ฉลองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย

วันระลึกถึงนักบุญ 365-6วัน ประวัตินักบุญ และวันฉลองสำคัญของคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
fukky
โพสต์: 34
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 27, 2011 12:53 pm

อาทิตย์ มี.ค. 27, 2011 4:45 pm

ฉลองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย


หนังสือ"วันฉลองของพระเยซูเจ้า"


สำหรับพระศาสนจักรตะวันออก วันที่ 6 สิงหาคม เป็นฉลองปัสกาของภาคฤดูร้อน เพราะเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ได้ทรงจำแลงพระวรกายของพระองค์ดังที่ได้มีเล่าในพระวรสาร มธ.17 :1-7 มก.9 : 2-8 ลก.9:28-36 ว่า "หกวันต่อมาพระเยซูเจ้าตรัสเรียกเปโตร ยากอบ และยอห์น ให้ตามพระองค์ไปบนภูเขา พระองค์ทรงจำแลงพระกายประจักษ์แก่สาวกทั้ง 3 ฉลองพระองค์เป็นประกายขาวรุ่งโรจน์ จนว่าไม่มีคนซักผ้าใดๆ ในโลก ซักให้ขาวสวยเหมือนได้ แล้วเอลียาห์กับโมเสสได้ประจักษ์แก่พวกเขา ทั้งสองสนทนากับพระเยซูเจ้า เปโตรจึงทูลพระองค์ว่า "พระอาจารย์ อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว เราจะปลูกพลับพลาขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส และหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์" เปโตรไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะสาวกทั้งสามพิศวงตกใจ ก็พอดีมีเมฆก้อนหนึ่งมาปกคลุม และมีเสียงหนึ่งดังมาจากเมฆว่า "ท่านผู้นี้คือบุตรสุดที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด"

ฉับพลันนั้นสาวกมองไปรอบๆ ก็ไม่พบผู้ใด นอกจากพระเยซูเจ้าประทับอยู่ผู้เดียวกับเขา" (มก.9:2-8)

ในการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้าบนภูเขาทาบอร์นั้น พระองค์ได้ทรงแสดงพระองค์เองในความรุ่งเรืองสุกใสทั้งครบแห่งชีวิตพระที่มีอยู่ในพระองค์ ให้สานุศิษย์ทั้ง 3 องค์ได้แลเห็น ความรุ่งเรืองสุกใสนี้เป็นพียงแต่บทนำของความรุ่งเรืองสุกใสของพระองค์ในคืนวันปัสกาเท่านั้น คือที่พระองค์ได้ทรงกลับคืนชีพ และที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่เราโดยบันดาลให้เราเป็นบุตรของพระเป็นเจ้า ดังนั้นชีวิตคริสตชนของเราจึงเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ในพระคริสตเจ้า จนกว่าจะถึงรูปแบบของการประจักษ์พระวรกายของพระสวามีเยซูคริสตเจ้าผู้รุ่งเรืองสุกใส

"บนภูเขา พระเยซูเจ้าทรงไขแสดงธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับสวรรค์ แก่บรรดาสาวกของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเจริญพระชนม์อยู่ ในท่ามกลางพวกเขาพระองค์ได้ตรัสถึงอาณาจักรสวรรค์ และการเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สองของพระองค์ ซึ่งจะเสด็จมาพร้อมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา แต่เพื่อขจัดความสงสัย อันอาจเกิดขึ้นได้ในจิตใจของพวกเขา และเพื่อทำให้พวกเขามีความเชื่อมั่นคง ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระองค์ยังคงไขแสดงให้พวกเขาได้เห็นนิมิตอันน่าพิศวง เกี่ยวกับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ซึ่งก็คือการแสดงให้เห็นล่วงหน้า ถึงพระอาณาจักรสวรรค์นั่นเองดูเหมือนพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า " เมื่อเวลาผ่านไปท่านอาจจะตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นสูญเสียความเชื่อ เพื่อจะช่วยท่านให้รอดพ้นจากสิ่งนี้ เราขอบอกท่านเสียแต่บัดนี้ว่า บางคนในพวกท่านที่อยู่กับเราและกำลังฟังเรา ณ ที่นี้จะไม่ได้ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาพร้อมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา" ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นการยืนยันให้เรามั่นใจว่า พระคริสตเจ้าทรงมีอำนาจที่จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปดังที่ตรัสไว้ ถ้าพระองค์ปรารถนา ผู้นิพนธ์พระวรสารได้กล่าวต่อไปว่า "หกวันต่อมาพระเยซูเจ้าทรงนำ เปโตร ยากอบ และยอห์นผู้น้อง ขึ้นภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนแปลงไป ต่อหน้าพวกเขาพระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวดุจแสงสว่าง ท่านโมเสสและเอลียาห์ ปรากฏมาสนทนากับพระองค์"

นี่คือธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับสวรรค์ และข้าพเจ้ากล้าพูดได้ว่า บัดนี้เราต้องติดตามพระองค์ ด้วยความรีบเร่ง เป็นเราเองที่ต้องปรารถนาจะได้เห็นนิมิตแห่งสวรรค์ และปรารถนาจะมีส่วนในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เราต้องฟื้นฟูชีวิตฝ่ายวิญญาณ เปลี่ยนแปลงให้ละม้ายคล้ายคลึงกับพระองค์ เพื่อจะทำให้เราเป็นผู้มีส่วนร่วมตลอดไปในพระองค์ ผู้ทรงเป็นศรีษะ และทรงยกเราขึ้นสู่ที่สูงซึ่งเราไม่อาจแม้แต่จะใฝ่ฝันถึง

ให้เราเร่งติดตามพระองค์ไป ด้วยความวางใจ และชื่นชมยินดี ที่จะได้เข้าสู่กลุ่มเมฆ เช่นเดียวกับท่านโมเสส และเอลียาห์ หรือเช่นเดียวกับท่านยากอบและยอห์น ให้เราเป็นเช่นเปโตร ที่ประทับใจในนิมิตแห่งสวรรค์และได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยอาศัยการประจักษ์พระวรกาย ที่เปี่ยมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ในครั้งนั้น เราจงละทิ้งและถอยห่างจากไปโลก เจริญชีวิตอยู่เหนือร่างกาย ตัดขาดจากสิ่งถูกสร้าง และหันไปหาพระผู้สร้าง ซึ่งท่านเปโตรได้ร้องทูลต่อพระองค์ ด้วยความปิติยินดีว่า "พระอาจารย์" วิเศษจริงที่พวกราได้มาอยู่ที่นี่"

ท่านเปโตรพูดถูกแล้วว่า อยู่ที่นี่ดีจริงๆ เป็นการดีที่จะอยู่กับพระเยซูเจ้า เป็นการดีที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป จะมีความสุขใดที่ยิ่งใหญ่ หรือมีเกียรติมงคลใดที่สูงกว่าการได้อยู่กับพระเป็นเจ้า ได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้ละม้ายคล้ยกับพระองค์และมีชีวิตอยู่ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์กระนั้นหรือ ?

เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีพระเป็นเจ้าครอบครองอยู่ในจิตใจของเราและได้ถูกเปลี่ยนแปลง ให้เป็นพระฉายาลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เราควรร้องด้วยความชื่นชมยินดีเช่นกันว่า "วิเศษจริงที่พวกเราได้มาอยู่ที่นี่" ที่นี่คือที่ซึ่งทุกสิ่งสะท้อนแสงแห่งความรุ่งโรจน์ของสวรรค์ ที่ซึ่งมีความชื่นชม ความปิติเบิกบานใจ และความปลาบปลื้มยินดี ที่ซึ่งไม่มีสิ่งใดในจิตใจของเรานอกไปจากสันติสุข ความสงบ และความเงียบ ที่ซึ่งเราจะได้แลเห็นพระเป็นเจ้า เพราะนี่คือวิญญาณของเราเอง พระเป็นเจ้าทรงทำให้เป็นพระนิเวศน์ของพระองค์ ร่วมกับพระบิดา และพระองค์ตรัสในขณะที่เสด็จเข้าสู่วิญญาณว่า "วันนี้ความรอดได้มาสู่บ้านนี้แล้ว"

การฉลองการจำแลงพระวรกายของพระเยซูคริสตเจ้าในพระศาสนจักรตะวันตกนั้นเป็นพระสันตะปาปากัลลิตุสที่ 2 ได้ทรงนำเข้ามาในปี 1456

แสงสว่างหรือความสว่างเป็นรูปแบบของการร่วมในความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะทำให้เรามนุษย์สามารถมีความรู้และความเข้าใจซึ่งกันและกันได้อย่างดี โดยนัยนี้เราจึงนำมาใช้เปรียบเทียบกับศีลมหาสนิท ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความหมายมากที่สุดของรูปแบบของแสงสว่างนี้ นักบุญยอห์น อัครธรรมทูต ในหนังสือวิวรณ์เป็นหนังสือพิธีกรรมชั้นเลิศ บรรยายพระเยซูเจ้าว่าเป็นเหมือน "ดาวรุ่งที่ส่องสว่างสุกใสของยามเช้าตรู่ (วว.2,28;22,16) พระคริสตเจ้าทรงเป็นท่อธารที่ประทานให้กับพระศาสนจักรเพื่อให้พระศาสนจักรได้ชำระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ ให้กลับใจ ทั้งประทานให้กับคริสตชนแต่ละคน ซึ่งได้ทำการชำระล้าง้สื้อผ้าอาภรณ์ของตนให้ขาวสะอาดผุดผ่องในพระโลหิตของพระชุมพาน้อย และได้ดำเนินรอยตามพระคริสตเจ้าในชุดสีขาวบริสุทธิ์นี้

ที่มา http://www.catholic.or.th/spiritual/art ... ti039.html
ตอบกลับโพส