+++โฮโมเซ็กช่วลกับคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก+++
โฮโมเซ็กช่วลกับคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก
นางสาวชาวแบงค์
"มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ" ( 1 ซามูเอล 16:7 )
บทความต่อไปนี้เป็นการมองภาพสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโฮโมเซ็กช่วล (รักร่วมเพศ) ในปัจจุบัน โดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางจิตวิทยา สังคมศึกษาและคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก รวมทั้งความคิดเห็นของนักพระคัมภีร์และนักเทววิทยาที่มีต่อปัญหานี้
ความเชื่อ
ในสังคมของเรานั้น คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าเกย์ (รักร่วมเพศในชาย) และเลสเบี้ยน (รักร่วมเพศในหญิง) เป็นกลุ่มคนที่ "ผิดปรกติ" "ผิดมนุษย์" และ "ผิดธรรมชาติ" โดยเฉพาะในสังคมคาทอลิก เรื่องราวการทำลายล้างเมืองโสดมและโกโมราห์ถูกอ้างอิงอยู่เสมอ เพื่อเป็นการสนับสนุนว่าโฮโมเซ็กช่วลนั้นเป็นบาปร้ายแรง สมควรแก่การถูกลงโทษจากพระเจ้า สังคมยังเชื่ออีกว่าคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเช่นนี้ ควรต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ให้กลับมาเป็น "คนปรกติ" ตาม "ธรรมชาติ" ที่ควรจะเป็น
ผลของความเชื่อ
จากความเชื่อข้างต้นส่งผลให้เกิดการกีดกันและการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพวกรักร่วมเพศ จนกลายเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กถึง 30-40 % ต้องหนีออกจากบ้านหรือถูกขับออกจากบ้าน เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถรับพฤติกรรมการเป็นโฮโมเซ็กช่วลของพวกเขาได้ วัยรุ่นหลายคนฆ่าตัวตาย หลายต่อหลายคนถูกไล่ออกจากงาน หรือเคยมีปัญหาในการไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเพราะผู้ร่วมงานสงสัยว่าพวกเขาเหรือเธอเป็นพวกรักร่วมเพศ บางรายถูกเผาบ้าน ผู้เป็นเกย์และติดเชื้อ HIV บางคนต้องตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้การรักษาพยาบาล เพราะครอบครัวของเขาอายที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่ามีสมาชิกในครอบครัวเป็นเกย์
กลุ่มคนรักร่วมเพศมักตกเป็นเป้าของการทำร้ายร่างกายเสมอ ในกรณีหนึ่ง หญิงสาวถูกลักพาตัวไปในบริเวณบ้านเช่าของเธอเอง เธอถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งถูกข่มขืนเป็นเวลาติดต่อกัน 1 สัปดาห์ เพราะว่าพ่อแม่ของเธอได้ว่าจ้างชายคนหนึ่งให้ทำงานนี้ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมรักร่วมเพศของลูกสาว ทั้งพ่อและเมื่อเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายเป็นการ "ช่วยชีวิต" ลูกสาวของพวกเขาเอง
นางสาวชาวแบงค์
"มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ" ( 1 ซามูเอล 16:7 )
บทความต่อไปนี้เป็นการมองภาพสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาโฮโมเซ็กช่วล (รักร่วมเพศ) ในปัจจุบัน โดยวิเคราะห์จากข้อมูลทางจิตวิทยา สังคมศึกษาและคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก รวมทั้งความคิดเห็นของนักพระคัมภีร์และนักเทววิทยาที่มีต่อปัญหานี้
ความเชื่อ
ในสังคมของเรานั้น คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าเกย์ (รักร่วมเพศในชาย) และเลสเบี้ยน (รักร่วมเพศในหญิง) เป็นกลุ่มคนที่ "ผิดปรกติ" "ผิดมนุษย์" และ "ผิดธรรมชาติ" โดยเฉพาะในสังคมคาทอลิก เรื่องราวการทำลายล้างเมืองโสดมและโกโมราห์ถูกอ้างอิงอยู่เสมอ เพื่อเป็นการสนับสนุนว่าโฮโมเซ็กช่วลนั้นเป็นบาปร้ายแรง สมควรแก่การถูกลงโทษจากพระเจ้า สังคมยังเชื่ออีกว่าคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเช่นนี้ ควรต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ให้กลับมาเป็น "คนปรกติ" ตาม "ธรรมชาติ" ที่ควรจะเป็น
ผลของความเชื่อ
จากความเชื่อข้างต้นส่งผลให้เกิดการกีดกันและการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพวกรักร่วมเพศ จนกลายเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่ง ในประเทศสหรัฐอเมริกา เด็กถึง 30-40 % ต้องหนีออกจากบ้านหรือถูกขับออกจากบ้าน เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถรับพฤติกรรมการเป็นโฮโมเซ็กช่วลของพวกเขาได้ วัยรุ่นหลายคนฆ่าตัวตาย หลายต่อหลายคนถูกไล่ออกจากงาน หรือเคยมีปัญหาในการไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานเพราะผู้ร่วมงานสงสัยว่าพวกเขาเหรือเธอเป็นพวกรักร่วมเพศ บางรายถูกเผาบ้าน ผู้เป็นเกย์และติดเชื้อ HIV บางคนต้องตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีแม้การรักษาพยาบาล เพราะครอบครัวของเขาอายที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่ามีสมาชิกในครอบครัวเป็นเกย์
กลุ่มคนรักร่วมเพศมักตกเป็นเป้าของการทำร้ายร่างกายเสมอ ในกรณีหนึ่ง หญิงสาวถูกลักพาตัวไปในบริเวณบ้านเช่าของเธอเอง เธอถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ รวมทั้งถูกข่มขืนเป็นเวลาติดต่อกัน 1 สัปดาห์ เพราะว่าพ่อแม่ของเธอได้ว่าจ้างชายคนหนึ่งให้ทำงานนี้ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมรักร่วมเพศของลูกสาว ทั้งพ่อและเมื่อเชื่อว่าการใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายเป็นการ "ช่วยชีวิต" ลูกสาวของพวกเขาเอง
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 2:59 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ความจริงทางจิตวิทยา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 สมาคมจิตเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ( American Pshchiatric Asociation) ได้ตัดคำว่า "รักร่วมเพศ" ออกจากคู่มือรายชื่อโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดปรกติทางจิตและอารมณ์ และสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Association) ให้การสนับสนุนเรื่องนี้อย่างหนักแน่น ทั้งสองสมาคมเรียกร้องให้นักจิตวิทยาทั่วประเทศให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเสียใหม่ ว่าโฮโมเซ็กช่วลไม่ได้เป็นความผิดปรกติทางจิตอย่างที่เคยเข้าใจกัน
สมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกาให้ความรู้แก่ประชาชน ว่าการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น มิใช่เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นเลือกได้เสมอไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมรักต่างเพศหรือกลุ่มคนที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นปรกตินั้น ก็มิได้เป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเลือกเองได้เช่นกัน ความสนใจในเพศเดียวกัน ต่างเพศหรือทั้งสองเพศเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดนักต่อนักวิทยาศาสตร์ มีหลายทฤษฎีที่เสนอสาเหตุที่แตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเกิดจากพันธุกรรมหรือจากปัจจัยของฮอร์โมนที่มีมาแต่กำเนิด บ้างก็ว่าเป็นเหตุของสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่าความสนใจทางเพศนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของชีวิต ผ่านทางปฏิสัมพันธ์รวมไปถึงปัจจัยที่ซับซ้อนอื่นๆทางชีววิทยา จิตวิทยาและสังคมวิทยา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 สมาคมจิตเวชศาสตร์แห่งอเมริกา ( American Pshchiatric Asociation) ได้ตัดคำว่า "รักร่วมเพศ" ออกจากคู่มือรายชื่อโรคที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดปรกติทางจิตและอารมณ์ และสมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกา (American Psychological Association) ให้การสนับสนุนเรื่องนี้อย่างหนักแน่น ทั้งสองสมาคมเรียกร้องให้นักจิตวิทยาทั่วประเทศให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนเสียใหม่ ว่าโฮโมเซ็กช่วลไม่ได้เป็นความผิดปรกติทางจิตอย่างที่เคยเข้าใจกัน
สมาคมจิตวิทยาแห่งอเมริกาให้ความรู้แก่ประชาชน ว่าการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีพฤติกรรมรักร่วมเพศนั้น มิใช่เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นเลือกได้เสมอไป เช่นเดียวกับพฤติกรรมรักต่างเพศหรือกลุ่มคนที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นปรกตินั้น ก็มิได้เป็นสิ่งที่พวกเขาสามารถเลือกเองได้เช่นกัน ความสนใจในเพศเดียวกัน ต่างเพศหรือทั้งสองเพศเกิดขึ้นได้อย่างไรนั้น ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดนักต่อนักวิทยาศาสตร์ มีหลายทฤษฎีที่เสนอสาเหตุที่แตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเกิดจากพันธุกรรมหรือจากปัจจัยของฮอร์โมนที่มีมาแต่กำเนิด บ้างก็ว่าเป็นเหตุของสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นพ้องต้องกันว่าความสนใจทางเพศนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของชีวิต ผ่านทางปฏิสัมพันธ์รวมไปถึงปัจจัยที่ซับซ้อนอื่นๆทางชีววิทยา จิตวิทยาและสังคมวิทยา
ท่าทีของพระศาสนจักร
เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหม่ที่พระศาสนจักรคาทอลิกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ มีการให้ความรู้ความเข้าใจแก่สัตบุรุษผ่านทางจดหมายอภิบาลหลายฉบับ รวมทั้งต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดกับบุคคลรักร่วมเพศอย่างชัดเจน ดังตัวอย่างคำสอนและจดหมายอภิบาลของพระสังฆราช แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีใจความดังต่อไปนี้
1. ความสนใจในเพศเดียวกัน มิใช่สิ่งที่บุคคลสามารถเลือกเองได้ "บางคนพบว่าความสนใจในเพศเดียวกันของเขานั้น ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเขาเอง…พวกเขาควรได้รับความเคารพ สิทธิเสรีภาพ มิตรภาพและความยุติธรรม พวกเขาควรมีบทบาทและส่วนร่วมในพระศาสนจักรคาทอลิก" (จดหมายอภิบาลของสภาพระสังฆราชสหรัฐอเมริกา, To love in Christ Jesus)
"กลุ่มหญิงและชายที่มีแนวโน้มในเรื่องรักร่วมเพศ เป็นกลุ่มคนที่ไม่สมควรถูกละเลย พวกเขามิได้เป็นคนเลือกที่จะสนใจเพศเดียวกัน" (Catechism of the Catholic Church, #1995)
2. การมีความสนใจในเพศเดียวกันไม่เป็นบาป "ความเอนเอียงในทางเพศเดียวกันของคนรักร่วมเพศไม่เป็นบาป…เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า การที่บางคนถูกอ้างถึงโดยมุมมองที่จำกัดเพียงเพราะเขาหรือเธอเป็นพวกรักร่วมเพศนั้น เป็นการอ้างอิงที่ไม่มีเหตุเพียงพอ" (Vatican Congregation for the Doctrine of Faith (CDF) "Letter to the Bishops of the Catholic Church on the Pastoral Care of Homosexual Person")
3. การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม เหมือนในกรณีของการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส พระศาสนจักรจึงเรียกร้องให้มีการดูแลเอาใจใส่กลุ่มคนรักร่วมเพศอย่างดี
"การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน…ซึ่งต่างจากการมีความสนใจในเพศเดียวกันนั้น ถือว่าผิดศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีความสนใจในเพศเดียวกันและผู้ที่มีความสนใจในเพศตรงข้าม ถูกเรียกให้เป็นพยานในการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และโดยอาศัยพระเมตตาของพระเจ้า จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ถือว่าผิด…อย่างไรก็ดี ผู้ที่สนใจในเพศตรงข้ามมีโอกาสที่จะเข้าสู่พิธีสมรสได้ ส่วนกลุ่มคนรักร่วมเพศไม่มีโอกาส ดังนั้นชุมชนคาทอลิกควรให้การอภิบาลดูแลเอาใจใส่ และให้ความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขาเป็นพิเศษ" (จดหมายอภิบาลของสภาพระสังฆราชสหรัฐอเมริกา, To love in Christ Jesus)
เรื่องนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหม่ที่พระศาสนจักรคาทอลิกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ มีการให้ความรู้ความเข้าใจแก่สัตบุรุษผ่านทางจดหมายอภิบาลหลายฉบับ รวมทั้งต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดกับบุคคลรักร่วมเพศอย่างชัดเจน ดังตัวอย่างคำสอนและจดหมายอภิบาลของพระสังฆราช แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีใจความดังต่อไปนี้
1. ความสนใจในเพศเดียวกัน มิใช่สิ่งที่บุคคลสามารถเลือกเองได้ "บางคนพบว่าความสนใจในเพศเดียวกันของเขานั้น ไม่ได้เกิดจากการกระทำของเขาเอง…พวกเขาควรได้รับความเคารพ สิทธิเสรีภาพ มิตรภาพและความยุติธรรม พวกเขาควรมีบทบาทและส่วนร่วมในพระศาสนจักรคาทอลิก" (จดหมายอภิบาลของสภาพระสังฆราชสหรัฐอเมริกา, To love in Christ Jesus)
"กลุ่มหญิงและชายที่มีแนวโน้มในเรื่องรักร่วมเพศ เป็นกลุ่มคนที่ไม่สมควรถูกละเลย พวกเขามิได้เป็นคนเลือกที่จะสนใจเพศเดียวกัน" (Catechism of the Catholic Church, #1995)
2. การมีความสนใจในเพศเดียวกันไม่เป็นบาป "ความเอนเอียงในทางเพศเดียวกันของคนรักร่วมเพศไม่เป็นบาป…เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาตามพระฉายาของพระเจ้า การที่บางคนถูกอ้างถึงโดยมุมมองที่จำกัดเพียงเพราะเขาหรือเธอเป็นพวกรักร่วมเพศนั้น เป็นการอ้างอิงที่ไม่มีเหตุเพียงพอ" (Vatican Congregation for the Doctrine of Faith (CDF) "Letter to the Bishops of the Catholic Church on the Pastoral Care of Homosexual Person")
3. การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม เหมือนในกรณีของการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส พระศาสนจักรจึงเรียกร้องให้มีการดูแลเอาใจใส่กลุ่มคนรักร่วมเพศอย่างดี
"การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน…ซึ่งต่างจากการมีความสนใจในเพศเดียวกันนั้น ถือว่าผิดศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีความสนใจในเพศเดียวกันและผู้ที่มีความสนใจในเพศตรงข้าม ถูกเรียกให้เป็นพยานในการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และโดยอาศัยพระเมตตาของพระเจ้า จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ถือว่าผิด…อย่างไรก็ดี ผู้ที่สนใจในเพศตรงข้ามมีโอกาสที่จะเข้าสู่พิธีสมรสได้ ส่วนกลุ่มคนรักร่วมเพศไม่มีโอกาส ดังนั้นชุมชนคาทอลิกควรให้การอภิบาลดูแลเอาใจใส่ และให้ความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขาเป็นพิเศษ" (จดหมายอภิบาลของสภาพระสังฆราชสหรัฐอเมริกา, To love in Christ Jesus)
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 2:55 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
สู่ความเข้าใจใหม่ในพระคัมภีร์
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา คนทั่วไปเข้าใจว่าเมืองโสดม (ดู ปฐมกาล 19:1-11) ถูกพระเจ้าลงโทษ เนื่องจากบาปของการรักร่วมเพศ นักพระคัมภีร์และนักเทววิทยาปัจจุบันส่วนหนึ่ง ให้ความเห็นแตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าบาปของเมืองโสดมเป็นบาปที่เกี่ยวเนื่องจากการที่ไม่ได้ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ( Helminiak, Daniel A. What the Bible really says about homosexuality ) ซึ่งในเขตทะเลทรายที่หนาวเหน็บ การไม่ต้อนรับแขกเข้ามาพักอาศัยในบ้านเรือน ปล่อยให้แขกต้องรอนแรมอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น หมายถึงอันตรายถึงชีวิตทีเดียว ซึ่งกฎข้อนี้เป็นกฎที่สำคัญในทะเลทราย แม้กระทั่งในปัจจุบัน กฎนี้ก็ยังถูกใช้อยู่
ในพระคัมภีร์เก่าเอง ก็มีการอ้างอิงถึงเมืองโสดม 21 ครั้ง ในทั้งหมด 21 ครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งใดที่ได้กล่าวถึงบาปของเมืองโสดมอันเกิดจากการรักร่วมเพศเลย แต่กลับเป็นบาปของความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสและการโกหก แม้แต่พระเยซูเจ้าก็อ้างถึงเมืองโสดมในแง่ของการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา คนทั่วไปเข้าใจว่าเมืองโสดม (ดู ปฐมกาล 19:1-11) ถูกพระเจ้าลงโทษ เนื่องจากบาปของการรักร่วมเพศ นักพระคัมภีร์และนักเทววิทยาปัจจุบันส่วนหนึ่ง ให้ความเห็นแตกต่างออกไป โดยกล่าวว่าบาปของเมืองโสดมเป็นบาปที่เกี่ยวเนื่องจากการที่ไม่ได้ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ( Helminiak, Daniel A. What the Bible really says about homosexuality ) ซึ่งในเขตทะเลทรายที่หนาวเหน็บ การไม่ต้อนรับแขกเข้ามาพักอาศัยในบ้านเรือน ปล่อยให้แขกต้องรอนแรมอยู่ท่ามกลางความหนาวเย็น หมายถึงอันตรายถึงชีวิตทีเดียว ซึ่งกฎข้อนี้เป็นกฎที่สำคัญในทะเลทราย แม้กระทั่งในปัจจุบัน กฎนี้ก็ยังถูกใช้อยู่
ในพระคัมภีร์เก่าเอง ก็มีการอ้างอิงถึงเมืองโสดม 21 ครั้ง ในทั้งหมด 21 ครั้งนี้ก็ไม่มีครั้งใดที่ได้กล่าวถึงบาปของเมืองโสดมอันเกิดจากการรักร่วมเพศเลย แต่กลับเป็นบาปของความอยุติธรรม การกดขี่ข่มเหง การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสและการโกหก แม้แต่พระเยซูเจ้าก็อ้างถึงเมืองโสดมในแง่ของการปฏิเสธผู้นำสารของพระเจ้า
เสียงร้องจากมุมมืด
"แม่ครับ…ถ้าแม่จะกรุณา ได้โปรดเข้าใจด้วยว่าผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นเกย์…ถึงจะเป็นเกย์ แต่ผมก็เป็นคนดี ผมมีความรักให้ผู้อื่น ผมอยากให้แม่รู้จักและรักผม….จดหมายจากแอนดรูว์ถึงแม่"
"ตั้งแต่ผมเรียนอยู่ในวิทยาลัย ผมปฏิเสธความเป็นเกย์ของตัวเอง ผมโกหกตัวเอง กลัวตัวเอง ผมทำให้ตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ทรมานด้วยการใช้ชีวิตอย่างขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง…จดหมายจากบัตต์ถึงพ่อและแม่"
"มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ผมอยากจะเล่าให้พ่อแม่ฟังเหลือเกิน แต่ผมต้องเก็บมันไว้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสนใจทางเพศของผม…จดหมายจากดั๊กถึงพ่อแม่"
นี่เป็นตัวอย่างของคน 3 คนที่ต้องโกหกตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ เขาทั้งสามได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนเอง แต่เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง บอกความจริงกับตัวเอง ครอบครัวและสังคม พวกเขาเป็นคนในจำนวนน้อยคนนักที่ได้มีโอกาสรับรู้ว่า เขาไม่ใช่คน "ผิดปรกติ" "ผิดมนุษย์" หรือ "ผิดธรรมชาติ" แต่เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถที่จะรัก และสมควรที่จะมีคนอื่นที่รักเขาอย่างที่เขาเป็น ยังมีเกย์และเลสเบี้ยนอีกเป็นจำนวนมากในโลกใบนี้ ที่ต้องตกอยู่ในความโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ต้องโกหกตัวเองหรือแม้แต่ปฏิเสธความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนบาป ทั้งจากคนในครอบครัวและสังคม มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ บางคนถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ ต้องตายไปโดยไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าชีวิตของพวกเขามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้ามากเพียงใด
พระเยซูเจ้าเองบังเกิดมาในโลกท่ามกลางความอยุติธรรม การแบ่งแยกขีดขั้น การดูถูกเหยียดหยามของ "มนุษย์" ด้วยกันเอง ทรงบังเกิดมาเพื่อรวบรวมฝูงแกะของพระองค์อีกครั้ง ทรงเข้าสังคมกินเลี้ยงกับผู้ที่สังคมตราหน้าว่าเป็น "คนบาป" ทรงแตะต้องคนโรคเรื้อนที่ทุกคนขยะแขยง ทรงไถ่กู้ศักดิ์ศรีของโสเภณีที่ถูกสังคมประนาม
พระเยซูได้ทรงชุบชีวิตลาซารัสเพื่อนของพระองค์ให้ฟื้นจากความตาย นำเขาออกมาจากหลุมศพ จากที่อ้างว้างโดดเดี่ยว เมื่อพระองค์เรียกให้ลาซารัสออกจากหลุมศพ ลาซารัสถูกมัดทั้งมือและเท้า มีผ้าปกคลุมใบหน้าเหมือนดั่งคนที่ต้องซ่อนเร้นความเป็นตัวของตัวเอง พระคริสต์บอกทางให้คนอื่นๆ เข้าไปช่วยแก้มัดเขา ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพันธนาการ
เราในฐานะผู้ดำเนินรอยตามพระคริสต์ควรจะเป็นคนนั้น ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากพันธนาการ เราพร้อมหรือยังที่จะคืนศักดิ์ศรีความเป็นบุตรพระเจ้าให้กับพวกเขา เราพร้อมหรือยังที่จะบอกพวกเขาว่า "ฉันรักเธอ" เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักเราโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
(บทความนี้เคยตีพิมพ์ใน นิตยสาร "อิสระ" ปีที่ 21 ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน 2541 การนำมาลงครั้งนี้ได้ขัดเกลาเล็กน้อยเพื่อความกระชับสำหรับการอ่านบนจอคอมพิวเตอร์ คณะผู้จัดทำอิสระดอทคอมขอขอบคุณ คุณ "นางสาวชาวแบงค์" และ บรรณาธิการ คุณ "กวี อมรพัฒนา" เป็นอย่างยิ่งครับ)
"แม่ครับ…ถ้าแม่จะกรุณา ได้โปรดเข้าใจด้วยว่าผมไม่ได้เลือกที่จะเป็นเกย์…ถึงจะเป็นเกย์ แต่ผมก็เป็นคนดี ผมมีความรักให้ผู้อื่น ผมอยากให้แม่รู้จักและรักผม….จดหมายจากแอนดรูว์ถึงแม่"
"ตั้งแต่ผมเรียนอยู่ในวิทยาลัย ผมปฏิเสธความเป็นเกย์ของตัวเอง ผมโกหกตัวเอง กลัวตัวเอง ผมทำให้ตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ทรมานด้วยการใช้ชีวิตอย่างขัดแย้งกับความรู้สึกของตัวเอง…จดหมายจากบัตต์ถึงพ่อและแม่"
"มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่ผมอยากจะเล่าให้พ่อแม่ฟังเหลือเกิน แต่ผมต้องเก็บมันไว้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสนใจทางเพศของผม…จดหมายจากดั๊กถึงพ่อแม่"
นี่เป็นตัวอย่างของคน 3 คนที่ต้องโกหกตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่สังคมต้องการ เขาทั้งสามได้มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือจากนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศของตนเอง แต่เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง บอกความจริงกับตัวเอง ครอบครัวและสังคม พวกเขาเป็นคนในจำนวนน้อยคนนักที่ได้มีโอกาสรับรู้ว่า เขาไม่ใช่คน "ผิดปรกติ" "ผิดมนุษย์" หรือ "ผิดธรรมชาติ" แต่เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถที่จะรัก และสมควรที่จะมีคนอื่นที่รักเขาอย่างที่เขาเป็น ยังมีเกย์และเลสเบี้ยนอีกเป็นจำนวนมากในโลกใบนี้ ที่ต้องตกอยู่ในความโดดเดี่ยว ไร้คนเข้าใจ ต้องโกหกตัวเองหรือแม้แต่ปฏิเสธความเป็นตัวของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะถูกมองว่าเป็นคนบาป ทั้งจากคนในครอบครัวและสังคม มีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ บางคนถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ ต้องตายไปโดยไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าชีวิตของพวกเขามีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้ามากเพียงใด
พระเยซูเจ้าเองบังเกิดมาในโลกท่ามกลางความอยุติธรรม การแบ่งแยกขีดขั้น การดูถูกเหยียดหยามของ "มนุษย์" ด้วยกันเอง ทรงบังเกิดมาเพื่อรวบรวมฝูงแกะของพระองค์อีกครั้ง ทรงเข้าสังคมกินเลี้ยงกับผู้ที่สังคมตราหน้าว่าเป็น "คนบาป" ทรงแตะต้องคนโรคเรื้อนที่ทุกคนขยะแขยง ทรงไถ่กู้ศักดิ์ศรีของโสเภณีที่ถูกสังคมประนาม
พระเยซูได้ทรงชุบชีวิตลาซารัสเพื่อนของพระองค์ให้ฟื้นจากความตาย นำเขาออกมาจากหลุมศพ จากที่อ้างว้างโดดเดี่ยว เมื่อพระองค์เรียกให้ลาซารัสออกจากหลุมศพ ลาซารัสถูกมัดทั้งมือและเท้า มีผ้าปกคลุมใบหน้าเหมือนดั่งคนที่ต้องซ่อนเร้นความเป็นตัวของตัวเอง พระคริสต์บอกทางให้คนอื่นๆ เข้าไปช่วยแก้มัดเขา ปลดปล่อยให้เขาเป็นอิสระจากพันธนาการ
เราในฐานะผู้ดำเนินรอยตามพระคริสต์ควรจะเป็นคนนั้น ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้พ้นจากพันธนาการ เราพร้อมหรือยังที่จะคืนศักดิ์ศรีความเป็นบุตรพระเจ้าให้กับพวกเขา เราพร้อมหรือยังที่จะบอกพวกเขาว่า "ฉันรักเธอ" เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักเราโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น
(บทความนี้เคยตีพิมพ์ใน นิตยสาร "อิสระ" ปีที่ 21 ฉบับที่ 3 พฤษภาคม - มิถุนายน 2541 การนำมาลงครั้งนี้ได้ขัดเกลาเล็กน้อยเพื่อความกระชับสำหรับการอ่านบนจอคอมพิวเตอร์ คณะผู้จัดทำอิสระดอทคอมขอขอบคุณ คุณ "นางสาวชาวแบงค์" และ บรรณาธิการ คุณ "กวี อมรพัฒนา" เป็นอย่างยิ่งครับ)
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 2:54 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ชอบมากๆเลยครับ *no1
เป็นบทควาที่มีประโยชน์มากๆเลยครับในเรื่องเพศที่ 3
ขอเอาไปลงบอร์ดผมต่อได้ไหมครับ
เป็นบทควาที่มีประโยชน์มากๆเลยครับในเรื่องเพศที่ 3
ขอเอาไปลงบอร์ดผมต่อได้ไหมครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ขอบคุณมากครับพี่ปอ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยครับ
ทำไมไม่อ่านให้จบเล่า อุตส่าห์ขีดเส้นใต้ไว้ด้วยOt@ เขียน:Are they saying that having sex with the same gender is a sin but with different gender isn't? ??? I wonder cause there is nothing mention about consider having sex with different gender is wronf in that article ah krubHoly เขียน:
"การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน…ซึ่งต่างจากการมีความสนใจในเพศเดียวกันนั้น ถือว่าผิดศีลธรรม
Thanx Daddy for poding such a great article krub :-* :-* :-*
"การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกัน…ซึ่งต่างจากการมีความสนใจในเพศเดียวกันนั้น ถือว่าผิดศีลธรรม ทั้งผู้ที่มีความสนใจในเพศเดียวกันและผู้ที่มีความสนใจในเพศตรงข้าม ถูกเรียกให้เป็นพยานในการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และโดยอาศัยพระเมตตาของพระเจ้า จึงควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ถือว่าผิด…อย่างไรก็ดี ผู้ที่สนใจในเพศตรงข้ามมีโอกาสที่จะเข้าสู่พิธีสมรสได้ ส่วนกลุ่มคนรักร่วมเพศไม่มีโอกาส ดังนั้นชุมชนคาทอลิกควรให้การอภิบาลดูแลเอาใจใส่ และให้ความเห็นอกเห็นใจแก่พวกเขาเป็นพิเศษ" (จดหมายอภิบาลของสภาพระสังฆราชสหรัฐอเมริกา, To love in Christ Jesus)
พูดง่ายๆก้คือ
ห้ามเอาก่อนแต่งนั่นละ
ฉะนั้น
ชาย-ชาย/หญิง-หญิง แต่งไม่ได้
ก็ ....จิ้กกระดี้ริงโก้กันไม่ได้นะจ้ะ :-[
ห้ามเอาก่อนแต่งนั่นละ
ฉะนั้น
ชาย-ชาย/หญิง-หญิง แต่งไม่ได้
ก็ ....จิ้กกระดี้ริงโก้กันไม่ได้นะจ้ะ :-[
หากคนที่จะมาเป็นภรรยา/สามี ของคุณ
เคยมีอะไรมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณล่ะ?
หรือว่า หากเค้าเคยเป็นพวกรักร่วมเพศล่ะ?
เคยมีอะไรมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณล่ะ?
หรือว่า หากเค้าเคยเป็นพวกรักร่วมเพศล่ะ?
อืมมมเอาเรื่อง มารีย์ มักดาลาละกัน ;)peach เขียน: หากคนที่จะมาเป็นภรรยา/สามี ของคุณ
เคยมีอะไรมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณล่ะ?
หรือว่า หากเค้าเคยเป็นพวกรักร่วมเพศล่ะ?
____________________________
เช้าตรู่วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปในบริเวณพระวิหาร ประชาชนเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ประทับนั่ง แล้วทรงเริ่มสั่งสอน
บรรดาธรรมาจารย์(ผู้สอนศาสนา)และชาวฟาริสี(กลุ่มเคร่งศาสนา)นำหญิงคนหนึ่งเข้ามา
หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี เขาให้นางยืนตรงกลาง แล้วทูลถามพระองค์ว่า
“อาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะล่วงประเวณี ในธรรมบัญญัติ โมเสสสั่งเราให้ทุ่มหินหญิงประเภทนี้จนตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไร” เขาถามพระองค์เช่นนี้ เพื่อทดลองพระองค์ หวังจะหาเหตุปรักปรำพระองค์ (เพราะหากพระองค์ให้เอาหินทุ่มนางเขาจะหาว่าทรงโหดร้าย แต่ถ้าพระองค์ให้ไว้ชีวิตนางเขาจะหาว่าพระองค์ละเมิดพระบัญญัติ)
แต่พระเยซูเจ้าทรงก้มลง เอานิ้วพระหัตถ์ขีดเขียนที่พื้นดิน เมื่อคนเหล่านั้นยังทูลถามย้ำอยู่อีก พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น ตรัสว่า
“ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
แล้วทรงก้มลงขีดเขียนบนพื้นดินต่อไป
เมื่อคนเหล่านั้นได้ฟังดังนี้ ก็ค่อย ๆ ทยอยออกไปทีละคน เริ่มจากคนอาวุโส จนเหลือแต่พระเยซูเจ้าตามลำพังกับหญิงคนนั้น ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิม
พระเยซูเจ้าทรงหันไป ตรัสกับนางว่า
“นางเอ๋ย พวกนั้นไปไหนหมด ไม่มีใครลงโทษท่านเลยหรือ”
หญิงคนนั้นทูลตอบว่า
“ไม่มีใครเลย พระเจ้าข้า”
พระเยซูเจ้าตรัสว่า
“เราก็ไม่ลงโทษท่านด้วย ไปเถิด และตั้งแต่นี้ไป อย่าทำบาปอีก”
พระคัมภีร์บันทึกโดยนักบุญยอห์นบทที่8
___________________________________________________
ก็ดั่งที่พระองค์ ทรงตรัสนั่นละครับ
ไม่ใช่ว่าทุกคนทำผิดได้
แต่ทุกคนเมื่อทำผิดก็จะได้รับการอภัย หากยอมรับผิด และแก้ไข
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 27, 2005 8:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
peach เขียน: หากคนที่จะมาเป็นภรรยา/สามี ของคุณ
เคยมีอะไรมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณล่ะ?
หรือว่า หากเค้าเคยเป็นพวกรักร่วมเพศล่ะ?
เขาเคยทำอะไรมาไม่สำคัญคะ
ถ้าเขาสำนึกผิดและพร้อมที่จะกลับตัว
แต่คุณต้องแน่ใจว่า เขาไม่มีพันธะใดๆอีกแล้ว
ก่อนที่จะมาแต่งงานกับคุณ
ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นรักสามเส้าอีรุงตุงนัง ::)
(แต่...คนที่เป็นรักร่วมเพศ หายากนะคะที่จะเปลี่ยนมาชอบเพศตรงข้ามได้)
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ เสาร์ มี.ค. 19, 2005 9:38 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 2
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. เม.ย. 23, 2015 12:07 am
เราเชื่อว่าพระบิดาส่งมีพระเมตตายิ่ง
ต่อบรรดาพสกนิกรของพระองค์
............................
และพระบุตรของพระองค์ก็ทรงไว้ซึ่ง
"ความรัก"ทั้งปวง
ยากจะหาสิ่งใดเทียบได้
..............................
แม่พระก็ทรงมีพระหรรษทานอย่างมากมาย
ทรงเอ็นดูลูกๆของพระองค์
เสมอมาอย่างไม่เคยทอดทิ้งเลยสักครั้ง
...............................
แล้วเหตุใดพระบิดา พระบุตร และพระนางมารีย์
จะทรงไม่รัก "บุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ"
หรือคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกแกะของพระองค์หรืออย่างไร
พระองค์ทั้งสามทรงเป็นองค์แห่งความรัก
ความเมตตา และกรุณา
พระองค์ย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ใด ไม่ว่ากรณีใดๆ
ต่อบรรดาพสกนิกรของพระองค์
............................
และพระบุตรของพระองค์ก็ทรงไว้ซึ่ง
"ความรัก"ทั้งปวง
ยากจะหาสิ่งใดเทียบได้
..............................
แม่พระก็ทรงมีพระหรรษทานอย่างมากมาย
ทรงเอ็นดูลูกๆของพระองค์
เสมอมาอย่างไม่เคยทอดทิ้งเลยสักครั้ง
...............................
แล้วเหตุใดพระบิดา พระบุตร และพระนางมารีย์
จะทรงไม่รัก "บุคคลที่เป็นรักร่วมเพศ"
หรือคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกแกะของพระองค์หรืออย่างไร
พระองค์ทั้งสามทรงเป็นองค์แห่งความรัก
ความเมตตา และกรุณา
พระองค์ย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ใด ไม่ว่ากรณีใดๆ