ข้อถกเถียงเรื่องกาลิเลโอ (The Galileo Controversy)
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 06, 2006 11:53 pm
The Galileo Controversy
ประเด็นถกเถียงเรื่องของกาลิเลโอ
คนทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่าศาสนจักรพยายามโน้มน้าวให้กาลิเลโอละทิ้งแนวคิด เฮลิโอเซนทริค (Heliocentric) [แนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบ] และพยายามยึดถือเชื่อในแนวคิด จีโอเซนทริค (Geocentric) [แนวคิดที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบ] แทน
สำหรับกรณีของกาลิเลโอนั้น กลุ่มที่ต่อต้านคาทอลิกได้นำจุดนี้มาใช้เป็นประเด็นในการกล่าวโจมตีศาสนจักรว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านวิทยาศาสตร์ ปฏิเสธที่จะละทิ้งคำสอนเก่า ๆ แบบโบราณ ๆ และไม่ใช่ว่าศาสนจักรทำอะไรไม่มีผิดพลาด ขณะที่ทางคริสตศาสนิกชนคาทอลิกต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
เนื้อหาสรุปสั้น ๆ ต่อไปนี้เป็นข้ออธิบายสั้น ๆ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกาลิเลโอกันแน่
เป็นปฏิปักษ์ต่อวิทยาศาสตร์ ?
ศาสนจักรไม่ได้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านวิทยาศาสตร์เลย อันที่จริงศาสนจักรให้การสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วด้วยซ้ำ หรือแม้แต่ในช่วงสมัยของกาลิเลโอเอง คณะนักบวชเยซูอิตก็ยังเป็นกลุ่มนักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนและเงินทุนสนับสนุนทั้งจากศาสนจักรและจากเจ้าหน้าที่ศาสนจักรแต่ละคน จนอาจกล่าวได้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ณ ช่วงเวลานั้น เกิดขึ้นเพราะเงินสนับสนุนของทางศาสนจักร และการสนับสนุนของคณะนักบวชเป็นหลัก
นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เอง ก็ยังอุทิศผลงานอันเลื่องชื่อของเขา On the Revolution of the Celestial Orbs ( ผลงานที่นำเสนอแนวคิดแบบเฮลิโอเซนทริค ) ถวายแด่องค์พระสันตะปาปา ปอล ที่ 3 โดยโคเปอร์นิคัสได้มอบงานของตนให้กับ อังแดรส์ โอเซียนเดอร์ ผู้เป็นนักบวชของคณะลูเธอร์รัน ผู้รู้ดีว่าผลตอบรับจากทางโปรแตสแตนท์น่าจะออกมาในแง่ลบ เพราะว่าตัวมาร์ติน ลูเธอร์นั้นไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีแนวคิดใหม่นี้ โอเซียนเดอร์เองได้เขียนอารัมภบทให้กับหนังสือเล่มนี้ว่า แนวคิดเฮลิโอเซนทริคที่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบนั้น ถูกนำเสนอในแง่ของทฤษฎีเท่านั้น เป็นการนำเสนอให้เห็นสภาพการโคจรเคลื่อนไหวของดวงดาวในแบบที่เข้าใจได้ง่ายกว่าแนวคิดจีโอเซนทริคที่เอาโลกเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่โคเปอร์นิคัสตั้งใจจะสื่อเลย
10 ปีก่อนกาลิเลโอนั้น โยฮันเนส เคปเลอร์ ได้ตีพิมพ์ผลงานที่สนับสนุนและขยายผลแนวคิดเฮลิโอเซนทริคของโคเปอร์นิคัสออกมา และด้วยเหตุนี้เอง เคปเลอร์จึงถูกเพื่อนชาวโปรแตสแตนท์มองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตน แต่ในขณะเดียวกัน ทางเยซูอิตที่เป็นที่รู้จักจากความก้าวหน้าทางผลงานทางวิทยาศาสตร์กลับให้การต้อนรับเขาอย่างดี
การตั้งมั่นตามประเพณีปฏิบัติ ?
กลุ่มที่ต่อต้านคาทอลิกมักจะยกกรณีเรื่องกาลิเลโอขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความผิดพลาดในเรื่องคำสอนของทางศาสนจักร ที่ล้าสมัย ขาดความแม่นยำ และเป็นการยึดติดกับประเพณีปฏิบัติเดิม ๆ มากเกินไป แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ที่ทำหน้าที่พิพากษาตัดสินกาลิเลโอในเวลานั้น หาใช่ผู้ที่เชื่อและยึดถือแนวคิดจีโอเซนทริคทั้งหมดไม่ หากแต่เป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มีมุมมองหลากหลาย ณ ช่วงเวลานั้นต่างหาก
ศตวรรษก่อนหน้านี้ อริสโตเติ้ลเองก็ยังปฏิเสธแนวคิดเฮลิโอเซนทริคเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ในช่วงสมัยของกาลิเลโอนั้น นักวิชาการ นักคิดทั้งหลายก็เชื่อและยึดถือแนวคิดจีโอเซนทริคเป็นหลักเสียมากกว่า โคเปอร์นิคัสเองก็ได้ระงับเนื้อหาที่แสดงออกถึงแนวคิดเฮลิโอเซนทริคไว้ ณ บางช่วงเวลา แต่นั่นไม่ได้เกิดจากความกลัวว่าจะถูกต่อต้านจากทางศาสนจักร แต่กลับกันจากความกลัวว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะในหมู่นักวิชาการและเพื่อน ๆ ของเขาต่างหาก
หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไปว่ากาลิเลโอสามารถพิสูจน์ทฤษฎีเฮลิโอเซนทริคได้สำเร็จ อันที่จริงแล้วเขาก็ยังไม่สามารถตอบประเด็นข้อถกเถียงที่กินเวลามาร่วม 2000 ปี ตั้งแต่สมัยอริสโตเติ้ล นี้ได้หมด ถ้าแนวคิดเฮลิโอเซนทริคนี้เป็นจริง การสังเกตตำแหน่งของดวงดาวก็ควรจะคลาดเคลื่อนไปตามตำแหน่งของผู้สังเกตที่เปลี่ยนแปลงไป (Parallax) ซึ่งเกิดจากการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลกด้วย แต่กระนั้นก็ดี เมื่อพูดถึงสมัยของกาลิเลโอแล้ว เรายังไม่มีเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีมากพอจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ การจะวัดการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งเช่นนั้นได้ต้องอาศัยการคำนวณวัดที่แม่นยำและละเอียดอ่อนกว่านี้มาก ซึ่งนั่นก็มาจากผลของตำแหน่งดวงดาวที่อยู่ห่างไกลจากโลกมากนั่นเอง
ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า การพิสูจน์ทฤษฎีของกาลิเลโอไม่ได้เป็นไปตามแบบมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นทุกวันนี้
ในจดหมายที่เขาส่งถึง แกรนด์ ดุ๊ค คริสติน่า ร่วมกับเอกสารอื่น ๆ กาลิเลโอกล่าวว่า ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสนั้นมีตัวอย่างที่สมเหตุสมผล น่าเชื่อถือมาก แต่นักดาราศาสตร์เกือบทั้งหมดในยุคนั้นยังไม่มีความเข้าใจเรื่องระยะห่างของดวงดาวดีพอ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส ที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงเรื่องระยะห่างของดวงดาว ที่ดวงดาวแต่ละดวงอยู่ห่างจากโลกมากเสียจนเราไม่สามารถสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงดาวจากการย้ายตำแหน่งของโลกที่เกิดจากการโคจร และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นักดาราศาสตร์อย่าง ไทโช แบร์ ปฏิเสธที่จะนำแนวคิดของโคเปอร์นิคัสมาสานต่อทั้งหมด
บางทีกาลิเลโออาจสามารถนำเสนอแนวคิดเฮลิโอเซนทริคได้อย่างราบรื่นกว่านี้ หากเขาเสนอมันในฐานะทฤษฎีหรือแนวคิดหนึ่ง ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเขาไม่ได้นำเสนอมันในแง่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แล้วกลับไปประกาศว่า สิ่งนี้เป็นความจริงมากกว่าจะเป็นเพียงแค่ทฤษฎี ซึ่งแน่นอนว่า ในเวลานั้นยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ที่น่าเชื่อถือพอมาสนับสนุนแนวคิดนี้ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง กาลิเลโอคงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่น ๆ เช่นนี้ หากแนวคิดที่เขานำเสนออยู่ในแวดวงทางวิทยาศาสตร์ และไม่ไปแตะต้องเนื้อหาทางเทวศาสตร์ แต่เป็นเพราะประเด็นที่เขานำเสนอมาตกอยู่ในสาขาทางเทวศาสตร์ ทำให้ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นมา
ในปี 1614 กาลิเลโอรู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ยอมรับว่า “วิทยาศาสตร์แขนงใหม่” ของเขา ขัดแย้งกับข้อความในพระคัมภีร์ ฝ่ายตรงข้ามกับเขาชี้ไปที่เนื้อหาในพระคัมภีร์อย่างเช่น
“ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ตั้งเฉยอยู่”
(โยชูวา 10 : 13 )
โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
บทสดุดีที่ 93
พระองค์ทรงตั้งแผ่นดินโลกไว้บนรากฐานของมัน
เพื่อมิให้มันหวั่นไหวเป็นนิตย์
บทสดุดีที่ 104
ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก
ปัญญาจารย์ 1 : 5
ทั้งหมดนี้กล่าวถึงเรื่องการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า และเรื่องของแผ่นดินโลกที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ก็อย่างที่นักบุญ ออกัสตินได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า เราไม่ควรจะอ่านพระคัมภีร์และตีความตัดสินเนื้อหานั้นตามตัวอักษรเกินไป
แต่โชคไม่ดีนักที่ในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรนั้น มีหลายคนที่ยืนยันจะอ่านพระคัมภีร์และเชื่อตามตัวอักษรนั้น ๆ มากกว่าเจตนาจริง ๆ ของตัวเนื้อหา พวกเขาล้มเหลวที่จะสัมผัสความงามทางภาษาในพระคัมภีร์ หรือที่เราเรียกว่า ภาษาแสดงปรากฏการณ์ (Phenomena Language) เหมือนอย่างที่เราพูดกันว่า ตะวันปรากฏขึ้น และล่วงเลยลับไป ทำให้วันและคืนเกิดขึ้น มากกว่าที่จะพูดว่า โลกเคลื่อนที่ ในมุมมองของคนที่อยู่บนโลกโดยทั่วไป เรารู้สึกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นและตก และโลกก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือโคจรใด ๆ ทั้งสิ้น และในเวลาที่เราอธิบายสิ่งเหล่านี้ตามที่มันปรากฏนั้น เราจะใช้ภาษาที่สละสลวยสื่อออกมาเป็นภาษาปรากฏการณ์ เพื่อแสดงถึงสิ่งเหล่านี้ ภาษาเช่นนี้จะกล่าวถึงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของฟ้าสวรรค์ และการคงนิ่งไม่ไหวติงของโลก ในขณะที่เราในยุคปัจจุบันนี้สามารถรู้และตีความได้ว่าข้อความแต่ละส่วนสื่อถึงอะไร ผู้คนจำนวนไม่น้อยในศตวรรษก่อนหน้านี้โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการพระคัมภีร์ เลือกที่จะพิจารณาถ้อยคำในพระคัมภีร์ ว่าข้อความใดควรจะถือเป็นการเล่นคำทางภาษาเพื่อแสดงถึงปรากฏการณ์ และข้อความใดที่ควรจะเชื่อจริง ๆ จัง ๆ ตามตัวอักษร แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า พวกเขารับไม่ได้กับการที่ กาลิเลโอ ผู้ไม่ใช่นักวิชาการทางด้านพระคัมภีร์ มาเป็นผู้กล่าวฟันธงว่าข้อความศักดิ์สิทธิ์ในพระคัมภีร์นี้ต้องทำความเข้าใจตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ตามตัวอักษร
ในช่วงเวลายุคนั้น การตีความพระคัมภีร์ตามมุมมองความเห็นของแต่ละบุคคลนั้นยังเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอยู่
ในช่วงต้นของปี 1600 ศาสนจักรพึ่งผ่านพ้นการสังคยนาใหม่มาอยู่ และหนึ่งในเหตุผลหลักของการโต้เถียงระหว่างคาทอลิก กับ โปรแตสแตนท์ ก็มาจากเรื่องการตีความพระคัมภีร์จากมุมมองของแต่ละคนนั่นเอง
นักเทววิทยายังไม่พร้อมที่จะยอมรับทฤษฎีเฮลิโอเซนทริคง่าย ๆ จากการตีความของฆราวาสธรรมดาผู้หนึ่งอย่างกาลิเลโอ แต่กาลิเลโอเองกลับยืนยันในทฤษฎีของเขา และผลักดันข้อถกเถียงนี้เข้าสู่สาขาทางเทวศาสตร์ ทำให้เราอดที่จะคิดไม่ได้ว่า หากกาลิเลโอถกเถียงทฤษฎีนี้แต่ในด้านสาขาทางดาราศาสตร์ และไม่ประกาศกล่าวอ้างว่าทฤษฎีนี้เป็นข้อเท็จจริงทางฟิสิกซ์ เรื่องราวและปัญหาทั้งหมดก็คงจะไม่อุบัติขึ้นมา
ประเด็นถกเถียงเรื่องของกาลิเลโอ
คนทั่วไปมักจะเข้าใจกันว่าศาสนจักรพยายามโน้มน้าวให้กาลิเลโอละทิ้งแนวคิด เฮลิโอเซนทริค (Heliocentric) [แนวคิดที่ว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบ] และพยายามยึดถือเชื่อในแนวคิด จีโอเซนทริค (Geocentric) [แนวคิดที่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของระบบ] แทน
สำหรับกรณีของกาลิเลโอนั้น กลุ่มที่ต่อต้านคาทอลิกได้นำจุดนี้มาใช้เป็นประเด็นในการกล่าวโจมตีศาสนจักรว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านวิทยาศาสตร์ ปฏิเสธที่จะละทิ้งคำสอนเก่า ๆ แบบโบราณ ๆ และไม่ใช่ว่าศาสนจักรทำอะไรไม่มีผิดพลาด ขณะที่ทางคริสตศาสนิกชนคาทอลิกต่างรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
เนื้อหาสรุปสั้น ๆ ต่อไปนี้เป็นข้ออธิบายสั้น ๆ ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับกาลิเลโอกันแน่
เป็นปฏิปักษ์ต่อวิทยาศาสตร์ ?
ศาสนจักรไม่ได้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านวิทยาศาสตร์เลย อันที่จริงศาสนจักรให้การสนับสนุนทางด้านวิทยาศาสตร์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วด้วยซ้ำ หรือแม้แต่ในช่วงสมัยของกาลิเลโอเอง คณะนักบวชเยซูอิตก็ยังเป็นกลุ่มนักดาราศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าของโรมอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกมากมายในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการสนับสนุนและเงินทุนสนับสนุนทั้งจากศาสนจักรและจากเจ้าหน้าที่ศาสนจักรแต่ละคน จนอาจกล่าวได้ว่า ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ณ ช่วงเวลานั้น เกิดขึ้นเพราะเงินสนับสนุนของทางศาสนจักร และการสนับสนุนของคณะนักบวชเป็นหลัก
นิโคลัส โคเปอร์นิคัส เอง ก็ยังอุทิศผลงานอันเลื่องชื่อของเขา On the Revolution of the Celestial Orbs ( ผลงานที่นำเสนอแนวคิดแบบเฮลิโอเซนทริค ) ถวายแด่องค์พระสันตะปาปา ปอล ที่ 3 โดยโคเปอร์นิคัสได้มอบงานของตนให้กับ อังแดรส์ โอเซียนเดอร์ ผู้เป็นนักบวชของคณะลูเธอร์รัน ผู้รู้ดีว่าผลตอบรับจากทางโปรแตสแตนท์น่าจะออกมาในแง่ลบ เพราะว่าตัวมาร์ติน ลูเธอร์นั้นไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีแนวคิดใหม่นี้ โอเซียนเดอร์เองได้เขียนอารัมภบทให้กับหนังสือเล่มนี้ว่า แนวคิดเฮลิโอเซนทริคที่เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบนั้น ถูกนำเสนอในแง่ของทฤษฎีเท่านั้น เป็นการนำเสนอให้เห็นสภาพการโคจรเคลื่อนไหวของดวงดาวในแบบที่เข้าใจได้ง่ายกว่าแนวคิดจีโอเซนทริคที่เอาโลกเป็นศูนย์กลาง ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่โคเปอร์นิคัสตั้งใจจะสื่อเลย
10 ปีก่อนกาลิเลโอนั้น โยฮันเนส เคปเลอร์ ได้ตีพิมพ์ผลงานที่สนับสนุนและขยายผลแนวคิดเฮลิโอเซนทริคของโคเปอร์นิคัสออกมา และด้วยเหตุนี้เอง เคปเลอร์จึงถูกเพื่อนชาวโปรแตสแตนท์มองว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตน แต่ในขณะเดียวกัน ทางเยซูอิตที่เป็นที่รู้จักจากความก้าวหน้าทางผลงานทางวิทยาศาสตร์กลับให้การต้อนรับเขาอย่างดี
การตั้งมั่นตามประเพณีปฏิบัติ ?
กลุ่มที่ต่อต้านคาทอลิกมักจะยกกรณีเรื่องกาลิเลโอขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงความผิดพลาดในเรื่องคำสอนของทางศาสนจักร ที่ล้าสมัย ขาดความแม่นยำ และเป็นการยึดติดกับประเพณีปฏิบัติเดิม ๆ มากเกินไป แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าผู้ที่ทำหน้าที่พิพากษาตัดสินกาลิเลโอในเวลานั้น หาใช่ผู้ที่เชื่อและยึดถือแนวคิดจีโอเซนทริคทั้งหมดไม่ หากแต่เป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่มีมุมมองหลากหลาย ณ ช่วงเวลานั้นต่างหาก
ศตวรรษก่อนหน้านี้ อริสโตเติ้ลเองก็ยังปฏิเสธแนวคิดเฮลิโอเซนทริคเสียด้วยซ้ำ ขณะที่ในช่วงสมัยของกาลิเลโอนั้น นักวิชาการ นักคิดทั้งหลายก็เชื่อและยึดถือแนวคิดจีโอเซนทริคเป็นหลักเสียมากกว่า โคเปอร์นิคัสเองก็ได้ระงับเนื้อหาที่แสดงออกถึงแนวคิดเฮลิโอเซนทริคไว้ ณ บางช่วงเวลา แต่นั่นไม่ได้เกิดจากความกลัวว่าจะถูกต่อต้านจากทางศาสนจักร แต่กลับกันจากความกลัวว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะในหมู่นักวิชาการและเพื่อน ๆ ของเขาต่างหาก
หลายต่อหลายคนเข้าใจผิดไปว่ากาลิเลโอสามารถพิสูจน์ทฤษฎีเฮลิโอเซนทริคได้สำเร็จ อันที่จริงแล้วเขาก็ยังไม่สามารถตอบประเด็นข้อถกเถียงที่กินเวลามาร่วม 2000 ปี ตั้งแต่สมัยอริสโตเติ้ล นี้ได้หมด ถ้าแนวคิดเฮลิโอเซนทริคนี้เป็นจริง การสังเกตตำแหน่งของดวงดาวก็ควรจะคลาดเคลื่อนไปตามตำแหน่งของผู้สังเกตที่เปลี่ยนแปลงไป (Parallax) ซึ่งเกิดจากการโคจรรอบดวงอาทิตย์ของโลกด้วย แต่กระนั้นก็ดี เมื่อพูดถึงสมัยของกาลิเลโอแล้ว เรายังไม่มีเครื่องมือที่มีเทคโนโลยีมากพอจะสังเกตการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ การจะวัดการเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งเช่นนั้นได้ต้องอาศัยการคำนวณวัดที่แม่นยำและละเอียดอ่อนกว่านี้มาก ซึ่งนั่นก็มาจากผลของตำแหน่งดวงดาวที่อยู่ห่างไกลจากโลกมากนั่นเอง
ดังนั้นเราอาจกล่าวได้ว่า การพิสูจน์ทฤษฎีของกาลิเลโอไม่ได้เป็นไปตามแบบมาตรฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นทุกวันนี้
ในจดหมายที่เขาส่งถึง แกรนด์ ดุ๊ค คริสติน่า ร่วมกับเอกสารอื่น ๆ กาลิเลโอกล่าวว่า ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสนั้นมีตัวอย่างที่สมเหตุสมผล น่าเชื่อถือมาก แต่นักดาราศาสตร์เกือบทั้งหมดในยุคนั้นยังไม่มีความเข้าใจเรื่องระยะห่างของดวงดาวดีพอ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจทฤษฏีของโคเปอร์นิคัส ที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงเรื่องระยะห่างของดวงดาว ที่ดวงดาวแต่ละดวงอยู่ห่างจากโลกมากเสียจนเราไม่สามารถสังเกตได้ถึงการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงดาวจากการย้ายตำแหน่งของโลกที่เกิดจากการโคจร และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่นักดาราศาสตร์อย่าง ไทโช แบร์ ปฏิเสธที่จะนำแนวคิดของโคเปอร์นิคัสมาสานต่อทั้งหมด
บางทีกาลิเลโออาจสามารถนำเสนอแนวคิดเฮลิโอเซนทริคได้อย่างราบรื่นกว่านี้ หากเขาเสนอมันในฐานะทฤษฎีหรือแนวคิดหนึ่ง ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเขาไม่ได้นำเสนอมันในแง่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ แล้วกลับไปประกาศว่า สิ่งนี้เป็นความจริงมากกว่าจะเป็นเพียงแค่ทฤษฎี ซึ่งแน่นอนว่า ในเวลานั้นยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ที่น่าเชื่อถือพอมาสนับสนุนแนวคิดนี้ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง กาลิเลโอคงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่น ๆ เช่นนี้ หากแนวคิดที่เขานำเสนออยู่ในแวดวงทางวิทยาศาสตร์ และไม่ไปแตะต้องเนื้อหาทางเทวศาสตร์ แต่เป็นเพราะประเด็นที่เขานำเสนอมาตกอยู่ในสาขาทางเทวศาสตร์ ทำให้ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นมา
ในปี 1614 กาลิเลโอรู้สึกว่าตนถูกบังคับให้ยอมรับว่า “วิทยาศาสตร์แขนงใหม่” ของเขา ขัดแย้งกับข้อความในพระคัมภีร์ ฝ่ายตรงข้ามกับเขาชี้ไปที่เนื้อหาในพระคัมภีร์อย่างเช่น
“ดวงอาทิตย์ก็หยุดนิ่ง และดวงจันทร์ก็ตั้งเฉยอยู่”
(โยชูวา 10 : 13 )
โลกได้สถาปนาไว้แล้ว มันจะไม่หวั่นไหว
บทสดุดีที่ 93
พระองค์ทรงตั้งแผ่นดินโลกไว้บนรากฐานของมัน
เพื่อมิให้มันหวั่นไหวเป็นนิตย์
บทสดุดีที่ 104
ดวงอาทิตย์ขึ้น และดวงอาทิตย์ตก
ปัญญาจารย์ 1 : 5
ทั้งหมดนี้กล่าวถึงเรื่องการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า และเรื่องของแผ่นดินโลกที่หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ก็อย่างที่นักบุญ ออกัสตินได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า เราไม่ควรจะอ่านพระคัมภีร์และตีความตัดสินเนื้อหานั้นตามตัวอักษรเกินไป
แต่โชคไม่ดีนักที่ในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรนั้น มีหลายคนที่ยืนยันจะอ่านพระคัมภีร์และเชื่อตามตัวอักษรนั้น ๆ มากกว่าเจตนาจริง ๆ ของตัวเนื้อหา พวกเขาล้มเหลวที่จะสัมผัสความงามทางภาษาในพระคัมภีร์ หรือที่เราเรียกว่า ภาษาแสดงปรากฏการณ์ (Phenomena Language) เหมือนอย่างที่เราพูดกันว่า ตะวันปรากฏขึ้น และล่วงเลยลับไป ทำให้วันและคืนเกิดขึ้น มากกว่าที่จะพูดว่า โลกเคลื่อนที่ ในมุมมองของคนที่อยู่บนโลกโดยทั่วไป เรารู้สึกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นและตก และโลกก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือโคจรใด ๆ ทั้งสิ้น และในเวลาที่เราอธิบายสิ่งเหล่านี้ตามที่มันปรากฏนั้น เราจะใช้ภาษาที่สละสลวยสื่อออกมาเป็นภาษาปรากฏการณ์ เพื่อแสดงถึงสิ่งเหล่านี้ ภาษาเช่นนี้จะกล่าวถึงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของฟ้าสวรรค์ และการคงนิ่งไม่ไหวติงของโลก ในขณะที่เราในยุคปัจจุบันนี้สามารถรู้และตีความได้ว่าข้อความแต่ละส่วนสื่อถึงอะไร ผู้คนจำนวนไม่น้อยในศตวรรษก่อนหน้านี้โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการพระคัมภีร์ เลือกที่จะพิจารณาถ้อยคำในพระคัมภีร์ ว่าข้อความใดควรจะถือเป็นการเล่นคำทางภาษาเพื่อแสดงถึงปรากฏการณ์ และข้อความใดที่ควรจะเชื่อจริง ๆ จัง ๆ ตามตัวอักษร แต่ก็เป็นความจริงที่ว่า พวกเขารับไม่ได้กับการที่ กาลิเลโอ ผู้ไม่ใช่นักวิชาการทางด้านพระคัมภีร์ มาเป็นผู้กล่าวฟันธงว่าข้อความศักดิ์สิทธิ์ในพระคัมภีร์นี้ต้องทำความเข้าใจตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ตามตัวอักษร
ในช่วงเวลายุคนั้น การตีความพระคัมภีร์ตามมุมมองความเห็นของแต่ละบุคคลนั้นยังเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนอยู่
ในช่วงต้นของปี 1600 ศาสนจักรพึ่งผ่านพ้นการสังคยนาใหม่มาอยู่ และหนึ่งในเหตุผลหลักของการโต้เถียงระหว่างคาทอลิก กับ โปรแตสแตนท์ ก็มาจากเรื่องการตีความพระคัมภีร์จากมุมมองของแต่ละคนนั่นเอง
นักเทววิทยายังไม่พร้อมที่จะยอมรับทฤษฎีเฮลิโอเซนทริคง่าย ๆ จากการตีความของฆราวาสธรรมดาผู้หนึ่งอย่างกาลิเลโอ แต่กาลิเลโอเองกลับยืนยันในทฤษฎีของเขา และผลักดันข้อถกเถียงนี้เข้าสู่สาขาทางเทวศาสตร์ ทำให้เราอดที่จะคิดไม่ได้ว่า หากกาลิเลโอถกเถียงทฤษฎีนี้แต่ในด้านสาขาทางดาราศาสตร์ และไม่ประกาศกล่าวอ้างว่าทฤษฎีนี้เป็นข้อเท็จจริงทางฟิสิกซ์ เรื่องราวและปัญหาทั้งหมดก็คงจะไม่อุบัติขึ้นมา