มรณสักขีแห่งดรีนาคือใคร?
มรณสักขีแห่งดรีนา คือ บรรดาซิสเตอร์จากคณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรมจำนวนทั้งสิ้น 5 ท่าน ที่ถูกฆ่าตายโดยกลุ่มเซตนิกในปี ค.ศ.1941 ที่เมืองโกรัชเด ในรัฐบอสเนียนพอดรินเย ทางภาคตะวันออกขอประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ในกลุ่มซิสเตอร์เหล่านั้นมีทั้งชาวโครเอเชีย ชาวสโลวีเนีย และชาวออสเตรีย แต่ก่อนอื่นใดที่จะมาทำความรู้จักกับบรรดาบุญราศีเหล่านี้ เราควรรู้คร่าวๆถึงสภาพเหตุการณ์ในเวลานั้นเสียก่อน
ห้าบุพผาแห่งบอสเนีย - มรณสักขีแห่งดรีนา
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
เหตุการณ์เวลานั้นโดยย่อ
ในปี ค.ศ.1941 กองทัพอักษะ(ฝ่ายนาซี) มีชัยเหนือประเทศยูโกสลาเวีย บรรดาพระราชวงศ์ที่เคยเรืองอำนาจจึงต้องลี้ภัยออกจากประเทศ ดังนั้นนาซีจึงดำเนินแผนงานขั้นต่อไปก็คือการลบประเทศยูโกสาเวียออกจากแผนที่ โดยยืมมือจากชาวยูโกสลาเวียเอง ซึ่งบัดนั้นกำลังแตกแยกกันออกเป็นฝักฝ่ายจากเรื่องเชื้อชาติ หนึ่งในนั้นคือ กระบวนการอุสตาซี ภายใต้ผู้นำ “หุ่นเชิดของนาซี” ชื่อ อันเต ปาเวลิช ที่ได้ใช้โอกาสนี้ประกาศอิสรภาพให้แก่ประเทศโครเอเชีย
หลังจากนั้นกระบวนการอุสตาซีก็ได้ดำเนินโยบายฆ่าล้างชาวเซอร์เบีย ยิว และโรมาเนีย เพื่อคงไว้แต่สายเลือดโครเอเชียแท้ๆเท่านั้น โดยเฉพาะชาวเซอร์เบียที่ขณะนั้นคิดเป็นร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ที่ถูกตกเป็นเป้าหมายของการสังหารหมู่จากกลุ่มอุสตซี เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินมาเรื่อย จนถึงจุดที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงกลางปีเดียวกัน อักษรซีรีล วัด และโรงเรียนของคริสชนออร์โธดอกซ์ถูกสั่งปิด ชาวเซอร์เบียทุกคนถูกบังคับให้สวมปลอกแขน เวลานั้นมี 1 ใน 3 ถูกฆ่า 1 ใน 3 ถูกขับไล่ และ 1 ใน 3 ถูกให้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก ไม่เพียงเท่านั้นพวกอุสซาตียังได้สร้างค่ายกักกันขึ้นเพื่อขังชาวเซอร์เบียจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะถูกทำร้าย ถูกปล่อยให้อดอยาก และถูกฆ่า
แต่กระนั้นท่ามกลางการข่มเหงนี้ก็ได้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านสองกลุ่มออกมา นั่นคือ กลุ่มของโยซิป โบรช ที่มีจุดหมายในการดำเนินนโยบายสังคมนิยม และกลุ่มของนายพลดราจา มิโฮโลวิช ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาประเพณีของเซอร์เบียและของพระมหากษัตริย์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ชิงชังชาวโครเอเชียและลัทธิสังคมนิยมมาก นโยบายกลุ่มนี้คือการ “ป้องกันตัวจากพวกอุสตาซีและแก้แค้นชาวโครเอเชียและชาวมุสลิม”
จนลุถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน กลุ่มเชตนิกก็เข้าคุมเมืองโกรัชเด หลังจากนั้นอีกสองวันถัดมาดันกิซก็ได้เดินทางมากล่าวสุนทรพจน์ที่จัตุรัสกลางเมืองท่ามกลางชาวเซอร์เบีย ชาวโครเอเชีย และชาวมุสลิมบอสเนีย ในตอนท้ายเขาได้ประกาศว่าชาวเซอร์เบียไม่อาจอยู่รวมกับชาวมุสลิมได้อีกต่อไป ดังนั้นนับแต่นั้นมากลุ่มเชตนิกก็เริ่มกระจายไปอยู่ทุกหัวมุมเมือง พวกเขาเริ่มฆ่า เริ่มออกข่มขืน เริ่มออกปล้นสะดมและเริ่มเผาบ้านเรือนของประชาชนจำนวนมาก
ในปี ค.ศ.1941 กองทัพอักษะ(ฝ่ายนาซี) มีชัยเหนือประเทศยูโกสลาเวีย บรรดาพระราชวงศ์ที่เคยเรืองอำนาจจึงต้องลี้ภัยออกจากประเทศ ดังนั้นนาซีจึงดำเนินแผนงานขั้นต่อไปก็คือการลบประเทศยูโกสาเวียออกจากแผนที่ โดยยืมมือจากชาวยูโกสลาเวียเอง ซึ่งบัดนั้นกำลังแตกแยกกันออกเป็นฝักฝ่ายจากเรื่องเชื้อชาติ หนึ่งในนั้นคือ กระบวนการอุสตาซี ภายใต้ผู้นำ “หุ่นเชิดของนาซี” ชื่อ อันเต ปาเวลิช ที่ได้ใช้โอกาสนี้ประกาศอิสรภาพให้แก่ประเทศโครเอเชีย
หลังจากนั้นกระบวนการอุสตาซีก็ได้ดำเนินโยบายฆ่าล้างชาวเซอร์เบีย ยิว และโรมาเนีย เพื่อคงไว้แต่สายเลือดโครเอเชียแท้ๆเท่านั้น โดยเฉพาะชาวเซอร์เบียที่ขณะนั้นคิดเป็นร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมดของประเทศ ที่ถูกตกเป็นเป้าหมายของการสังหารหมู่จากกลุ่มอุสตซี เหตุการณ์เหล่านี้ดำเนินมาเรื่อย จนถึงจุดที่ร้ายแรงที่สุดในช่วงกลางปีเดียวกัน อักษรซีรีล วัด และโรงเรียนของคริสชนออร์โธดอกซ์ถูกสั่งปิด ชาวเซอร์เบียทุกคนถูกบังคับให้สวมปลอกแขน เวลานั้นมี 1 ใน 3 ถูกฆ่า 1 ใน 3 ถูกขับไล่ และ 1 ใน 3 ถูกให้เปลี่ยนมาเป็นคาทอลิก ไม่เพียงเท่านั้นพวกอุสซาตียังได้สร้างค่ายกักกันขึ้นเพื่อขังชาวเซอร์เบียจำนวนหนึ่ง ซึ่งจะถูกทำร้าย ถูกปล่อยให้อดอยาก และถูกฆ่า
แต่กระนั้นท่ามกลางการข่มเหงนี้ก็ได้มีกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านสองกลุ่มออกมา นั่นคือ กลุ่มของโยซิป โบรช ที่มีจุดหมายในการดำเนินนโยบายสังคมนิยม และกลุ่มของนายพลดราจา มิโฮโลวิช ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาประเพณีของเซอร์เบียและของพระมหากษัตริย์ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ชิงชังชาวโครเอเชียและลัทธิสังคมนิยมมาก นโยบายกลุ่มนี้คือการ “ป้องกันตัวจากพวกอุสตาซีและแก้แค้นชาวโครเอเชียและชาวมุสลิม”
เจซดีมีร์ ดันกิซ
ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1941 มิโฮโลวิชก็ได้สั่งให้เจซดีมีร์ ดันกิซคุมกลุ่มเชตนิกไปยังทางตะวันออกของประเทศบอสเนีย โดยระหว่างทางเขาก็ได้รวบรวมชาวบอสเนียเซอร์เบียมาจนมาถึงตะวันออกของประเทศบอสเนียในวันที่ 16 สิงหาคม หลังจากนั้นในต้นเดือนกันยายนดันกิซก็ได้ตั้งตนเป็นผู้นำกลุ่มเชตนิกทุกกลุ่มในภาคตะวันออกของบอสเนียจนลุถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน กลุ่มเชตนิกก็เข้าคุมเมืองโกรัชเด หลังจากนั้นอีกสองวันถัดมาดันกิซก็ได้เดินทางมากล่าวสุนทรพจน์ที่จัตุรัสกลางเมืองท่ามกลางชาวเซอร์เบีย ชาวโครเอเชีย และชาวมุสลิมบอสเนีย ในตอนท้ายเขาได้ประกาศว่าชาวเซอร์เบียไม่อาจอยู่รวมกับชาวมุสลิมได้อีกต่อไป ดังนั้นนับแต่นั้นมากลุ่มเชตนิกก็เริ่มกระจายไปอยู่ทุกหัวมุมเมือง พวกเขาเริ่มฆ่า เริ่มออกข่มขืน เริ่มออกปล้นสะดมและเริ่มเผาบ้านเรือนของประชาชนจำนวนมาก
แม่น้ำดรีนาบริเวณเมืองโกรัชเด
มีผู้คนจำนวนมากถูกฆ่าตายบนสะพานข้ามแม่น้ำดรีนา ก่อนจะถูกทิ้งศพลงมา ส่วนชาวมุสลิมบางคนก็ถูกฆ่า ก่อนเอาศพไปแขวนตามต้นไฟและเสาไฟ อย่างน่าเอจอนาถ เหตุการณ์นองเลือดดำเนินไปเรื่อยๆจากเพียงแค่โกรัชเด กลุ่มเชตนิกก็ได้ตั้งเป้าใหม่นั่นก็คือการกำจัดมุสลิมให้สิ้นซากไปจากภาคตะวันออกของบอสเนีย เพื่อตอบโต้การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวเซอร์เบียของพวกอุสตาซี-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
คณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรมคือ?
คณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรม หรือ Daughters of Divine Charity ก่อตั้งขึ้นโดยคุณแม่ฟรังซิสกา เล็ชเนอร์ ในปี ค.ศ.1868 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อช่วยเหลือบรรดาเด็กหญิงที่ทำงานในช่วงยุคปฏิวัติอุสาหกรรมของยุโรป ซึ่งภายหลังคณะได้ขยายงานมาคลอบคลุมถึงเรื่องการศึกษาของเยาวชน การดูแลผู้สูงอายุ ทั้งร่างกายและจิตใจ ปัจจุบันคณะได้ทำงานอยู่ใน 18 ประเทศในโซนของยุโรป อเมริกาและแอฟริกา
คณะเข้ามาทำงานในบอสเนียตามคำเชิญของพระอัครสังฆราชโยซีปา สตัดเลรา ในปี ค.ศ.1882 และได้เปิดบ้านในเมืองปาเลในปี ค.ศ.1911 เพื่อดูแลโรงเรียนประถมและช่วยเหลือทุกคน
นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา บ้านมารีย์ของคณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรม ในเมืองปาเล ประเทศบอสเนีย ก็มีซิสเตอร์ประจำอยู่ทั้งสิ้นเพียงห้าคนแบ่งเป็นชาวโครเอเชียสองคนคือ เซอร์ยูลา อิวานีเชวิค ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิการของบ้าน , เซอร์ มารียา แบร์นาเด็ตตา บันยา ชาวออสเตรียหนึ่งคนคือ เซอร์มารี แบร์ชมานา ไลเดอนิซ และชาวสโลวีเนียอีกสองคนคือ เซอร์มารียา ครีซีนา โบยันซ์ และเซอร์มารียา อันโตนียา ฟับจัน
ซึ่งแม้จะมีน้อย แต่ซิสเตอร์ทั้งห้าท่านก็ได้ใช้ชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสตเจ้าตามจิตตามรณ์ของคณะ ด้วยการละทิ้งตนเองดูแลผู้ป่วยและแจกจ่ายขนมปังให้กับเด็กๆในบ้านเด็กกำพร้าของรัฐที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน โดยไม่เคยแบ่งเชื้อชาติศาสนา นอกจากนี้พวกเธอยังคอยช่วยเหลือบรรดาคนยากไร้และขอทานที่ลงมาจากภูเขาโรมานียาเสมอมิได้ขาด
คณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรม หรือ Daughters of Divine Charity ก่อตั้งขึ้นโดยคุณแม่ฟรังซิสกา เล็ชเนอร์ ในปี ค.ศ.1868 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อช่วยเหลือบรรดาเด็กหญิงที่ทำงานในช่วงยุคปฏิวัติอุสาหกรรมของยุโรป ซึ่งภายหลังคณะได้ขยายงานมาคลอบคลุมถึงเรื่องการศึกษาของเยาวชน การดูแลผู้สูงอายุ ทั้งร่างกายและจิตใจ ปัจจุบันคณะได้ทำงานอยู่ใน 18 ประเทศในโซนของยุโรป อเมริกาและแอฟริกา
คณะเข้ามาทำงานในบอสเนียตามคำเชิญของพระอัครสังฆราชโยซีปา สตัดเลรา ในปี ค.ศ.1882 และได้เปิดบ้านในเมืองปาเลในปี ค.ศ.1911 เพื่อดูแลโรงเรียนประถมและช่วยเหลือทุกคน
คุณแม่ฟรังซิสกา เล็ชเนอร์
บ้านของแม่พระนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา บ้านมารีย์ของคณะธิดาแห่งพระเมตตาธรรม ในเมืองปาเล ประเทศบอสเนีย ก็มีซิสเตอร์ประจำอยู่ทั้งสิ้นเพียงห้าคนแบ่งเป็นชาวโครเอเชียสองคนคือ เซอร์ยูลา อิวานีเชวิค ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นอธิการของบ้าน , เซอร์ มารียา แบร์นาเด็ตตา บันยา ชาวออสเตรียหนึ่งคนคือ เซอร์มารี แบร์ชมานา ไลเดอนิซ และชาวสโลวีเนียอีกสองคนคือ เซอร์มารียา ครีซีนา โบยันซ์ และเซอร์มารียา อันโตนียา ฟับจัน
ซึ่งแม้จะมีน้อย แต่ซิสเตอร์ทั้งห้าท่านก็ได้ใช้ชีวิตเป็นประจักษ์พยานถึงพระคริสตเจ้าตามจิตตามรณ์ของคณะ ด้วยการละทิ้งตนเองดูแลผู้ป่วยและแจกจ่ายขนมปังให้กับเด็กๆในบ้านเด็กกำพร้าของรัฐที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน โดยไม่เคยแบ่งเชื้อชาติศาสนา นอกจากนี้พวกเธอยังคอยช่วยเหลือบรรดาคนยากไร้และขอทานที่ลงมาจากภูเขาโรมานียาเสมอมิได้ขาด
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
ทางสู่สวรรค์
บ่ายวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.1941 กลุ่มเชตนิกของเจซดีมีร์ก็เข้าล้อมบ้านมารีย์ ก่อนบุกเข้าปล้นและเผาบ้านมารีย์ พร้อมคุมตัวซิสเตอร์ที่ประจำอยู่ทั้งห้าออกมารวมกับนักโทษของกลุ่มคนอื่นๆ แล้วจึงบังคับให้ทั้งหมดออกเดินทางฝ่าอุณหภูมิที่หนาวเย็นและหิมะสูงระดับเอวของภูเขาโรมานียาไปในสภาพที่ไม่มีอะไรกันหนาวได้ดีในตอนเย็นของวันเดียวกันเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองโกรัชเด ซึ่งตลอดทางกางเขนนั้นบรรดาซิสเตอร์ ไม่เพียงแต่ต้องทนกับอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว แต่ยังต้องทนกับการดูถูกเยาะเย้ยขู่นู่นนี่จากพวกเชตนิกไปตลอดทางดุจดั่งพระเยซูเจ้าเอง
คณะค่อยๆฝ่าหิมะมาเรื่อย จนเดินทางมาถึงหมู่บ้านสเย็ตลีนา เซอร์มารี แบร์ชมานา ซิสเตอร์ที่สูงอายุที่สุดในกลุ่มก็ไปต่อไม่ไหว พวกเชตนิกจึงแยกซิสเตอร์ออกจากกลุ่มไป ทำให้กลุ่มของซิสเตอร์เหลือเพียงสี่คนที่ถูกบังคับให้เดินต่อจนถึงเมืองโกรัชเดในวันที่ 15 ธันวาคม โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นการเห็นหน้ากันของทั้งห้าเป็นครั้งสุดท้ายบนโลกนี้…
ที่โกรัชเด ซิสเตอร์ทั้งสี่ที่เหน็ดเหนื่อยถูกพาตัวไปขังไว้บนชั้นสองของอดีตค่ายทหารยูโกสลาเวีย จนลุถึงเวลาเย็นย่ำ พวกเซตนิกที่เมามายไปด้วยฤทธิ์สุราจำนวนหนึ่งก็เข้ามาในห้องที่ขังซิสเตอร์ทั้งสี่ไว้ ด้วยใจหมายจะพรากพรหมจรรย์ของบรรดาซิสเตอร์ ฝ่ายซิสเตอร์เมื่อทราบความตั้งใจของบรรดาเซตนิกนั้น ด้วยใจหมายจะยึดมั่นในศีลบนถือโสด ทั้งสี่เมื่อดินหลุดได้ ก็ได้พากันกระโดดลงมาจากหน้าต่างของชั้นสอง
ฝ่ายพวกเซตนิกนั้นก็รีบวิ่งตามลงมา และพบว่าซิสเตอร์ทั้งสี่ยังไม่ตาย ด้วยความโกธรพวกเซตนิกจึงใช้ดาบปลายปืนแทงซิสเตอร์ทั้งสี่ จนแน่ใจว่าทั้งสี่ตายแน่แล้ว พวกเซตนิกก็รีบจัดแจงนำร่างของซิสเตอร์ทั้งสี่ไปทิ้งลงในแม่น้ำดรีนาในทันที หลายวันผ่านไปก็ปรากฏร่างของทั้งสี่ลอยอยู่ในแม่น้ำ
บ่ายวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.1941 กลุ่มเชตนิกของเจซดีมีร์ก็เข้าล้อมบ้านมารีย์ ก่อนบุกเข้าปล้นและเผาบ้านมารีย์ พร้อมคุมตัวซิสเตอร์ที่ประจำอยู่ทั้งห้าออกมารวมกับนักโทษของกลุ่มคนอื่นๆ แล้วจึงบังคับให้ทั้งหมดออกเดินทางฝ่าอุณหภูมิที่หนาวเย็นและหิมะสูงระดับเอวของภูเขาโรมานียาไปในสภาพที่ไม่มีอะไรกันหนาวได้ดีในตอนเย็นของวันเดียวกันเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองโกรัชเด ซึ่งตลอดทางกางเขนนั้นบรรดาซิสเตอร์ ไม่เพียงแต่ต้องทนกับอากาศที่หนาวเย็นสุดขั้ว แต่ยังต้องทนกับการดูถูกเยาะเย้ยขู่นู่นนี่จากพวกเชตนิกไปตลอดทางดุจดั่งพระเยซูเจ้าเอง
คณะค่อยๆฝ่าหิมะมาเรื่อย จนเดินทางมาถึงหมู่บ้านสเย็ตลีนา เซอร์มารี แบร์ชมานา ซิสเตอร์ที่สูงอายุที่สุดในกลุ่มก็ไปต่อไม่ไหว พวกเชตนิกจึงแยกซิสเตอร์ออกจากกลุ่มไป ทำให้กลุ่มของซิสเตอร์เหลือเพียงสี่คนที่ถูกบังคับให้เดินต่อจนถึงเมืองโกรัชเดในวันที่ 15 ธันวาคม โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นการเห็นหน้ากันของทั้งห้าเป็นครั้งสุดท้ายบนโลกนี้…
ภูเขาโรมานียาในช่วงหน้าหนาว
สู่จุดหมายที่โกรัชเด ซิสเตอร์ทั้งสี่ที่เหน็ดเหนื่อยถูกพาตัวไปขังไว้บนชั้นสองของอดีตค่ายทหารยูโกสลาเวีย จนลุถึงเวลาเย็นย่ำ พวกเซตนิกที่เมามายไปด้วยฤทธิ์สุราจำนวนหนึ่งก็เข้ามาในห้องที่ขังซิสเตอร์ทั้งสี่ไว้ ด้วยใจหมายจะพรากพรหมจรรย์ของบรรดาซิสเตอร์ ฝ่ายซิสเตอร์เมื่อทราบความตั้งใจของบรรดาเซตนิกนั้น ด้วยใจหมายจะยึดมั่นในศีลบนถือโสด ทั้งสี่เมื่อดินหลุดได้ ก็ได้พากันกระโดดลงมาจากหน้าต่างของชั้นสอง
ฝ่ายพวกเซตนิกนั้นก็รีบวิ่งตามลงมา และพบว่าซิสเตอร์ทั้งสี่ยังไม่ตาย ด้วยความโกธรพวกเซตนิกจึงใช้ดาบปลายปืนแทงซิสเตอร์ทั้งสี่ จนแน่ใจว่าทั้งสี่ตายแน่แล้ว พวกเซตนิกก็รีบจัดแจงนำร่างของซิสเตอร์ทั้งสี่ไปทิ้งลงในแม่น้ำดรีนาในทันที หลายวันผ่านไปก็ปรากฏร่างของทั้งสี่ลอยอยู่ในแม่น้ำ
-
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 22, 2011 8:16 pm
พบกันในสวรรค์
เซอร์มารี แบร์ชมานา ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านสเย็ตลีนาอีกราวสิบวัน จนเห็นตนมีกำลังพอไปสบทบกับซิสเตอร์คนอื่นๆที่โกรัชเดได้แล้ว ซิสเตอร์ก็ได้ขอให้พวกเซตนิกที่เฝ้าพาไปยังเมืองโกรัชเด พวกเซตนิกสองคนจึงพาซิสเตอร์ชราขึ้นรถเลื่อนของพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองโกรัชเดในทันที
เวลาต่อมาเมื่อทั้งสองขับรถเลื่อนกลับมาที่หมู่บ้านโดยไร้ซึ่งซิสเตอร์ชรา ชาวบ้านก็ได้ถามว่าซิสเตอร์ทั้งห้าได้พบกันแล้วใช่ไหม หนึ่งในนั้นก็ตอบว่าทั้งห้าได้พบกันแล้ว แต่ที่บนคอของหนึ่งในนั้นกลับปรากฏสายประคำของซิสเตอร์ชรา สายประคำนั้นมาได้อย่างไร? เป็นความจริงหรือที่ทั้งห้าได้พบกันแล้วที่โกรัชเด?
คุณคิดไม่ผิดหรอก เซตนิกนั้นกล่าวคำมุสา เพราความจริงแล้ว ไม่เพียงพวกเขาไม่ได้ไปส่งซิสเตอร์ถึงโกรัชเดอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาได้ลงมือฆ่าซิสเตอร์ชรา ในวันที่ 23 ธันวาคม ตามคำสั่งที่ใกล้สะพานปรากานา ดังนั้นบัดนี้ซิสเตอร์ทั้งห้าผู้ถวายชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้า จึงได้พบกันอีกครั้งในสวรรค์ บ้านแท้นิรันดร์
ข่าวการตายจำนวนมากแพร่ไปดั่งไฟลามทุ่มทั่วโครเอเชีย ในเดือนเมษายน ค.ศ.1942 เจซดีมีร์ ดันกิซถูกชาวเยอรมันจับตัว แต่ก็สามารถหนีรอดมาได้ กระนั้นที่สุดในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1947 เขาก็ถูกประหารชีวิตโดยการยิงทีม ในข้อหาอาชญากรสงคราม ในประเทศยูโกสลาเวีย
ส่วนนามของซิสเตอร์ทั้งห้าก็เช่นกัน ทั้งหมดดั่งกระฉ่อนในนาม “มรณสักขีแห่งดรีนา” ไปทั่ว มีการเปิดกระบวนของแต่งตั้งทังห้าเป็นบุญราศีในปี ค.ศ.1999 ในซาราเยโว กระทั้งในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ.2011 กลุ่มมรณสักขีแห่งดรีนาก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี อันเป็นขั้นต่อของการเป็นนักบุญ
++ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวจะต่อเจาะลึกประวัติของแต่ละท่านนะครับ+++
เซอร์มารี แบร์ชมานา ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่หมู่บ้านสเย็ตลีนาอีกราวสิบวัน จนเห็นตนมีกำลังพอไปสบทบกับซิสเตอร์คนอื่นๆที่โกรัชเดได้แล้ว ซิสเตอร์ก็ได้ขอให้พวกเซตนิกที่เฝ้าพาไปยังเมืองโกรัชเด พวกเซตนิกสองคนจึงพาซิสเตอร์ชราขึ้นรถเลื่อนของพวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองโกรัชเดในทันที
เวลาต่อมาเมื่อทั้งสองขับรถเลื่อนกลับมาที่หมู่บ้านโดยไร้ซึ่งซิสเตอร์ชรา ชาวบ้านก็ได้ถามว่าซิสเตอร์ทั้งห้าได้พบกันแล้วใช่ไหม หนึ่งในนั้นก็ตอบว่าทั้งห้าได้พบกันแล้ว แต่ที่บนคอของหนึ่งในนั้นกลับปรากฏสายประคำของซิสเตอร์ชรา สายประคำนั้นมาได้อย่างไร? เป็นความจริงหรือที่ทั้งห้าได้พบกันแล้วที่โกรัชเด?
คุณคิดไม่ผิดหรอก เซตนิกนั้นกล่าวคำมุสา เพราความจริงแล้ว ไม่เพียงพวกเขาไม่ได้ไปส่งซิสเตอร์ถึงโกรัชเดอย่างปลอดภัย แต่พวกเขาได้ลงมือฆ่าซิสเตอร์ชรา ในวันที่ 23 ธันวาคม ตามคำสั่งที่ใกล้สะพานปรากานา ดังนั้นบัดนี้ซิสเตอร์ทั้งห้าผู้ถวายชีวิตเพื่อพระคริสตเจ้า จึงได้พบกันอีกครั้งในสวรรค์ บ้านแท้นิรันดร์
หมู่บ้านสเย็ตลีนา
เหตุการณ์หลังจากนั้น ข่าวการตายจำนวนมากแพร่ไปดั่งไฟลามทุ่มทั่วโครเอเชีย ในเดือนเมษายน ค.ศ.1942 เจซดีมีร์ ดันกิซถูกชาวเยอรมันจับตัว แต่ก็สามารถหนีรอดมาได้ กระนั้นที่สุดในวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ.1947 เขาก็ถูกประหารชีวิตโดยการยิงทีม ในข้อหาอาชญากรสงคราม ในประเทศยูโกสลาเวีย
ส่วนนามของซิสเตอร์ทั้งห้าก็เช่นกัน ทั้งหมดดั่งกระฉ่อนในนาม “มรณสักขีแห่งดรีนา” ไปทั่ว มีการเปิดกระบวนของแต่งตั้งทังห้าเป็นบุญราศีในปี ค.ศ.1999 ในซาราเยโว กระทั้งในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ.2011 กลุ่มมรณสักขีแห่งดรีนาก็ได้รับการบันทึกนามในสารบบบุญราศี อันเป็นขั้นต่อของการเป็นนักบุญ
++ยังไม่จบนะครับ เดี๋ยวจะต่อเจาะลึกประวัติของแต่ละท่านนะครับ+++