องจากเป็นสมัยที่มีการเบียดเบียน พระสันตะปาปาได้โปรดศีลล้างบาปให้ และเมื่อกลับไปวาเลเรียนก็แลเห็นเทวดาเปล่งรัศมีรุ่งเรืองอยู่ใกล้ ๆ เซซีลีอาผู้ถือพรหมจรรย์

วาเลเรียนได้ชักชวนตีบูรซ์น้องชายของเขาให้มาเป็นคริสตัง เซซีลีอาได้สอนคำสอนให้ตีบูรซ์ และเมื่อตีบูรซ์ได้รับศีลล้างบาปแล้ว เขาก็แลเห็นอารักขเทวดาของเซซีลีอาเช่นเดียวกับพี่ชายของตน
เมื่อเจ้าเมืองได้ทราบเรื่องนี้จึงสั่งให้จับ 2 พี่น้องไปฆ่า เซซีลีอาปฏิเสธที่จะกราบไหว้บูชาพระเท็จเทียม เธอถูกบีบคอและนำไปรนด้วยไอน้ำเดือด แต่เธอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ที่สุดเขาจึงมีคำสั่งให้นำเธอไปตัดศีรษะ เพชรฆาตลงดาบถึง 3 ครั้งแต่ศีรษะเธอมิได้หลุดจากบ่า เธอได้รับบาดแผลฉกรรจ์ แต่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 3 วัน เธอได้ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่พระศาสนจักรเพื่อทำประโยชน์ และได้รับศีลมหาสนิทก่อนสิ้นใจในปี 117
ศพของเซซีลีอาถูกฝังไว้ในอุโมงค์ใต้ดินเรียกว่า “กาตากอมบ์” และได้รับการเชิญไปฝังไว้ในพระวิหารนักบุญเซซีลีอา ที่กรุงโรม ในปี 1599 เมื่อเปิดหีบศพออกดูปรากฏว่าร่างกายของเธอมิได้เปื่อยเน่าไปเลย
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงโปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้วอนขอต่อพระองค์ทางนักบุญเซซีลีอาโปรดฟังคำอธิษฐานภาวนาของข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยเทอญ
.......................นักบุญลูซีอา
.........................พรหมจารีและมรณสักขี
.........................(ต้นศตวรรษที่ 4) ฉลองวันที่ 13 ธันวาคม

ลูซีอา ชื่อของเธอแปลว่า " แสงสว่าง "
ในวัยเด็ก ลูซีอา ได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้า หนุ่มเศรษฐีคนหนึ่งมาขอแต่งงานกับเธอและได้รับการปฏิเสธจึงโกรธมาก เขาจึงไปบอกกล่าวต่อทางการว่าลูซีอาเป็นคริสตชน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 304 เจ้าเมืองพยายามขู่เข็ญบังคับให้ลูซีอาละทิ้งความเชื่อในพระคริสตศาสนา เขาได้ถามเธอว่า “พระจิตสถิตอยู่ในตัวเธอหรือ ?” เธอตอบว่า “ผู้ใดที่มีใจบริสุทธิ์ก็เป็นที่สถิตของพระจิตเจ้า” เขาได้จุดกองไฟรอบตัวเธอ เพื่อว่าเมื่อเธอทนความร้อนจัดไม่ได้ก็จะละทิ้งความเชื่อด้วยความจำยอมแต่เธอก็ไม่ได้รับอันตราย และในที่สุดเขาได้ใช้ดาบแทงอกเธอ แต่เธอก็มิได้ตายในทันที จนกระทั่งพระสงฆ์มาโปรดศีลมหาสนิทให้ ลูซีอาได้รับการยกย่องนับถือจากประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานเกี่ยวกับโรคตา
ชื่อเสียงของนักบุญลูซีอา เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากในเกาะซิซีล ี เป็นต้นที่เมืองซีราคูซาและที่เมืองนี้เองที่นักโบราณคดีได้ค้นพบร่องรอยที่ทำให้สามารถยืนยันได้ว่า การเคารพให้เกียรตินามนักบุญองค์ นี้ได้เริ่มมีมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 5 แล้ว การค้นพบดังกล่าวก็คือมีตัวหนังสือบนหลุมฝังศพของเธอและในกาตากอมบ์ เนื่องจากการเคารพให้เกียรติเธอนั้นแพร่หลายมาก พระศาสนจักรโรมันจึงได้ใส่ชื่อของเธอในบทภาวนาอนุโมทนาคุณโรมันด้วย ซึ่งเชื่อว่าคงจะเป็นผลงานของนักบุญเกรโกรี่องค์ใหญ่
ข้าแต่พระผู้เป็นเข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายมาวอนขอต่อนักบุญลูซีอาผู้พรหมจารีและมาร์ตีร์ เป็นผู้เสนอแทนเพื่อข้าพเจ้าทั้งหลายจะนิยมยินดีในคุณธรรม ยิ่งกว่าสรรพสิ่งแห่งโลกและเทิดพระเกียรติองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง
เพลง Santa Lucia
........................เรื่องของเพลง .......................
ซานตา ลูเชีย เป็นเพลงที่มีชื่อเสียงของเนเปิ้ล เป็นเพลงพื้นบ้านนาโปลีแตน ซึ่งอุทิศให้กับ ชุมชนซานตา ลูเชีย แห่งอ่าวเนเปิ้ล ซึ่งได้รับการยกย่องไว้อย่างสวยงามในบทเพลงนี้ว่าเป็นดินแดน แห่งดินศักดิ์สิทธ์ ยิ้มแย้มแจ่มใส โดยผู้สร้าง ซานตา ลูเชีย ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนแห่งดนตรี
เพลงนี้ถูกเรียบเรียงโดย TeodoroCottrau (1827 – 1879) และจัดจำหน่าย โดยบริษัท Cottrauในปี 1849 ที่เนเปิ้ล Cottrau แปลมันมาจากเพลง Napuletano เป็นภาษาอิตาเลี่ยน ซึ่งถือว่าเป็นเพลงแรกของนาโปลีแตนที่เป็นภาษาอิตาเลี่ยน ผู้ที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้แต่งคือ Guillaume Louis Cottrau (1797 – 1847) ซึ่งเกิดในฝรั่งเศส และ เป็นนักแต่งเพลงและสะสมเพลงมากมายในสมัยนั้น
บทเพลงนี้กล่าวถึง วิวทิวทัศน์ของฉากน้ำหน้าชุมชนซานตา ลูเชีย ในอ่าวเนเปิ้ล บทเพลงเป็นการเชื้อเชิญของชาวเรือให้ลงเรือเพื่อชมความงามยามสนธยาอันแสนโรแมนติค
ในตำนานของเมือง Syracuse(Siracusa) บนเกาะซิซิลี ทางใต้ของอิตาลี เล่ากันว่า “มีเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อLucia เกิดเมื่อปี 283 ในครอบครัวซิซิเลี่ยนผู้มั่งคั่ง เธอคิดอยู่เสมอว่า เมื่อเธอโตขึ้นเธอจะเลือกเดินตามรอยของ St.Agatha ซึ่งเป็นเทพอุปถัมภ์และเป็นที่นับถือของเมืองใกล้เคียงดังนั้น เธอจึงตั้งปฏิธานที่จะรักษาพรมจรรย์ไว้และอุทิศทรัพย์สมบัติให้กับผู้ขัดสนยากไร้
Lucia หมายถึง แสงสว่าง เธอเกิดอยู่ในช่วงเวลาที่ชาวคริสเตียนถูกไล่ฆ่าโดยทหารโรมัน ในศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่เหตุนี้ก็ไม่สามารถขัดขวางเธอในการที่เข้าไปช่วยเหลือโดย การนำอาหารไปให้ชาวคริสเตียนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน โดยที่เธอจะสวมพวงมาลัยพร้อมถือเทียนไขส่องสว่างในขณะที่นำอาหารเข้าไปให้ผู้คน

หลักจากการตายของ Lucia ได้เกิดทุพภิกขภัย อดอยากไปทั่วดินแดนเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ต่อมาในปี 1582 ประชาชนชาว Syracuse ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า จนกระทั่งได้รับคำตอบได้สวรรค์ เมื่อมีเรือลำหนึ่งปรากฏขี้นที่ท่าเรือของวันที่ 13 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันที่ Lucia เสียชีวิต เรือลำนั้นเต็มไปด้วยเมล็ดข้าว ซึ่งชาว Syracuse สามารถนำมาประทังชีวิตได้สืบไป….เป็นผลพวงจากการพร่ำสวดหา “Lucia” และเช่นเดียวกับเทพองค์อื่นๆ ย่อมทีตำนานเล่าขนไปต่างๆนานา บ้างก็ว่า Lucia เป็นหญิงตาบอด แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธาที่เธอมีต่อพระเจ้า ทำให้เธอสามาถทำให้เธอมองเห็นได้อีกครั้ง และเธอต้องถูกไล่ล่าจากศรัทธาที่เธอมีต่อพระศริสต์นั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นตำนานใดๆ ก็ตาม มักจะกล่าวขวัญถึง Lucia ว่าเป็นคนกล้าหาญ มีความเมตตาและเป็นคนพิเศษที่นับถือกันอย่างกว้างขวางไปทั่วดินแดน
ภาพของ Luciaถูกวาดเอาไว้มากมาย เป็นภาพของหญิงถือจานที่มีดวงตาคู่หนึ่งบนจานและนี่คือเหตุผลที่ทำให้เธอเป็น “เทพผู้อุปถัมภ์คนตาบอด”
สำหรับในงานฉลองรำลึกถึง Santa Lucia ถูกจัดแตกต่างกันไปทั่วทั้งอิตาลี ในซิซิลี เขาจะจัดกองไฟสุมอยู่กลางแจ้ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงแต่จะงดเว้นการกินขนมปังและพ้าสต้า ส่วนทางตอนเหนือของอิตาลี เด็กๆจะเอาแครอทและหญ้าเฮย์ให้ลากิน เพราะเชื่อว่า Santa Lucia จะนำเอากระเป๋าซึ่งเต็มไปด้วยของขวัญมามอบให้ ในปัจจุบัน เชื่อกันว่า Santa Lucia เป็นเทพอุปถัมภ์ของ Syracuse เกาะซิซิลีในประเทศสวีเดน มีการเฉลิมฉลองและรำลึกถึง Santa Lucia อย่างมาก ตำนานของ Santa Lucia แพร่เข้ามาในสวีเดนผ่านทางผู้สอนศาสนาและพวกชาวประมงที่เดินทางไปทั่ว

ทั้งอิตาลี เชื่อกันว่า Santa Lucia เป็นผู้ที่นำความมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์ มาสู่สวีเดน คล้ายๆกับเรื่องเล่าที่ Syracuse ยามเมื่อเกิดทุพภิกขภัย สตรีในชุดขาวพร้อมรัศมีที่เปล่งประกายบนศีรษะจะปรากฏ กายบนเรือที่เต็มไปด้วยพืชผล ความอุดมสมบูรณ์มาให้ชาวสวีดิชในยามทุกข์ยาก
ในสวีเดนจะมีเทศกาลเฉลิมฉลอง ทุกวันที่ 13 ธันวาคม ครอบครัวใดมีลูกสาวคนโตก็จะให้สวมชุดยาวสีขาว พร้อมสายสะพายสีแดงและสวมมงกุฎแห่งแสงสว่าง ถือถาดใส่อาหารและกาแฟ มาให้แก่คุณพ่อคุณแม่ของเธอ แต่ถ้ามีเด็กชายในครอบครัวก็จะให้แต่งชุดโบราณที่ใช้แสดงละคร สวมหมวกทรงสูงรูปกรวยประดับดาวสีทอง และมีขบวนพาเหรดจัดขึ้นทั่วประเทศ รวมถึงการประกวด เทพธิดา Santa Lucia ด้วย ซึ่งปรากฏว่ามีหญิงสาวพากันประกวดอย่างมากมายเพื่อที่จะพิชิตมงกุฏ แห่ง Santa Lucia


ฟีโลมีนา มาจากครอบครัวที่มีฐานะดี บิดาของท่านเป็นผู้ปกครองมณฑลนิโคโปลิส พีโลมีนาเป็นความเบิกบานของครอบครัว เธอติบโตด้วยความรักต่อองค์พระคริสตเจ้าอย่างล้นดวงใจ เธอได้รับการอบรมสั่งสอนศาสนาจากผู้ดูแล เธอถือศีลความบริสุทธิ์และสัญญาว่าจะรักแต่พระองค์เท่านั้น
ในปี ค.ศ.302 ผู้ปกครองโรมได้ทำการเบียดเบียนคริสตชนอย่างรุนแรง และกำลังขยายมาถึงมณฑลนิโคโปลิส บิดาไม่อยากให้มีการนองเลือดจึงต้องไปทำพันธมิตรกับผู้ปกครองของโรม ขณะนั้น ฟีโลมีนาอายุได้เพียง 13 ปี
ที่กรุงโรมก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีและเพราะความงามของฟีโลมีนา เป็นที่ปรารถนาของท่านผู้ปกครองโรม ท่านมีอำนานจและมีกำลังทหารมากกว่า จึงยื่นข้อเสนอขอตัวฟีโลมีนามาเป็นภรรยาอีกคน ซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการฆ่า และเบียดเบียนคริสตขน แต่ฟีโลมีนากล่าวว่า “ดิฉันนมัสการพระคริสตเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว” “หนูไม่มีวันจะแต่งงานกับใครได้ทั้งนั้น เพราะหนูสัญญาว่าจะรักแต่พระเยซูเจ้าเพียงผู้เดียว” ...เป็นที่วิตกยิ่งนัก เพราะการปฏิเสธนี้อาจนำมาซึ่งสงครามและความตายของตัวเอง...ความโกรธ เกลียดแค้น และการทรมานเริ่มขึ้น ฟีโลมีนาถูกจับไปขังคุก โบยตีอย่างหนัก แต่สาวน้อยฟีโลมีนา ยังมั่นคงในความเชื่อความรักที่มีต่อพระเป็นเจ้า

ในคืนนั้นผู้ปกครองโรม ให้นำฟีโลมีนาไปโยนทิ้งทะเล เธอถูกมัดมือมัดเท้า และเอาสมอเรือถ่วงที่คอของเธอและโยนลงทะเล ทันใดนั้นเองมีเทวดาของพระเจ้ามาตัดเชือกและช่วยเธอเอาไว้
วันสุดท้าย ณ ลานประหาร ผู้ปกครองโรมได้กล่าวท้าทายฟีโลมีนาอีกว่า “ถ้าเยซูชาวนาซาเร็ธที่เจ้านับถือสามารถช่วยเจ้ามิให้หัวหลุดจากบ่าได้ เราจะนับถือเขาเช่นกัน” ฟีโลมีนาตอบว่า “องค์พระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำอัศจรรรย์หลายอย่างทั้งที่ท่านเห็นด้วยตา แต่ท่านก็ไม่เชื่อในพระองค์ แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ท่านจะมาท้าทายพระองค์พระเป็นเจ้าอีกเล่า” ที่สุดฟีโลมีนา สิ้นใจด้วยคมขวานจากเพชรฆาต
......



